อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 22 : นิรยวรรค
ฐิตา:
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 22 : นิรยวรรค
01. เรื่องนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อภูตวาที เป็นต้น
เมื่อผู้คนที่หันมานับถือพระศาสดามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นๆ พวกอัญญเดียรถีร์(ผู้ถือศาสนาอื่น)พบว่าศาสนิกชนของฝ่ายตนได้ลดจำนวนลงเรื่อยๆ ดังนั้น พวกอัญญเดียรถีย์จึงมีความอิจฉาริษยาในพระศาสดา และพวกเขายังกลัวด้วยว่าสถานการณ์คงจะเลวร้ายลงเรื่อยๆหากว่าพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของพระศาสดา เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงส่งคนไปเชิญนางสุนทรีปริพาชิกามาพบและปรึกษากับนางให้ใช้ความงามและความฉลาดของนางเป็นเครื่องมือกล่าวโทษเพื่อทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของพระสมณโคดม ทำให้มหาชนหลงเชื่อ ก็จะมีผลทำลายลาภสักการะของพระสมณโคดมได้ในที่สุด
นางสุนทรีเข้าใจสิ่งที่พวกอัญญเดียรถีย์คาดหวังจากนางเป็นอย่างดี ดังนั้นในตอนเย็น นางก็จะทำทีเดินมุ่งหน้าไปทางวัดพระเชตวัน เมื่อมีใครถามว่านางจะไปไหน นางก็จะตอบว่า “ฉันกำลังจะไปสำนักพระสมณโคดม ฉันจะอยู่ในพระคันธกุฏีเดียวกันกับพระสมณโคดมทั้งคืน” หลังจากนั้น นางก็จะไปพักอยู่ที่สำนักของพวกอัญญเดียรถีย์ พอถึงรุ่งเช้าในวันรุ่งขึ้น นางก็ทำทีว่าจะเดินกลับบ้าน และหากมีใครถามว่าไปไหนมา นางก็จะตอบว่า “ฉันเพิ่งกลับจากพระคันธุฎี หลังจากที่เมื่อคืนนี้ได้ไปมีความสุขทางเพศกับพระสมณโคดมมา” นางทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลา 2 -3 วัน พอในวันที่ 4 พวกอัญญเดียรถีย์ก็ได้ไปจ้างพวกนักเลงให้ทำการสังหารชีวิตนางสุนทรีแล้วหมกศพของนางไว้ที่กองขยะดอกไม้ใกล้วัดพระเชตวัน ในวันรุ่งขึ้น พวกอัญญเดียรถีย์ก็ได้ปล่อยข่าวว่านางสุนทรีปริพาชิกาหายตัวไป และได้นำความขึ้นกราบทูลพระราชาพร้อมแจ้งเบาะแสว่านางไปที่วัดพระเชตะวันในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พระราชาทรงอนุญาตให้ทำการตรวจค้นตามที่ต่างๆได้ตามที่ต้องการ
เมื่อคนของพวกอัญญเดียรถีย์ออกไปค้นหาก็ได้พบศพของนางสุนทรีหมกอยู่ในกองขยะดอกไม้ใกล้วัดพระเชตวัน จึงได้นำศพนางไปที่พระราชวัง แล้วกราบทูลพระราชาว่า สาวกของพระสมณโคดมเป็นผู้ฆ่านางสุนทรี เพื่อปกปิดเรื่องที่นางมีเพศสัมพันธ์กับพระสมณโคดม พระราชาตรัสตอบว่า หากเป็นเช่นนั้นก็ขอให้แห่ศพนางไปประจานให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้โดยทั่วกัน ดังนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ก็จึงแห่ศพไปประจานตามที่ต่างๆจนทั่วเมือง โดยได้ประกาศว่า “ขอท่านทั้งหลาย จงดูการกระทำของพวกสมณศากยบุตรเถิด” จากนั้นก็เที่ยวชี้หน้าด่าว่าพระภิกษุที่พวกตนพบในเมืองบ้าง นอกเมืองบ้าง ในป่าบ้าง ภิกษุทั้งหลายได้นำความนี้ขึ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น แม้พวกเธอก็จงกล่าวคำเหล่านี้พูดตอบโต้คนเหล่านั้นบ้าง” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อภูตวาที นิรยํ อุเปติ
โย วาปิ กตฺวา น กโรมิจฺจาห
อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ
นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถ ฯ
ผู้มักพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก
หรือแม้ผู้ใดทำแล้ว กล่าวว่า ข้าพเจ้ามิได้ทำ
ชนแม้ทั้งสองนั้น เป็นมนุษย์มีกรรมเลวทราม
ละไปในโลกอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกัน.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ต่อมา พระราชาทรงส่งราชบุรุษออกติดตามหาตัวฆาตกรที่สังหารโหดนางสุนทรี เมื่อทำการสืบสวนในทางลับแล้ว ก็พบว่าพวกฆาตรกรที่สังหารนางสุนทรีคือพวกนักเลงสุรา เมื่อทำการจับกุมนักเลงสุราเหล่านี้แล้วก็ได้ตัวไปถวายพระราชา เมื่อถูกสอบสวนพวกเขาก็ได้รับสารภาพว่าถูกว่าจ้างโดยพวกอัญญเดียรถีย์ให้ฆ่านางสุนทรีแล้วนำศพของนางไปซุกไว้ที่กองขยะดอกไม้ใกล้วัดพระเชตวัน พระราชาจึงมีรับสั่งให้พวกฆาตกรเหล่านี้ตระเวนไปร้องป่าวประกาศจนทั่วเมืองว่า “นางสุนทรีนี้ ถูกพวกข้าพเจ้าผู้ใคร่จะใส่ร้ายพระสมณโคดมฆ่า โทษของพระสาวกของพระสมณโคดมไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว” ผู้คนที่เคยหลงเชื่อต่างก็ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งพวกเดียรถีย์และพวกฆาตกรต่างได้รับโทษทัณฑ์ทางอาญาในข้อหาฆ่าคน จำเดิมแต่นั้นมา เกียรติภูมิและลาภสักการะของพระศาสดาและพระสาวกทั้งหลายยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเก่า.
ฐิตา:
02. เรื่องสัตว์ผู้ถูกทุกข์เบียดเบียน
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสัตว์ทั้งหลายผู้อันอานุภาพแห่งผลทุจริตเบียดเบียน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า กาสาวกัณฐา เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง ขณะที่พระมหาโมคคัลลานเถระเดินลงมาจากเขาคิชฌกูฏ พร้อมด้วยพระลักขณเถระ เห็นร่างของเหล่าสัตว์นรกมีเปรตผู้มีแต่ร่างกระดูกเป็นต้น จึงทำการยิ้มแย้ม เมื่อพระลักขณเถระได้ถามถึงสาเหตุของการทำยิ้มแย้มนั้น ท่านกล่าวว่าอย่าเพิ่งมาถามตอนนี้ ให้ไปถามในตอนที่เข้าเฝ้าพระศาสดา เมื่อถึงสำนักของพระศาสดาแล้วพระมหาโมคคัลลานะได้บอกกับพระลักขณเถระว่า นอกจากท่านจะเห็นสัตว์นรกแล้ว ท่านก็ยังเห็นภิกษุ 5 รูปมีร่างกายถูกไฟไหม้ พระศาสดาเมื่อทรงสดับเรื่องพระภิกษุ 5 รูปถูกไฟนรกแผดเผานั้นแล้ว ได้ตรัสบอกว่า พระภิกษุเหล่านั้นเคยบวชในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม เพราะกรรมชั่วนั้นเองจึงได้ไปบังเกิดในนรก
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
กาสาวกณฺฐา พหโว
ปาปธมฺมา อสญฺญตา
ปาปา ปาเปหิ กมฺเมหิ
นิรยํ เต อุปปชฺชเร ฯ
ชนเป็นอันมาก มีคอพันด้วยผ้ากาสาวะ
เป็นผู้มีธรรมลามก ไม่สำรวม
ชนผู้ลามกเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงนรก
เพราะกรรมลามกทั้งหลาย.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล.
ฐิตา:
03 .เรื่องภิกษุผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำชื่อวัคคุมุทา
พระศาสดา เมื่อเสด็จอาศัยเมืองไพศาลี ประทับอยู่ในมหาวัน ทรงปรารภภิกษุผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำชื่อวัคคุมุทา
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า เสยฺโย อโยคุโฬ เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง ได้เกิดข้าวยากหมากแพงขึ้นในแคว้นวัชชี ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ต้องการจะมีอาหารขบฉันอย่างพอเพียง จึงได้อวดอ้างอุตตริมนุษยธรรมว่าพวกตนได้สำเร็จมรรคผล พวกชาวบ้านเชื่อว่าภิกษุเหล่านั้นบรรลุมรรคผลจริงๆ จึงได้ถวายภัตตาหารเป็นจำนวนมาก แก่ภิกษุเหล่านั้นเ เมื่อออกพรรษปวารณาแล้ว ภิกษุทั้งหลายจากทั่วประเทศได้ดินทางไปเข้าเฝ้าพระศาสดา พวกภิกษุจากฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาก็ไปเฝ้าพระศาสดาเช่นเดียวกัน ภิกษุเหล่านี้มีร่างกายอ้วนท้วนแข็งแรงในขณะที่ภิกษุจากที่อื่นๆมีร่างการซูบซีดผอมโซ พระศาสดาได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของแต่ละรูปในช่วงเข้าพรรษา เมื่อมาถึงพวกภิกษุจากฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา พระศาสดาได้ตรัสถามถึงปัญหาของอาหารการขบฉันว่ามีความลำบากหรือไม่ พระเหล่านี้ได้กราบทูลว่าพวกตนไม่มีความลำบากในเรื่องของอาหารและการขบฉันต่อย่างใด
พระศาสดาได้ตรัสถามว่า เพราะเหตุใดพระเหล่านี้จึงไม่มีปัญหาในเรื่องอาหารและการขบฉันในระหว่างพรรษา พระเหล่านี้กราบทูลว่าที่มีอาหารและของขบฉันอย่างเพียงพอก็เพราะพวกตนอวดอ้างว่าได้บรรลุมรรคผลจึงทำให้ประชาชนมีความเลื่อมใสนำภัตตาหารไปถวายเป็นจำนวนมาก พระศาสดาตรัสถามว่า ได้บรรลุฌาน มรรค หรือผลใดๆหรือไม่ เมื่อพระเหล่านี้ปฏิเสธ พระศาสดาจึงได้ทรงติเตียนว่าเป็นการกระทำที่เห็นแก่ปากแก่ท้อง และได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
เสยฺโย อโยคุโฬ ภุตฺโต
ตตฺโต อคฺคิสิขูปโม
ยญฺเจ ภุญฺเชยฺย ทุสฺสีโล
รฏฺฐปิณฺฑํ อสญฺญโต.
ก้อนเหล็กอันร้อนประหนึ่งเปลวไฟ
ภิกษุบริโภค ยังดีกว่า
ภิกษุผู้ทุศีล ไม่สำรวม
บริโภคก้อนข้าว ของชาวแว่นแคว้น
จะประเสริฐอะไร.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ฐิตา:
04. เรื่องบุตรเศรษฐีชื่อเขมกะ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรเศรษฐีชื่อเขมกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า จตฺตาริ ฐานานิ เป็นต้น
นายเขมกะ นอกจากจะมีชาติตระกูลดี ก็ยังเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ เป็นที่ถูกตาต้องใจของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งแต่อนงค์นางต่างยินยอมพร้อมใจพลีร่างมีเพศสัมพันธ์กับนายเขมะคนนี้ทั้งนั้น นายเขมกะเองก็ชอบเรื่องแบบนี้ด้วย จึงได้ประกอบกิจกรรมที่เรียกว่า “ปรทารกรรม”(เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น) อยู่เป็นอาจิณ พวกราชบุรุษเคยจับนายเขมะในข้อหาเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่นและนำตัวไปถวายเจ้าปเสนทิโกศลถึง 3 ครั้ง แต่พระราชามีรับสั่งให้ปล่อยตัวไปทุกครั้ง เพราะว่านายเขมะผู้นี้เป็นหลานของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อท่านเศรษฐีทราบเรื่อง ก็ได้นำตัวนายเขมกะเข้าเฝ้าพระศาสดา และกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่นายเขมกะนี้”
พระศาสดาทรงแสดง สังเวคกถา (คำที่ชวนให้เกิดความสลดใจ) และเมื่อจะทรงแสดงโทษในการเสพภรรยาของคนอื่น ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
จตฺตาริ ฐานานิ นโร ปมตฺโต
อาปชฺชตี ปรทารูปเสวี
อปุญฺญลาภํ นนิกามเสยฺยํ
นินทํ ตติยํ นิรยํ จตุตฺถํ
อปุญฺญลาโภ จ คตี จ ปาปิกา
ภีตสฺส ภีตาย รตี จ โถกิกา
ราชา จ ทณฺฑํ ครุกํ ปเณติ
ตสฺมา นโร ปรทารํ น เสเว.
นระผู้ประมาท ชอบเสพภรรยาของคนอื่น
ย่อมถึงฐานะ 4 อย่าง คือ
การได้สิ่งที่มิใช่บุญ(เป็นที่ 1)
การนอนไม่ได้ตามความปรารถนา(เป็นที่2)
การนินทาเป็นที่ 3 นรกเป็นที่ 4
ได้สิ่งมิใช่บุญอย่าง 1
คติลามกอย่าง 1
ความยินดีของบุรุษผู้กลัว กับด้วยหญิงผู้กลัว มีประมาณน้อยอย่าง 1
พระราชาย่อมลงอาชญาอันหนักอย่าง 1
เพราะฉะนั้น นระไม่ควรเสพภรรยาของคนอื่น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นายเขมกะ บรรลุโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้นมา มหาชนนอนตาหลับ.
พระคัมภีร์ยังได้เล่าถึงบุรพกรรมของนายเขมะว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะนั้น นายเขมะเป็นนักมวยที่เก่งที่สุด และมีความเข้มแข็งมาก ได้ยกธงทอง 2 แผ่นขึ้นไว้ที่สถูปทองคำของพระกัสสปพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า “เว้นหญิงที่เป็นญาติสาโลหิตเสีย หญิงที่เหลือเห็นเราแล้วจงกำหนัด” (ฐเปตฺวา ญาติสาโลหิติตฺถิโย อวเสสา มํ ทิสฺวา รชนฺติ ) เพราะฉะนั้น เมื่อเขาไปเกิดในภพชาติใดก็ตาม หญิงคนใดได้เห็นเขาแล้ว หญิงคนนั้นก็จะเกิดความหลงใหลในความมีเสน่ห์ของเขา จนคุมสติคุมอารมณ์อยู่มิได้
(หมายเหตุ คำอธิษฐานของนายเขมกะที่เป็นภาษาบาลีว่า ฐเปตฺวา ญาติสาโลหิติตฺถิโย อวเสสา มํ ทิสฺวา รชนฺติ (อ่านว่า ถะเปดตะวา ยาติสาโลหิติดถิโย อะวะเสสา มัง ทิดสะหวา ระชันติ) นี้ได้กลายเป็นมนต์สร้างเสน่ห์วิเศษ ที่พวกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ต้องการสร้างเสน่ห์ให้แก่ตัวเองนำไปท่องบ่นภาวนา)
ฐิตา:
05. เรื่องภิกษุว่ายาก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า กุโส ยถา เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง ดึงหญ้าต้นหนึ่งขาดโดยไม่เจตนา เมื่อเกิดความสงสัยว่าจะเป็นอาบัติหรือไม่ จึงไปถามภิกษุอีกรูปหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากภิกษุหัวดื้อว่ายากรูปนี้ว่า “การดึงต้นหญ้าให้ขาดนี้ เป็นความผิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แค่ท่านแสดงอาบัติเท่านั้น ก็สามารถพ้นจากอาบัตินี้ได้ ท่านอย่าได้วิตกกังวลไปเลย” พอพูดจบ พระรูปที่อธิบายนั้นก็เอาสองมือถอนหญ้าเพื่อเป็นการพิสูจน์ความคิดของตนเองว่าการถอนหญ้าเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลายได้นำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี้ว่า
กุโส ยถา ทุคฺคหิโต
หตฺถเมวานุกนฺตติ
สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ
นิรยายูปกฑฺฒติ ฯ
ยงฺกิญฺจิ สิถิลํ กมฺมํ
สงฺกิลิฏฺฐญฺจ ยํ วตํ
สงฺกสฺสรํ พฺรหฺมจริยํ
น ตํ โหติ มหปฺผลํ ฯ
กยิรา เจ กยิราเถนํ
ทฬฺหเมนํ ปรกฺกเม
สิถิโล หิ ปริพฺพาโช
ภิยฺโย อากิรเต รชํ ฯ
หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี
ย่อมตามบาดมือนั่นเอง ฉันใด
คุณเครื่องสมณะ ที่บุคคลลูบคลำไม่ดี
ย่อมคร่าเขาไปในนรก ฉันนั้น.
การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน
วัตรใดที่เศร้าหมอง
พรหมจรรย์ที่ระลึกด้วยความรังเกียจ
กรรมทั้ 3 อย่างนี้ ย่อมไม่มีผลมาก.
หากว่าบุคคลพึงทำกรรมใด
ควรทำกรรมนั้นจริง
ควรบากบั่นทำกรรมนั้นให้มั่น
เพราะว่าสมณธรรมเครื่องละเว้นที่ย่อหย่อน
ยิ่งเกลี่ยธุลีลง.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ภิกษุแม้นั้น ดำรงอยู่ในความสังวรแล้ว ภายหลังเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตตผล.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version