อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
ฐิตา:
วัฑฒเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญมารดา
[๓๓๙] โยมมารดาของเราดีแท้ เพราะได้แนะนำเราให้รู้สึกตัว เหมือนบุคคล
แทงพาหนะด้วยประตัก ฉะนั้น เราได้ฟังคำของโยมมารดาที่พร่ำสอน
แล้วได้ปรารภความเพียร มีจิตตั้งมั่น ได้บรรลุโพธิญาณอย่างสูงสุด เรา
เป็นพระอรหันต์ควรแก่ทักษิณา มีวิชชา ๓ ได้เห็นอมตธรรม ชนะเสนา
แห่งมาร ไม่มีอาสวะอยู่ อาสวะของเราเหล่าใด ได้มีแล้วทั้งภายในทั้ง
ภายนอก อาสวะเหล่านั้นทั้งหมด เราตัดขาดแล้ว และไม่เกิดขึ้นอีก
ต่อไป โยมมารดาของเราเป็นผู้แกล้วกล้า ได้กล่าวเนื้อความนี้กะเรา
แม้เมื่อเราผู้เป็นบุตรของท่านไม่มีกิเลส กิเลสอันเป็นดังหมู่ไม้ในป่าของ
ท่านคงจะไม่มีเป็นแน่ ทุกข์เราทำให้สิ้นสุดแล้ว อัตภาพนี้มีในที่สุด
สงสาร คือความเกิดตายสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
นทีกัสสปเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
[๓๔๐] พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่แม่น้ำเนรัญชรา เพื่อประโยชน์แก่เราหนอ
เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ละมิจฉาทิฏฐิได้ เมื่อเราเป็น
ปุถุชนยังมืดมนอยู่ สำคัญว่า การบูชายัญนี้เป็นความบริสุทธิ์ จึงได้
บูชายัญสูงๆ ต่ำๆ และได้บูชาไฟ แล่นไปสู่การถือทิฏฐิ ลุ่มหลง
ไปด้วยการเชื่อถือ เป็นคนตาบอดไม่รู้แจ้ง สำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่าเป็น
ความบริสุทธิ์ บัดนี้ เราละมิจฉาทิฏฐิได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงหมดแล้ว
เราบูชาไฟ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอ
นมัสการพระตถาคต ความลุ่มหลงทั้งปวงเราละหมดแล้ว ตัณหาอันจะ
นำไปสู่ภพเราทำลายแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.
คยากัสสปเถรคาถา
สุภาษิตแสดงความเป็นพุทธทายาท
[๓๔๑] เราลงไปลอยบาปในแม่น้ำคยา ที่ท่าคยาผัคคุ วันละ ๓ ครั้ง คือ เวลาเช้า
เวลาเที่ยง เวลาเย็น เพราะคิดเห็นว่า บาปใดที่เราทำไว้ในชาติก่อน
บัดนี้ เราจะลอยบาปนั้นในที่นี้ ความเห็นอย่างนี้ ได้มีแก่เราในกาลก่อน
บัดนี้ เราได้ฟังวาจาอันเป็นสุภาษิต เป็นบทอันประกอบด้วยเหตุผล
แล้วพิจารณาเห็นเนื้อความได้ถ่องแท้ตามความเป็นจริง โดยอุบายอัน
ชอบ จึงได้ล้างบาปทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีมลทิน หมดจด สะอาด เป็น
ทายาทผู้บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า เป็นบุตรผู้เกิดแต่พระอุทรของพระ
พุทธเจ้า เราได้หยั่งลงสู่กระแสน้ำ คือ มรรคอันมีองค์ ๘ ลอยบาป
ทั้งปวง แล้วเราได้บรรลุวิชชา ๓ และได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.
วักกลิเถรคาถา
สุภาษิตปฏิญาณเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
[๓๔๒] ดูกรภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่ซึ่งเป็นที่ปราศจากโคจร เป็นที่เศร้าหมอง
ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร?
ท่านพระวักกลิเถระกราบทูลว่า
ข้าพระองค์จะยังปีติและความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไปสู่ร่างกาย ครอบงำ
ปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ จักเจริญสติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ และโพชฌงค์ ๗ อยู่ในป่าใหญ่ เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลาย
ผู้ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ มีความ
พร้อมเพรียงกัน มีความเห็นร่วมกัน ข้าพระองค์จึงจักอยู่ในป่าใหญ่
เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระองค์อันฝึกแล้ว มีพระหฤทัย
ตั้งมั่น จึงเป็นผู้ไม่เกียจคร้านตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันอยู่ในป่าใหญ่.
วิชิตเสนเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการฝึกจิต
[๓๔๓] เราจักระวังจิตนั้นไว้ เหมือนนายหัตถาจารย์ กักช้างไว้ที่ประตูนคร
ฉะนั้น เราจักไม่ประกอบจิตไว้ในธรรมอันลามก จักไม่ยอมให้จิตตกลง
ไปสู่ข่ายแห่งกามอันเกิดในร่างกาย เจ้าถูกเรากักขังไว้แล้ว จักไปตาม
ชอบใจไม่ได้ เหมือนช้างได้ช่องประตู ฉะนั้น ดูกรจิตผู้ชั่วช้า บัดนี้
เจ้าจักขืนยินดีในธรรมอันลามกเที่ยวไปเนืองๆ ดังก่อนมิได้ นายควาญ-
ช้างมีกำลังแข็งแรง ย่อมบังคับช้างที่จับได้ใหม่ ยังไม่ได้ฝึก ให้อยู่ใน
อำนาจด้วยขอ ฉันใด เราจักบังคับเจ้าให้อยู่ในอำนาจ ฉันนั้น นาย
สารถีผู้ฉลาดในการฝึกม้าให้ดี เป็นผู้ประเสริฐ ย่อมฝึกม้าให้รอบรู้ได้
ฉันใด เราจักฝึกเจ้าให้ตั้งอยู่ในพละ ๕ ฉันนั้น จักผูกเจ้าไว้ด้วยสติ
จักฝึกจักบังคับเจ้าให้ทำธุระด้วยความเพียร เจ้าจักไม่ได้ไปไกลจาก
อารมณ์ภายในนี้ละนะจิต.
ฐิตา:
ยสทัตตเถรคาถา
สุภาษิตตำหนิคนปัญญาทราม
[๓๔๔] คนมีปัญญาทราม คิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อม
เป็นผู้ไกลจากสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดินฉะนั้น คนมีปัญญาทราม คิด
จะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม
เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น คนมีปัญญาทราม คิดจะยกโทษ ฟัง
คำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเหี่ยวแห้งในสัทธรรม เหมือนปลาใน
น้ำน้อย ฉะนั้น คนมีปัญญาทราม คิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่าน
ผู้ชนะมาร ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าในไร่นา ฉะนั้น
ส่วนผู้ใดมีจิตอันคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ผู้นั้นทำ
อาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป ทำให้แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ พึงได้บรรลุ
ความสงบอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.
โสณกุฏิกัณณเถรคาถา
สุภาษิตแสดงความภูมิใจในการเป็นพุทธสาวก
[๓๔๕] เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มีอาสวะ ได้เห็น
พระผู้มีพระภาค และได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มี-
พระภาคประทับอยู่ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดา
ผู้ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร เมื่อนั้น
พระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา ทรงละความขลาด
กลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็น
สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรม
ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะกำหนดรู้
เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ พึงได้บรรลุความสงบ
อย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน.
โกสิยเถรคาถา
สุภาษิตยกย่องผู้เคารพครู
[๓๔๖] ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย อยู่ในโอวาทของครูนั้น
และยังความเคารพให้เกิดในโอวาทของครูนั้น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีภักดี
และชื่อว่าเป็นบัณฑิตและพึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย อันตราย
อันร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว ไม่ครอบงำบุคคลใดผู้พิจารณาอยู่ บุคคลนั้น
ย่อมชื่อว่ามีกำลัง ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรม
ทั้งหลาย ผู้ใดแลตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เหมือนมหาสมุทร มีปัญญาลึกซึ้ง
เห็นเหตุผลอันละเอียด ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ชื่อว่า
เป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดเป็นพหูสูต
ทรงธรรมและประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่าผู้คงที่ เป็น
บัณฑิตและพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดรู้เนื้อความแห่ง
สุภาษิต ครั้นรู้แล้วทำตามที่รู้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต อยู่ในอำนาจเหตุผล
และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย
อุรุเวลกัสสปเถรคาถา
สุภาษิตแสดงความภูมิใจที่ได้บวชในพระพุทธศาสนา
[๓๔๗] เรายังไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระโคดมผู้เรืองยศ เพียงใด เราก็ยังเป็นคน
ลวงโลกด้วยความริษยาและมานะไม่นอบน้อม เพียงนั้น พระผู้มีพระภาค
ผู้เป็นสารถีของนรชน ทรงทราบความดำริของเรา ทรงตักเตือนเรา ลำดับ
นั้น ความสลดใจได้เกิดแก่เรา เกิดความอัศจรรย์ใจ ขนลุกชูชัน
ความสำเร็จอันเล็กน้อยของเราผู้เป็นชฏิลเคยมีอยู่เมื่อก่อน
เราได้สละความสำเร็จอันนั้นแล้ว บวชในศาสนาของพระชินเจ้า
เมื่อก่อนเรายินดีการบูชายัญ ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์ ภายหลังเราถอน
ราคะโทสะและโมหะได้แล้ว เรารู้บุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุหมดจด
เป็นผู้มีฤทธิ์รู้จิตของผู้อื่น และบรรลุทิพโสต อนึ่งเราออกบวชเป็นบรรพชิต
เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้น เราได้บรรลุแล้ว
ความสิ้นไปแห่ง สังโยชน์ทั้งปวง เราได้บรรลุแล้ว
เตกิจฉกานิเถรคาถา
สุภาษิตโต้มาร
มารกล่าวว่า
[๓๔๘] ข้าวเปลือกข้าวสาลีทั้งหลาย อันชนทั้งหลายขนมาจากลานไปไว้ในยุ้ง
แล้ว ท่านไม่พึงได้ แม้ก้อนข้าว จักคิดว่า บัดนี้จักทำอย่างไร?
พระเถระกล่าวว่า
เราจักระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระคุณประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส
เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ เราจักระลึก
ถึงพระธรรม อันมีคุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระ
อันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ เราจักระลึกถึงพระสงฆ์
ผู้มีคุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว
มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ.
มารกล่าวว่า
ท่านอยู่ในที่แจ้ง ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ท่านอย่าเป็นผู้ถูกความหนาวครอบงำ
ลำบากเลย นิมนต์ท่านเข้าไปสู่ที่อยู่ อันมีบานประตูและหน้าต่างมิดชิด
เถิด.
พระเถระกล่าวว่า
เราจักเจริญอัปปมัญญา ๔ และจักมีความสุขอยู่ด้วยอัปปมัญญาเหล่านั้น
เราจักเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไม่ลำบากด้วยความหนาว.
ฐิตา:
มหานาคเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษผู้ไม่มีความเคารพ
[๓๔๙] ผู้ใดไม่มีความเคารพ ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเสื่อมจาก
สัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าใน
ไร่นาฉะนั้น ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นเป็น
ผู้ไกลจากนิพพานในศาสนา ของพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระธรรมราชา
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจาก
สัทธรรม เหมือนปลาในน้ำมากฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหม
จารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมงอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชที่ดีในไร่นาฉะนั้น
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้นิพพาน
ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระธรรมราชา.
กุลลเถรคาถา
สุภาษิตแสดงการพิจารณาสังขาร
[๓๕๐] เราผู้ชื่อว่ากุลละ ไปที่ป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพหญิงคนหนึ่ง เขาทิ้งไว้
ในป่าช้า มีหมู่หนอนฟอนกัดอยู่ ดูกรกุลลภิกษุ ท่านจงดูร่างกายอัน
กระสับกระส่าย ไม่สะอาด เป็นของเปื่อยเน่า มีของโสโครกไหลเข้า
ไหลออกอยู่ อันหมู่คนพาลพากันชื่นชมนัก เราได้ถือเอาแว่นธรรมแล้ว
ส่องดูร่างกายอันไร้ประโยชน์ ทั้งภายในและภายนอกนี้ สรีระเรานี้
ฉันใด ซากศพนั้นก็ฉันนั้น ซากศพนั้นฉันใด สรีระเรานี้ก็ฉันนั้น
ร่างกายเบื้องต่ำฉันใด ร่างกายเบื้องบนก็ฉันนั้น ร่างกายเบื้องบนฉันใด
ร่างกายเบื้องต่ำก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืน
ฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เมื่อก่อนฉันใด ภายหลังก็ฉันนั้น ภายหลัง
ฉันใด เมื่อก่อนก็ฉันนั้น ความยินดีด้วยดนตรีเครื่อง ๕ เช่นนั้น ย่อม
ไม่มีแก่เราผู้มีจิตแน่วแน่ พิจารณาเห็นธรรมแจ่มแจ้งโดยชอบ.
มาลุงกยปุตตเถรคาถา
สุภาษิตสอนให้ละตัณหา
[๓๕๑] ตัณหาย่อมเจริญแก่สัตว์ผู้ประพฤติประมาท เหมือนเถาย่านทราย
เจริญอยู่ในป่าฉะนั้น บุคคลผู้ตกอยู่ในอำนาจของตัณหา ย่อมเร่ร่อนไป
ในภพน้อยภพใหญ่ เหมือนวานรอยากได้ผลไม้ เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น
ตัณหาอันชั่วช้า ซ่านไปในโลก ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลาย
ย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น เหมือนหญ้าคมบางที่ถูกฝนตกเชยแล้วฉะนั้น
ส่วนผู้ใดครอบงำตัณหาอันชั่วช้านี้ ซึ่งยากที่จะล่วงได้ในโลก ความโศก
ทั้งหลายย่อมตกไปจากบุคคลนั้น เหมือนหยาดน้ำตกไปจากในบัวฉะนั้น
เพราะฉะนั้นเราขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
ที่มาประชุมกันอยู่ในสมาคมนี้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายจงขุดรากแห่งตัณหา
ดุจบุคคลผู้มีความต้องการด้วยแฝก ขุดแฝกอยู่ฉะนั้น มารอย่าได้ระราน
ท่านทั้งหลายบ่อยๆ ดังกระแสน้ำพัดพานไม้อ้อฉะนั้น ท่านทั้งหลายจง
ทำตามพระพุทธพจน์ ขณะอย่าได้ล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้มีขณะ
อันล่วงแล้ว ย่อมยัดเยียดกันในนรกเศร้าโศกอยู่ ความประมาทดุจธุลี
ธุลีเกิดขึ้นเพราะความประมาท ท่านทั้งหลายพึงถอนลูกศรอันเสียบอยู่ใน
หทัยของตน ด้วยความไม่ประมาทและด้วยวิชชาเถิด
สัปปทาสเถรคาถา
สุภาษิตแสดงผลการเห็นโทษสังขาร
[๓๕๒] นับตั้งแต่เราบวชมาแล้วได้ ๒๕ ปี ยังไม่เคยได้รับความสงบใจ แม้ชั่ว
เวลาลัดนิ้วมือเลย เราไม่ได้เอกัคคตาจิต ถูกกามราคะครอบงำแล้ว
ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญเข้าไปสู่ที่อยู่ด้วยคิดว่า จักนำศาตรา
มา ชีวิตของเราจะมีประโยชน์อะไรเล่า ก็คนอย่างเราจะลาสิกขาเสีย
อย่างไรได้ ควรตายเสียเถิดคราวนี้ เราได้ฉวยเอามีดโกนขึ้นไปนอน
บนเตียง มีดโกนเล่มนั้นเราสะบัดดีแล้ว สามารถจะตัดเส้นเอ็นให้ขาดได้
ขณะนั้น โยนิโสมนสิการก็บังเกิดขึ้นแก่เรา โทษปรากฏแก่เรา ความ
เบื่อหน่ายในสังขารก็เกิดขึ้นแก่เรา เพราะความเบื่อหน่ายในสังขารนั้น
จิตของเราหลุดพ้นแล้ว ขอท่านจงดูความที่ธรรมเป็นธรรมดีเถิด วิชชา ๓
เราได้บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว.
กาติยานเถรคาถา
สุภาษิตเตือนไม่ให้ประมาท
[๓๕๓] จงลุกขึ้นนั่งเถิดกาติยานะ อย่ามัวนอนหลับอยู่เลย จงตื่นขึ้นเถิด อย่า
ให้มัจจุราชผู้เป็นพวกพ้องของคนประมาทชนะ ท่านผู้เกียจคร้านด้วย
อุบายอันโกงเลย กำลังคลื่นแห่งมหาสมุทร ย่อมครอบงำบุรุษผู้ไม่อาจ
ข้ามมหาสมุทรนั้นได้ แม้ฉันใด ชาติและชราย่อมครอบงำท่านผู้ถูก
ความเกียจคร้านครอบงำแล้ว ฉันนั้น ขอท่านจงทำเกาะ คือ อรหัตผล
แก่ตนเถิด เพราะที่พึ่งอย่างอื่นในโลกนี้และโลกหน้า ย่อมไม่มีแก่ท่าน
ก็พระศาสดาได้ทรงบอกทางนี้ อันล่วงพ้นจากเครื่องข้องและจากภัย
คือ ชาติและชราแก่ท่านแล้ว ท่านอย่าเป็นผู้ประมาทตลอดยามต้น
และยามหลัง จงพยายามทำความเพียรให้มั่นเถิด ท่านจงปลดเปลื้อง
เครื่องผูกทั้งหลายอันเป็นของเดิมเสีย จงใช้สอยผ้าสังฆาฏิและโกนศีรษะ
ด้วยมีดโกน ฉันอาหารที่ขอเขามาได้ จงอย่าเห็นแก่การเล่นสนุกสนาน
อย่าเห็นแก่นอน จงหมั่นเพ่งดูธรรมเถิด กาติยานะ จงเจริญฌาน จงชนะ
กิเลสเถิด กาติยานะ ท่านจงเฉลียวฉลาดในทางอันปลอดโปร่งจากโยคะ
จงบรรลุถึงความบริสุทธิ์อันยอดเยี่ยม จงดับเพลิงกิเลส ดังบุคคลดับไฟ
ด้วยน้ำ ฉะนั้น ประทีปที่ส่องแสง ถ้ามีแสงน้อย ย่อมดับไปด้วยลม
ดังเถาวัลย์เหี่ยวแห้ง ฉันใด ท่านก็จงเป็นผู้ไม่ถือมั่น กำจัดมารผู้มี
โคตรเสมอด้วยพระอินทร์ฉันนั้นเถิด ก็เมื่อท่านกำจัดมารได้อย่างนี้แล้ว
เป็นผู้ปราศจากความกำหนัดพอใจในเวทนาทั้งหลาย เป็นผู้มีความเย็น
รอคอยเวลานิพพานของตน ในอัตภาพนี้ทีเดียว.
ฐิตา:
มิคชาลเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญพระธรรม
[๓๕๔] ธรรมอันก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง เป็นธรรมยังวัฏฏะให้พินาศหมดสิ้น
เป็นเครื่องนำออกไปจากสงสาร เป็นเครื่องข้ามพ้นสงสาร ทำรากตัณหา
ให้เหี่ยวแห้ง อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระอาทิตย์ ผู้มีพระจักษุ
ทรงแสดงดีแล้ว ทำลายกรรมกิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติ อันมีรากเป็น
พิษแล้ว ทำให้เราถึงความดับสนิท ธรรมอันเป็นเครื่องกำจัดกรรมให้สิ้น
สุด อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่อทำลายรากเหง้าแห่งอวิชชา
มารเพียงดังแก้ววิเชียรเป็นเครื่องยังวิญญาณให้ตกไป ปรากฏแก่เราใน
การกำหนดถือวิญญาณทั้งหลาย ธรรมเครื่องปราศจากเวทนา ปลดเปลื้อง
อุปาทาน อันเป็นเครื่องพิจารณาเห็นภพดุจหลุมถ่านเพลิงด้วยญาณ มีรส
มาก ลึกซึ้ง เป็นธรรมห้ามความแก่ความตายให้เกิดแก่เรา อริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางสงบทุกข์ ปลอดโปร่ง พระผู้มีพระภาคทรง
แสดงแล้ว ธรรมอันเป็นเครื่องเห็นโลกตามความเป็นจริง ให้ถึงความ
ปลอดโปร่งเป็นอันมาก เจริญในที่สุด พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงรู้
กรรมว่าเป็นกรรม ทรงรู้จักวิบากโดยความเป็นวิบาก แห่งธรรมอันอาศัย
กันและกันเกิดขึ้น ทรงแสดงดีแล้ว.
เชนตปุโรหิตปุตตเถรคาถา
สุภาษิตแสดงการละมานะเพราะพบเห็นพระพุทธองค์
[๓๕๕] เราเป็นผู้เมาด้วยความเมาเพราะชาติสกุล ด้วยโภคะ และอิสริยยศ ด้วย
ทรวดทรง ผิวพรรณและรูปร่าง และเป็นผู้เมาแล้วด้วยความเมาอย่างอื่น
เราจึงไม่สำคัญใครๆ ว่าเสมอตน และยิ่งกว่าตน เราเป็นผู้มีกุศลอัน
อติมานะ กำจัดแล้ว เป็นคนโง่เขลา เป็นผู้มีใจกระด้าง เป็นผู้ถือตัว
มีมานะกระด้าง ไม่เอื้อเฟื้อ จึงไม่กราบไหว้ใคร แม้เป็นมารดาหรือบิดา
แม้พี่ชายหรือพี่สาว และแม้สมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่โลกสมมติว่าเป็น
ครูบาอาจารย์ เราเห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้เลิศประเสริฐ
สูงสุดกว่าสารถีทั้งหลาย ผู้รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ อันหมู่ภิกษุสงฆ์ห้อม
ล้อมแล้ว จึงละทิ้งมานะและความมัวเมา มีใจผ่องใส ถวายบังคมพระองค์
ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า การถือตัวว่าดีกว่าเขา ว่าเลว
กว่าเขา และว่าเสมอเขา เราละแล้ว ถอนขึ้นแล้วด้วยดี การถือตัวว่า
เป็นเราเป็นเขา เราตัดขาดแล้ว การถือตัวต่างๆ ทั้งหมด เรากำจัดแล้ว.
สุมนเถรคาถา
สุภาษิตแสดงผลการบรรลุธรรม
[๓๕๖] เมื่อครั้งเราบวชใหม่ มีอายุได้ ๗ ปีแต่กำเนิด ได้ชนะพญานาคผู้มีฤทธิ์มาก
ด้วยฤทธิ์ ได้ตักน้ำจากสระใหญ่ ชื่อว่าอโนดาตมาถวายพระอุปัชฌายะ
ลำดับนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเราแล้ว ตรัสว่า ดูกรสารีบุตร
เธอจงดูกุมารผู้ถือหม้อน้ำมานี้ มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในภายใน สามเณรนี้
เป็นผู้มีอิริยาบถงดงาม มีวัตรอันน่าเลื่อมใส เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธะ
แกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ เป็นผู้อันพระอนุรุทธะ ผู้เป็นบุรุษอาชาไนยฝึกให้รู้
ได้รวดเร็ว ผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นคนดีฝึกให้ดีแล้ว เป็นผู้อันพระ-
อนุรุทธะผู้ทำกิจเสร็จแล้ว แนะนำแล้ว ให้ศึกษาแล้ว สุมนสามเณรนั้น
ได้บรรลุสันติธรรมอันยอดเยี่ยม ทำให้แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ ไม่
ปรารถนาจะอวดคุณวิเศษของตนแก่ใครๆ.
นหาตกมุนีเถรคาถา
สุภาษิตแสดงความพอใจในการอยู่ป่า
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
[๓๕๗] ดูกรภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่อันปราศจากโคจร เป็นป่าเศร้าหมอง
ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร?
พระนหาตกมุนีกราบทูลว่า
ข้าพระองค์จักยังปีติ และความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไปสู่ร่างกายครอบงำ
ปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ และจักเจริญโพชฌงค์ ๗ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ ถึงพร้อมด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน จักเป็นผู้หมดอาสวะอยู่
ข้าพระองค์จักพิจารณาเนืองๆ ซึ่งจิตอันบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้วจากกิเลส
ไม่ขุ่นมัว เป็นผู้หมดอาสวะอยู่ อาสวะทั้งปวงของข้าพระองค์ ซึ่งมีอยู่
ทั้งภายในและภายนอก ข้าพระองค์ถอนขึ้นแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
เบญจขันธ์ ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว มีรากอันขาดแล้ว ตั้งอยู่ ธรรม
อันเป็นที่สิ้นทุกข์ ข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี พระเจ้าข้า.
พรหมทัตตเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญการชนะความโกรธ
[๓๕๘] ที่ไหนความโกรธจะพึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้ฝึกตนแล้ว เลี้ยงชีพ
โดยชอบ ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้สงบ ผู้คงที่ บุคคลโกรธตอบ
บุคคลผู้โกรธ จัดว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะความโกรธตอบ
นั้น บุคคลผู้ไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
บุคคลใดรู้ว่าบุคคลอื่นโกรธแล้ว มีสติสงบใจได้ บุคคลนั้นชื่อว่า
ประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือ แก่ตนและบุคคลอื่น ชนเหล่าใด
เป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรม ชนเหล่านั้นย่อมสำคัญบุคคลผู้รักษาทั้งสองฝ่าย
คือ ตนและบุคคลอื่นว่า เป็นคนโง่เขลา ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จงระลึก
ถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเลื่อย ถ้าตัณหาในรสเกิดขึ้น จงระลึกถึง
พระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตร ถ้าจิตของท่านแล่นไปในกามและภพ
ทั้งหลาย จงรีบข่มเสียด้วยสติ เหมือนบุคคลห้ามโคที่ชอบกินข้าวกล้าฉะนั้น.
ฐิตา:
สิริมัณฑเถรคาถา
สุภาษิตสอนให้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
[๓๕๙] มุงบังไว้ฝนยิ่งรั่วรด เปิดไว้ฝนกลับไม่รั่วรด เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย
จงเปิดที่มุงบังเสียเถิด ฝนจักไม่รั่วรดท่านด้วยอาการอย่างนี้ โลกถูก
มัจจุเผาสุม ถูกชรารุมล้อม ถูกศร คือ ตัณหาทิ่มแทง ถูกความ
ปรารถนาแผดเผาทุกเมื่อ โลกถูกมัจจุเผาสุม และถูกชรารุมล้อม ไม่มี
สิ่งใดต้านทานได้ ย่อมเดือดร้อนอยู่เป็นนิตย์ เหมือนคนกระทำความผิด
ได้รับอาชญาเดือดร้อนอยู่ฉะนั้น ชรา พยาธิและมรณะทั้ง ๓ เป็นดุจ-
กองไฟตามไหม้หมู่สัตว์โลกนี้ สัตวโลกเหล่านั้นไม่มีกำลังต่อต้าน ไม่มี
กำลังจะหนีไปได้ ควรทำวันและคืนไม่ให้ไร้ประโยชน์ ด้วยมนสิการ
น้อยบ้าง มากบ้าง เพราะวันคืนล่วงไปๆ เท่าใด ชีวิตของสัตว์ก็ล่วง
ไปเท่านั้น เวลาตายย่อมรุกร้นเข้าไปใกล้บุคคลทุกอิริยาบถ คืน เดิน
ยืน นั่ง หรือนอน เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรประมาทเวลา.
สัพพกามเถรคาถา
สุภาษิตสอนการพิจารณาสังขาร
[๓๖๐] สัตว์สองเท้านี้เป็นสัตว์ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นเต็มไปด้วยซากศพต่างๆ
มีของโสโครกไหลออกทั่วกาย ต้องบริหารอยู่เป็นนิตย์ เบญจกามคุณ
อันน่ารื่นรมย์ใจเหล่านี้ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ที่มี
ปรากฏอยู่ในรูปร่างหญิง ย่อมล่อลวงปุถุชนให้ลำบาก เหมือนพรานเนื้อ
แอบดักเนื้อด้วยเครื่องดัก พรานเบ็ดจับปลาด้วยเบ็ด บุคคลจับวานร
ด้วยเครื่องล่อ ฉะนั้น ปุถุชนเหล่าใด มีจิตกำหนัดเข้าไปส้องเสพหญิง
เหล่านั้น ปุถุชนเหล่านั้นย่อมยังสงสารอันน่ากลัวให้เจริญ ย่อมก่อภพ
ใหม่ขึ้นอีก ส่วนผู้ใดงดเว้นหญิงเหล่านั้นเหมือนบุคคลสลัดหัวงูด้วยเท้า
ผู้นั้นเป็นผู้มีสติระงับตัณหาอันซ่านไปในโลกเสียได้ เราเห็นโทษในกาม
ทั้งหลาย เห็นการออกบรรพชาโดยความเกษม สลัดตนจากกามทั้งปวง
แล้ว ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ.
สุนทรสมุททเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระสุนทรสมุทร
[๓๖๑] หญิงแพศยาผู้ประดับประดาร่างกาย นุ่งห่มผ้าใหม่อันงามทัดทรง
ดอกไม้ ลูบไล้ด้วยเครื่องหอม เท้าย้อมด้วยสีแดง สวมรองเท้า
ทอง ยืนประคองอัญชลีอยู่ข้างหน้า กล่าวเล้าโลมเราด้วยถ้อยคำ
อันอ่อนหวานว่า ท่านเป็นผู้บรรพชิตหนุ่ม ขอจงเชื่อฟังคำของดิฉัน
ขอเชิญท่านสึกออกมาบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์เถิด ดิฉันจักมอบ
ทรัพย์สมบัติอันให้เกิดความปลื้มใจแก่ท่าน ดิฉันขอให้สัจปฏิญาณแก่
ท่านว่า ดิฉันจักเป็นภรรยา ปฏิบัติท่าน เหมือนพราหมณ์บูชาไฟฉะนั้น
เมื่อใดเราทั้งสองแก่เฒ่าจนถึงถือไม้เท้า เมื่อนั้น เราทั้งสองจึงค่อยบวช
เราทั้งสองถือเอาชัยในโลกทั้งสองก่อนเถิด เราเห็นหญิงแพศยาคนนั้น
ผู้ตบแต่งร่างกาย นุ่งห่มผ้าใหม่อันงามดีมาทำอัญชลี พูดจาเล้า
โลมเรา เหมือนกับบ่วงมัจจุราชอันธรรมชาติดักไว้ ลำดับนั้น
โยนิโสมนสิการบังเกิดขึ้นแก่เรา เราได้เห็นโทษของสังขารแล้ว เกิด
ความเบื่อหน่าย ลำดับนั้น จิตของเราก็หลุดพ้นจากกิเลส ขอท่านจง
เห็นคุณวิเศษของพระธรรมอย่างนี้เถิด บัดนี้ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว
ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว.
ลกุณฏกเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระลกุณฏกเถระ
[๓๖๒] ภัททิยภิกษุอยู่ ณ อัมพาฏการามอันสวยงามในชัฏแห่งป่า ได้ถอนตัณหา
พร้อมทั้งรากขึ้นแล้ว เป็นผู้เจริญด้วยคุณมีศีลเป็นต้น เพ่งฌานอยู่ใน
ไพรสณฑ์นี้ กามโภคีบุคคลบางพวกย่อมยินดีด้วยเสียงตะโพน เสียง
พิณและบัณเฑาะว์ แต่ความยินดีของพวกเขานั้นไม่ประเสริฐ ไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ ส่วนเรายินดีแล้วในคำสอนของพระพุทธเจ้า
อยู่ที่โคนไม้ ก็พระพุทธเจ้าได้ประทานพรแก่เรา เรารับพรนั้น
แล้ว ถือเอากายคตาสติอันโลกทั้งปวงพึงเจริญเป็นนิตย์ ชนเหล่า
ใดถือรูปร่างเราเป็นประมาณ และถือเสียงเราเป็นประมาณ ชน
เหล่านั้นตกอยู่ในอำนาจฉันทราคะ ย่อมไม่รู้จักเรา คนพาลถูก
กิเลสกั้นไว้รอบด้าน ย่อมไม่รู้ทั้งภายใน ไม่เห็นทั้งภายนอกย่อม
ลอยไปตามเสียง แม้บุคคลผู้เห็นผลภายนอก ไม่รู้ภายใน แต่
เห็นภายนอก ก็ลอยไปตามเสียง ส่วนผู้ใดมีความเห็นไม่ถูกกั้น
ย่อมรู้ชัดทั้งภายใน ทั้งเห็นแจ้งภายนอก ผู้นั้นย่อมไม่ลอยไป
ตามเสียง.
ภัททเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระภัททเถระ
[๓๖๓] เราเป็นบุตรคนเดียว จึงเป็นที่รักของมารดาบิดา เพราะเหตุว่า
มารดาบิดาได้เรามาด้วยการประพฤติวัตร และการเซ่นสรวงเป็นอัน
มาก ก็มารดาและบิดาทั้งสองนั้น มุ่งหวังความเจริญ แสวง
หาประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์เรา จึงนำเรามาถวายแด่พระพุทธเจ้า
แล้วทูลว่า บุตรของข้าพระองค์นี้เป็นสุขุมาลชาติ เจริญด้วย
ความสุข เป็นบุตรที่ข้าพระองค์ได้มาโดยยาก ข้าแต่พระองค์ผู้
เป็นนาถะของโลก ข้าพระองค์ทั้งสองขอถวายบุตรสุดที่รักนี้ ให้
เป็นคนรับใช้สอยของพระองค์ผู้ทรงชนะกิเลสมาร ก็พระศาสดา
ทรงรับเราแล้ว รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า จงรีบให้เด็กคนนี้บรรพชา
เถิด เพราะเด็กคนนี้จักเป็นผู้รอบรู้รวดเร็ว พระศาสดาผู้ทรงชนะ
มาร รับสั่งให้พระอานนท์บรรพชาให้เราแล้วเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี
เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัศดงคต จิตของเราก็พ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง
ภายหลัง พระศาสดาทรงออกจากสมาบัติแล้ว เสด็จออกจาก
ที่เร้น รับสั่งกะเราว่า จงเป็นภิกษุมาเถิดภัททะ การรับสั่ง
เช่นนั้น เป็นการอุปสมบทของเรา เราเกิดมาได้ ๗ ปี ก็ได้
อุปสมบท ได้บรรลุวิชชา ๓ น่าอัศจรรย์ ความที่ธรรมเป็น
ความดี
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version