อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
ฐิตา:
เมฬชินเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
[๒๖๓] เมื่อใด เราได้ฟังธรรมของพระศาสดาผู้ทรงแสดงอยู่ เมื่อนั้นเราไม่รู้สึก
ความสงสัยในพระศาสดาผู้รู้ธรรมทั้งปวง ผู้อันใครๆ ชนะไม่ได้ ผู้นำหมู่
แกล้วกล้าเป็นอันมาก ประเสริฐสุดกว่าสารถีทั้งหลาย หรือว่าความสงสัย
ในมรรคปฏิปทา ย่อมไม่มีแก่เรา.
ราธเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการอบรมจิตใจ
[๒๖๔] เรือนที่บุคคลมุงไม่ดี ฝนย่อมรั่วรดได้ ฉันใด จิตที่ไม่ได้อบรมแล้ว ราคะ
ย่อมรั่วรดได้ ฉันนั้น เรือนที่มุงดีแล้วฝนย่อมรั่วรดไม่ได้ ฉันใด จิตที่
อบรมดีแล้ว ราคะย่อมรั่วรด ไม่ได้ ฉันนั้น
สุราธเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติถูกต้อง
[๒๖๕] ชาติของเราสิ้นแล้ว คำสั่งสอนของพระชินเจ้าเราอยู่จบแล้ว ข่าย คือ
ทิฏฐิและอวิชชาเราละได้แล้ว ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพเราถอนได้แล้ว
เราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้ว
ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงเราก็ได้บรรลุแล้ว.
โคตมเถรคาถา
สุภาษิตเตือนไม่ให้ติดกาม
[๒๖๖] มุนีเหล่าใด ย่อมไม่พัวพันในหญิงทั้งหลาย มุนีเหล่านั้นย่อมนอนหลับ
เป็นสุข สัจจะที่ได้ยากแสนยากในหญิงเหล่าใด หญิงเหล่านั้นอันบุคคล
ต้องรักษาทุกเมื่อแท้ ดูกรกาม เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อฆ่าท่าน บัดนี้
เราไม่เป็นหนี้ท่านอีก บัดนี้ เราไปถึงนิพพานอันเป็นที่บุคคลไปแล้วไม่
เศร้าโศก.
วสภเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษคนลวงโลก
[๒๖๗] บุคคลผู้ลวงโลกย่อมฆ่าตนก่อน ภายหลังจึงฆ่าผู้อื่น บุคคลผู้ลวงโลกนั้น
ย่อมฆ่าตนได้ง่ายดาย เหมือนนายพรานนกที่หาอุบายฆ่านก และทำตน
ให้ได้รับความทุกข์ในอบายภูมิ ฉะนั้น บุคคลผู้ลวงโลกนั้นไม่ใช่พราหมณ์
เพียงแต่มีเพศเหมือนพราหมณ์ในภายนอกเท่านั้น เพราะพราหมณ์มีเพศ
อยู่ภายใน บาปกรรมทั้งหลายมีในบุคคลใด บุคคลนั้นเป็นคนดำ ดูกร
ท้าวสุชัมบดี ขอจงทรงทราบอย่างนี้.
ฐิตา:
มหาจุนทเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญการฟัง
[๒๖๘] การฟังดีเป็นเหตุให้ฟังเจริญ การฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา บุคคลจะรู้
ประโยชน์ก็เพราะปัญญา ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้
ภิกษุควรส้องเสพเสนาสนะอันสงัด ควรประพฤติธรรมอันเป็นเหตุให้จิต
หลุดพ้นจากสังโยชน์ ถ้ายังไม่ได้ประสบความยินดีในเสนาสนะอันสงัด
และธรรมนั้น ก็ควรเป็นผู้มีสติรักษาตนอยู่ในหมู่สงฆ์.
โชติทาสเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม
[๒๖๙] ชนเหล่าใดแลพยายามในทางร้ายกาจ ย่อมเบียดเบียนมนุษย์ทั้งหลาย
ด้วยการกระทำอันเจือด้วยความผลุนผลันก็ดี ด้วยการกระทำมีความ
ประสงค์ต่างๆ ก็ดี ชนเหล่านั้นกระทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ฉันใด แม้ผู้อื่น
ก็ย่อมทำทุกข์ให้แก่ตน ฉันนั้น เพราะนรชนทำกรรมใดไว้ดีหรือชั่วก็ตาม
ย่อมเป็นผู้รับผลแห่งกรรมที่ตนทำไว้นั้นโดยแท้.
เหรัญญิกานิเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษคนพาล
[๒๗๐] วันและคืนย่อมล่วงไปๆ ชีวิตย่อมดับไป อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไป
เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อย ฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น คนพาลทำบาปกรรมอยู่
ย่อมไม่รู้สึกตัว ต่อภายหลังเขาจึงได้รับทุกข์อันเผ็ดร้อน เพราะบาปกรรม
นั้นมีวิบากเลวทราม.
โสมมิตตเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษความเกียจคร้าน
[๒๗๑] เต่าตาบอดเกาะขอนไม้เล็กๆ จมลงไปในห้วงน้ำใหญ่ ฉันใด กุลบุตร
อาศัยคนเกียจคร้านดำรงชีพ ย่อมจมลงในสังสารวัฏ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น
บุคคลพึงเว้นคนเกียจคร้านผู้มีความเพียรเลวทรามเสีย ควรอยู่ร่วมกับ
บัณฑิตทั้งหลายผู้สงัดเป็นอริยะ มีใจเด็ดเดี่ยว ผู้เพ่งฌาน มีความเพียร
อันปรารภแล้วเป็นนิตย์.
สัพพมิตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับคน
[๒๗๒] คนเกี่ยวข้องในคน คนยินดีกะคน คนถูกคนเบียดเบียน และคนเบียด-
เบียนคน ก็จักต้องการอะไรกับคนหรือกับสิ่งที่คนทำให้เกิดแล้วแก่คน
เล่า ควรละคนที่เบียดเบียนคนเป็นอันมากไปเสีย.
ต่อ.. หน้าที่ ๑๐ #๑๓๕ มหากาลเถรคาถา
-http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=515.135
ฐิตา:
มหากาลเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษอุปธิ
[๒๗๓] หญิงชื่อกาฬี มีร่างกายใหญ่ ดำดังกา หักขาซ้ายขาขวา แขนซ้ายแขนขวา
และทุบศีรษะของซากศพ ให้มันสมองไหลออกดังหม้อทธิแล้ววางไว้
ตามเดิม นั่งอยู่ ผู้ใดแลไม่รู้แจ้งเป็นคนเขลา ก่อให้เกิดกิเลส ผู้นั้น
ย่อมเข้าถึงทุกข์ร่ำไป เพราะฉะนั้น บุคคลรู้ว่าอุปธิเป็นเหตุเกิดทุกข์
จึงไม่ควรก่อกิเลสให้เกิด เราอย่าถูกเขาทุบศีรษะนอนอยู่อย่างนี้อีกต่อไป.
ติสสเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษลาภสักการะ
[๒๗๔] ภิกษุศีรษะโล้น ครองผ้าสังฆาฏิ ได้ข้าว น้ำ ผ้า และที่นอน ที่นั่ง
ย่อมชื่อว่าได้ข้าศึกไว้มาก ภิกษุรู้โทษในลาภสักการะว่าเป็นภัยอย่างนี้แล้ว
ควรเป็นผู้มีลาภน้อย มีจิตไม่ชุ่มด้วยราคะ มีสติงดเว้นความยินดีในลาภ.
กิมพิลเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญการยินดีในธรรม
[๒๗๕] พระศากยบุตรทั้งหลายผู้เป็นสหายกันในปาจีนวังสทายวัน ได้พากันละ
โภคะไม่น้อย มายินดีในการเที่ยวบิณฑบาต ปรารภความเพียร มีจิต
เด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ ละความยินดีในโลก มายินดีอยู่
ในธรรม.
นันทเถรคาถา
สุภาษิตชี้ทางปฏิบัติ
[๒๗๖] เรามัวแต่ประกอบการประดับตกแต่ง เพราะไม่มีโยนิโสมนสิการ มีใจ
ฟุ้งซ่าน กลับกลอก ถูกกามราคะเบียดเบียน เราได้ปฏิบัติโดยอุบายที่ชอบ
ตามที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ฉลาดในอุบาย ได้ทรง
สั่งสอนแนะนำ แล้วถอนจิตจมลงในภพขึ้นได้.
สิริมาเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการสรรเสริญและนินทา
[๒๗๗] ถ้าตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถึงชนเหล่าอื่นจะสรรเสริญ ชนเหล่าอื่นก็สรรเสริญ
เปล่า เพราะตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถ้าตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ถึงชนเหล่าอื่น
จะติเตียน ชนเหล่าอื่นก็ติเตียนเปล่า เพราะตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว.
ฐิตา:
อุตตรเถรคาถา
สุภาษิตชี้ผลการปฏิบัติธรรม
[๒๗๘] ขันธ์ทั้งหลายเรากำหนัดรู้แล้ว ตัณหาเราถอนขึ้นแล้ว โพชฌงค์เราเจริญ
แล้ว ความสิ้นไปแห่งอาสวะเราบรรลุแล้ว ครั้นเรากำหนดรู้ขันธ์
ทั้งหลายแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน
ภัททชิเถรคาถา
สุภาษิตชมปราสาททอง
[๒๗๙] พระเจ้าปนาทะมีปราสาททอง กว้างโยชน์กึ่ง สูง ๒๕ โยชน์ มีชั้นพันชั้น
ร้อยพื้น สล้างสลอนไปด้วยธง แวดล้อมไปด้วยแก้วมณีมีสีเขียวเหลือง
ในปราสาทนั้น มีคนธรรพ์ประมาณ ๖ พัน แบ่งเป็น ๗ พวก พากัน
ฟ้อนรำอยู่.
โสภิตเถรคาถา
สุภาษิตชี้ผลการปฏิบัติธรรม
[๒๘๐] เราเป็นภิกษุผู้มีสติ มีปัญญา ปรารภความเพียรเป็นกำลัง ระลึกชาติ
ก่อนได้ ๕๐๐ กัป ดุจคืนเดียว เราเจริญสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗
มรรค ๘ ระลึกชาติก่อนได้ ๕๐๐ กัป ดุจคืนเดียว.
วัลลิยเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความเพียร
[๒๘๑] สิ่งใดอันบุคคลผู้มีความเพียรมั่นพึงทำ กิจใดอันบุคคลผู้ปรารถนาจะตรัสรู้
พึงทำ เราจักทำกิจนั้นๆ ไม่ให้ผิดพลาดตามคำพร่ำสอนของท่าน จงดู
ความเพียร ความบากบั่นของเรา อนึ่ง ขอท่านจงบอกหนทางอันหยั่งลงสู่
อมตมหานิพพานให้เรา เราจักรู้ด้วยปัญญา เหมือนกระแสแห่งแม่น้ำ
คงคาไหลไปสู่สาคร ฉะนั้น
วีตโสกเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการดูตัวเอง
[๒๘๒] ช่างกัลบกเข้ามาหาเราด้วยคิดว่า จักตัดผมของเรา เราจึงรับเอากระจก
จากช่างกัลบกนั้นมาส่องดูร่างกาย ร่างกายของเรานี้ได้ปรากฏเป็นของ
เปล่า ความมืด คือ อวิชชาในกายอันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน ได้หาย
หมดสิ้นไป กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวงเราตัดขาดแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.
ฐิตา:
ปุณณมาสเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับแว่นธรรม
[๒๘๓] เราละนิวรณ์ ๕ เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ แล้วถือเอาแว่นธรรม
คือ ญาณทัสสนะของตน ส่องดูร่างกายนี้ทั่วทั้งหมดทั้งภายในภายนอก
ร่างกายของเรานี้ ปรากฏเป็นของว่างเปล่าทั้งภายในและภายนอก.
นันทกเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความพลาดพลั้ง
[๒๘๔] โคอาชาไนยที่ดี ถึงพลาดแล้วก็ตั้งตัวได้ ได้ความสังเวชอย่างยิ่งแล้ว
นำภาระต่อไป ฉันใด ท่านทั้งหลายจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นอาชาไนย
ผู้สมบูรณ์ด้วยทัสสนะ เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุตรผู้
เกิดแก่อุระแห่งพระพุทธเจ้า.
ภารตเถรคาถา
สุภาษิตชี้ผลการบวช
[๒๘๕] มาเถิดนันทกะ เราจงพากันไปยังสำนักของพระอุปัชฌายะเถิด เราจัก
บันลือสีหนาท เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พระผู้มี-
พระภาคผู้เป็นมุนี มีความเอ็นดูเราทรงให้บรรพชาเพื่อประโยชน์อันใด
ประโยชน์อันนั้นเราก็ได้บรรลุแล้ว ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงเรา
ก็ได้บรรลุแล้ว.
ภารทวาชเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความชนะ
[๒๘๖] ธีรชนผู้มีปัญญา ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ชื่อว่าผู้ชนะสงคราม
ย่อมบันลือสีหนาท ดังราชสีห์ในถ้ำภูเขา ฉะนั้น เราได้ทำความคุ้นเคย
กับพระศาสดาแล้ว พระธรรมกับพระสงฆ์เราได้บูชาแล้ว และเราปลาบ-
ปลื้มใจ เพราะเห็นบุตรหมดอาสวกิเลสแล้ว.
กัณหทินนเถรคาถา
สุภาษิตชี้ผลการปฏิบัติธรรม
[๒๘๗] สัปบุรุษเราเข้าไปหาแล้ว ธรรมทั้งหลายเราฟังแล้วเนืองนิตย์ ครั้นฟังธรรม
แล้ว จักดำเนินไปสู่ทางอันหยั่งลงสู่อมตธรรม เมื่อเรามีสติ กำจัดความ
กำหนัดยินดีในภพได้แล้ว ความกำหนัดยินดีในภพ ย่อมไม่มีแก่เราอีก
ไม่ได้มีแล้วในอดีต จักไม่มีในอนาคต ถึงแม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแก่เราเลย.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version