อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
ฐิตา:
ปิยัญชหเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการเลือกทางที่ดี
[๒๑๓] เมื่อผู้อื่นยกตน ควรถ่อมตน เมื่อผู้อื่นตกต่ำ ควรยกตนขึ้น เมื่อผู้อื่นไม่
ประพฤติพรหมจรรย์ ควรประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อผู้อื่นยินดีในกามคุณ
ไม่ควรยินดีในกามคุณ.
หัตถาโรหปุตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการฝึกจิต
[๒๑๔] แต่ก่อน จิตนี้เคยจาริกไปในอารมณ์ต่างๆ ตามความปรารถนา ตามความ
ต้องการ ตามความสบาย วันนี้ เราจักข่มจิตนั้นโดยอุบายอันชอบ
เหมือนนายควาญช้างผู้ฉลาด ข่มขี่ช้างผู้ซับมันไว้ได้ด้วยขอ ฉะนั้น
เมณฑสิรเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับกองทุกข์
[๒๑๕] เมื่อเรายังมิได้ประสบญาณ ได้ท่องเที่ยวไปในสงสารสิ้นชาติมิใช่น้อย
เรานั้นเกิดมาแล้วในกองทุกข์ กำจัดกองทุกข์ได้แล้ว.
รักขิตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับผู้เยือกเย็น
[๒๑๖] เราละราคะได้ทั้งหมดแล้ว ถอนโทสะได้หมดแล้ว เรามีโมหะทั้งปวงไป
ปราศแล้ว เป็นผู้เยือกเย็น ดับความร้อนได้แล้ว.
อุคคเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการสิ้นกรรม
[๒๑๗] กรรมใดที่เราได้ทำไว้แล้ว น้อยหรือมากก็ตาม กรรมทั้งหมดนั้นสิ้นไป
แล้ว บัดนี้ การเกิดในภพใหม่ไม่มี.
ฐิตา:
สมิติคุตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับกรรม
[๒๑๘] บาปกรรมใดที่เราได้กระทำไว้แล้วในชาติอื่นๆ ในกาลก่อนเราจึงได้
เสวยผลของบาปกรรมนั้นในอัตภาพนี้เอง เรื่องบาปกรรมอื่นจะไม่มีอีก
ต่อไป.
กัสสปเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการเลือกทิศทางที่ถูก
[๒๑๙] ทางทิศาภาคใดๆ มีภักษาหาได้ง่าย มีความเกษม และไม่มีภัย เจ้าจงไป
ทางทิศาภาคนั้นๆ เถิดลูกเอ๋ย ขออย่าให้เจ้าประสบความเศร้าโศกเสียใจ
เลย.
สีหเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความไม่ประมาท
[๒๒๐] ดูกรสีหะ ท่านจงอย่าประมาท อย่าเกียจคร้านทั้งกลางคืนและกลางวัน
จงอบรมกุศลธรรมให้เกิดขึ้น จงละฉันทราคะในอัตภาพเสียโดยเร็วพลัน
เถิด.
นีตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับคนโง่
[๒๒๑] คนโง่เขลา มัวแต่นอนหลับตลอดทั้งคืนและคลุกคลีอยู่ในหมู่ชนตลอดวัน
ยังค่ำ เมื่อไรจักทำที่สุดทุกข์ได้เล่า.
สุนาคเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม
[๒๒๒] ผู้ฉลาดในการถือเอา ซึ่งนิมิตแห่งภาวนาจิตเสวยรสแห่งวิเวก เพ่งฌาน
ฉลาดในการรักษากัมมัฏฐาน มีสติตั้งมั่น พึงบรรลุนิรามิสสุขอย่าง
แน่นอน.
ฐิตา:
นาคิตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับทางไปนิพพาน
[๒๒๓] ในลัทธิแห่งเดียรถีร์ภายนอกพระศาสนานี้ ย่อมไม่มีทางไปสู่นิพพาน
เหมือนอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เลย พระผู้มีพระภาคผู้เป็นบรมครู ทรงพร่ำ
สอนภิกษุสงฆ์ด้วยพระองค์เอง เหมือนดังทรงแสดงผลมะขามป้อมในฝ่า
พระหัตถ์ ฉะนั้น.
ปวิฏฐเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการเห็นเบญจขันธ์
[๒๒๔] เราเห็นเบญจขันธ์ตามความจริงได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงได้แล้ว ชาติ
สงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
อัชชุนคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการยกคนพ้นกิเลส
[๒๒๕] เราอาจยกตนจากน้ำ คือ กิเลส ขึ้นบนบกคือนิพพานได้ เหมือนคนที่ถูก
ห้วงน้ำใหญ่พัดไปแล้ว ยกตนขึ้นจากน้ำฉะนั้น เราแทงตลอดสัจจะ
ทั้งหลายแล้ว.
เทวสภเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการพ้นกิเลส
[๒๒๖] กามราคะเพียงดังเปือกต้ม และฉันทราคะเพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว
เราเว้นทิฏฐิราคะเพียงดังบาดาลแล้ว เราพ้นจากโอฆะและกิเลสเครื่อง
ร้อยกรอง ทั้งกำจัดมานะหมดสิ้นแล้ว.
สามิทัตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการรู้เห็นเบญจขันธ์
[๒๒๗] เบญจขันธ์เรากำหนดรู้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ตั้งอยู่ ชาติสงสารสิ้นแล้ว
บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
ฐิตา:
ปริปุณณกเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญรสพระธรรม
[๒๒๘] สุธาโภชน์มีรสตั้งร้อย ที่เราบริโภคในวันนี้ ก็ไม่เหมือนอมตะที่เราได้
บริโภค พระธรรมที่พระพุทธเจ้าผู้โคดม ทรงเห็นซึ่งธรรมหาประมาณมิได้
ทรงแสดงไว้แล้ว.
วิชยเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญผู้สิ้นอาสวะ
[๒๒๙] ผู้ใดมีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ติดอยู่ในอาหารมีสุญญตวิโมกข์และอนิมิตต-
วิโมกข์เป็นโคจร รอยเท้าของผู้นั้นรู้ได้ยาก เหมือนรอยเท้าของฝูงนก
ในอากาศ ฉะนั้น.
เอรกเถรคาถา
สุภาษิตว่าด้วยโทษของกาม
[๒๓๐] ดูกรเอรกะ กามเป็นทุกข์ กามไม่เป็นสุขเลย ผู้ใดใคร่กามผู้นั้นชื่อว่า
ใคร่ทุกข์ ผู้ใดไม่ใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่าไม่ใคร่ทุกข์.
เมตตชิเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
[๒๓๑] ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคศากยบุตร ผู้มีพระศิริพระองค์นั้น พระองค์
ผู้ถึงแล้วซึ่งธรรมอันสูงสุด ได้ทรงแสดงอัครธรรมนี้ด้วยดี.
จักขุปาลเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการไม่คบคนชั่ว
[๒๓๒] เราเป็นคนบอด มีนัยน์ตาอันโรคกำจัดแล้ว เดินทางไกลอยู่ เรายอมนอน
(ตาย) ณ ที่นี้ จักไม่ไปกับเพื่อนผู้ร่วมทางอันลามก.
ฐิตา:
ขัณฑสุมนเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญความเสียสละ
[๒๓๓] เพราะเสียสละดอกไม้เพียงดอกเดียว เราได้รับการบำเรออยู่ในสวรรค์
ถึง ๘๐ โกฏิปี ที่สุดได้บรรลุนิพพาน เพราะผลกรรมที่เหลือ.
ติสสเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญบาตรดินเผา
[๒๓๔] เราได้สละภาชนะทองคำ มีน้ำหนักประมาณ ๑๐๐ ปละ วิจิตรด้วยลวดลาย
ตั้งร้อยชนิด มาถือเอาบาตรดิน นี้เป็นการอภิเษกครั้งที่สองของเรา.
อภัยเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษรูปารมณ์
[๒๓๕] เมื่อบุคคลได้เห็นรูปแล้ว มัวใส่ใจถึงอารมณ์เป็นที่รัก สติก็หลงลืม
ผู้ใดมีจิตกำหนัดยินดีเสวยรูปารมณ์ รูปารมณ์ก็ครอบงำผู้นั้น อาสวะ
ทั้งหลายย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ผู้เข้าถึงซึ่งมูลแห่งภพ.
อุตติยเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษสัททารมณ์
[๒๓๖] บุคคลได้สดับเสียงแล้ว มัวใส่ใจถึงอารมณ์เป็นที่รัก สติก็หลงลืม
ผู้ใดมีจิตกำหนัดยินดีเสวยสัททารมณ์ สัททารมณ์ก็ครอบงำผู้นั้น อาสวะ
ทั้งหลายย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ผู้เข้าถึงซึ่งสงสาร.
เทวสภเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความเพียรชอบ
[๒๓๗] ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรชอบ มีสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ ประดับ
ประดาด้วยดอกไม้ คือ วิมุติ จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version