เริ่มจากศีลข้อ 1. ปาณาติปาตา เวรมณี ฯ งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
อันนี้ก็เกือบจะเปอร์เฟค อ่ะค่ะ
เดี๋ยวนี้ อิฉันก็จัดอยู่ในระดับ...
หมางับก็ไม่เตะ ยุงขบก็ไม่ตบ มดกัดก็ไม่บี้ อ่ะนะ
แถมยังงดใช้ ทรายอะเบต ใส่ถังน้ำ ในห้องน้ำด้วย
เพราะรู้สึกไม่ดี ที่ต้อง ฆาตกรรมหมู่ บรรดาลูกน้ำยุงลาย
เพื่อปกป้องตัวเองจากโรค ไข้เลือดออก,ไข้จับสั่น ฯลฯ อ่ะค่ะ
ก็เลยใช้วิธี ระมัดระวังตัวเองไม่ให้โดนยุงกัด แทน
พยามไม่เปิดประตูทิ้งไว้ ให้ยุงแห่บินเข้ามาปาร์ตี้ในบ้าน
หรือไม่งั้น ถ้ายุงมันเล็ดลอดเข้ามา ในห้องได้
ก็หาถุงครอบมันไปทิ้งนอกบ้าน
แต่ถ้ามันดื้อด้าน ไล่ยังไงก็ไม่ไป
ก็จะหาโลชั่นทากันยุง มาใช้ เอา อ่ะค่ะ
ก็ได้ผลดี ในระดับหนึ่ง อ่ะนะ
แต่ถ้าจะมีใครมาแย้ง อิฉันว่า
การงดใช้ทรายอะเบตของ อิฉัน
มันมีผลกระทบทางระบาดวิทยา
ทำให้ รัฐบาลสูญเสียงบประมาณ
ในการรณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลายไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
และ มีคนไข้เป็นมาลาเรียขึ้นสมองตายมากขึ้น ฯลฯ
อิฉันก็พร้อมที่จะทำใจ ยอมรับ วิบาก
อันเป็นผลของ บัทเตอร์ ฟลาย เอฟเฟค
ที่เกิดจากการกระทำ ของอิฉัน เจ้าค่ะ
และ ถ้า ใครสามารถ พิสูจน์ดีเอ็นเอ ได้ว่า
ไอ้ยุง ตัวที่มันกัด จนลูกของเขาเป็น ไข้เลือดออกตาย นั้น
มันเป็น ยุงตัวที่เกิดจากลูกน้ำยุงลายในถังน้ำ ที่บ้านอิฉัน
อิฉันก็พร้อมจะ แสดงความรับผิดชอบ
ชดใช้ค่าเสียหายให้พวกเขา
แทนไอ้เจ้ายุงลายพวกนั้น ด้วยอ่ะค่ะ
แล้วก็จะ ไม่บ่นว่า พ่อแม่คนไหน สักคำด้วย ว่า
พวกมรึงดูแลลูกเต้ากันยังไง ฟระ
ถึงปล่อยให้ลูกมรึงถูกยุงกัด จนตาย5 งี้น่ะ
อ้อ ส่วน เมื่อเดือนที่แล้ว
นี่ก็ ตัดสินใจทำพิธี โบกมือบ๊ายบาย
เลิกใช้ชอล์คกันมด มาขีด
เพื่อ กันไม่ให้มดขึ้นน้ำขึ้นอาหาร ด้วยอ่ะ
( หลังจาก จำใจต้องใช้ ไอ้ชอล์คพวกนี้ อยู่หลายปี )
โดยที่รู้สึกเหมือนว่า เรากำลังใช้เอาอาหารมาล่อลวง
ทำให้เจ้ามดที่ไร้เดียงสา ต้องมาตายเพราะสารพิษจากชอล์คพวกนี้ ง่ะ
เฮ้อออ นี่ก็ไม่รู้จะเวิร์คไหม ?
เพราะ มดที่บ้าน มันจมูกไวโคตร ๆ
ขนาด ม่าม่าที่อยู่ในซองยังไม่ได้เปิด
มั๊นยังแอบมากัดจนเป็นรู
แล้วแอบขโมยกินมาม่า ของอิฉัน
จนอิ่มหนำสำราญ เลยอ่ะ
และ นอกจากนี้ อิน้องมด
มันยังชอบแอบมาไต่ตอม
แถวเหยือกน้ำ ที่อิฉันใช้ดื่มกินอีกด้วยนะ
แล้ววันดีคืนร้าย มันก็ยังเจื๋อกเดินซุ่มซ่าม
สะดุดขาตัวเอง ตกลงไปลอยแอ้งแม้ง
ดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ในเหยือกน้ำ อีกตะหาก
เดือดร้อน ให้ เจ้าของบ้านที่แสนดีอย่างอิฉัน
ต้องมาเป็นทุกข์เป็นยากมาช่วยปฐมพยาบาล
ทำให้มันรอดพ้นจากการสำลักน้ำตายอี๊ก
เฮ้ออ สำหรับ ตอนนี้พอเลิกใช้ชอล์คกันมด แล้ว
ก็เลยต้องพยามไม่วางอาหารเรี่ยราด
กินเสร็จก็รีบโยนสารพัดกับข้าว และ ขนมนมเนย เข้าตู้เย็น
และ พยามหลีกเลี่ยงการวาง อาหารต่าง ๆ
อันจะเป็นการล่อหูล่อตา อิพวกน้องมด อ่ะ
ส่วน เหยือกน้ำต่าง ๆ นี่ก็เก็บเข้าตู้เย็นโลด
เหลือไว้แต่ ขวดน้ำที่มีฝาปิดมิดชิด อยู่ข้างนอก
ซึ่งก็พอกล้อมแกล้ม อยู่ร่วมบ้าน
ก๊ะ อิน้องมด มันได้อย่างสงบสุข อ่ะนะ
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกัน ที่เผลอเรอ
วางจานอาหารทิ้งไว้จนมดขึ้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะ เคาะไล่มด
หรือ เอาจานไปวางตากแดด
ให้มดมันร้อนจนทนไม่ไหว
แล้วเดินหนีไปเองอ่ะนะ
ทว่า เคยอ่านเจอ ไอ้หนุ่มคนหนึ่ง
เขียนไว้ ที่ห้องสาดหนา เวบพันติ๊ป ว่า
เวลา เจอมดขึ้นอาหารที่บ้านเขา
เขาจะใช้วิธี ปล่อยให้มดพวกนี้
กินอาหารในจานจนอิ่มหนำ เสียก่อน
แล้ว รอจนมัน เลิกราไม่มาตอมที่จานนั้นไปเอง
จึงจะเอาจานนั้นไปทำความสะอาด
อะโหย อ่านแล้ว ประทับใจ มากมายอ่ะค่ะ
ก็เลยเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แหะ ๆ
เวลามีมด แอบมาตอมอาหาร ก็เลยใช้วิธีเดียวกับเขา
โชคดีที่ อยู่แฟลตคนเดียว ก็เลยไม่ต้องห่วง
เรื่องที่จะต้องทำตัวซ่กม่ก รบกวน รูมเมท
แต่ก็พยามไม่สับเพร่าเผลอเรอบ่อย ๆ หรอกนะ
เออ อีกเรื่อง เดี๋ยวนี้ อิฉันพยามเลิก
ที่จะเดินเหยียบหญ้าด้วยค่ะ ( ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงได้ )
เพราะ ก่อนหน้านี้ มีใครคนหนึ่ง เคยบอก อิฉันว่า
คนธรรมดาอย่างเรา ไม่มีใครสามารถถือศีล 5
ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้หรอก
แค่เราเดินเหยียบหญ้าในสนามเนี่ย
ก็สามารถทำให้ มดให้แมงตายไปหลายสิบตัวแล้ว
งี้ ใครมันจะถือศีลได้แบบหมดจดล่ะ ?
ฟังคำพูดของเขาแล้ว อิฉันก็รู้สึกว่า
เออ จริงด้วยแฮะ การเหยียบหญ้าในสนาม
มันก็เหมือนการฆาตกรรมหมู่ พวกมดแมงแมลงต่าง ๆ
อย่างที่ เขาว่า จริง ๆ แต่สิ่งที่ อิฉัน คิดต่างจากเขาก็คือ
อิฉันเกิดความสงสัยว่า ไอ้เรื่องการเหยียบหญ้าในสนามเนี่ย
จริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของการ เลี่ยงไม่ได้ หรือว่า บ่ายเบี่ยง
เพียงเพื่อ ปกป้องความสะดวกสบายของตัวเองกันแน่วะ ?
อิฉันก็เลยลองงดเว้นการเดินเหยียบหญ้า ดูอ่ะค่ะ
ซึ่ง มันก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นอะไร
แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยการเสียสละ
ความสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกัน
จำได้ว่า บางครั้ง อิฉันต้องยอมเสียเวลาเดินอ้อมโลก
ไม่ยอมเดินไปทางเดียวกับชาวบ้านเขา
จนถูกมองว่า อินังนี่มันชอบทำอะไรประหลาด ๆ
เพียงเพราะ อิฉันพยามจะหลีกเลี่ยง
ไม่ให้เหยียบย่ำทำร้าย มดแมลงแมงกระบี้ต่าง ๆ
แต่ก็มีหลายครั้ง เหมือนกันนะ ที่ จำใจต้องเหยียบหญ้า
อาทิเช่น เวลาที่น้องชายมันจอดรถยนต์ไว้ข้างสนามหญ้าพอดี
ถ้าไม่เอาตรีนเหยียบหญ้า ก็ลงจากรถ ไม่ได้
ยกเว้นจะทำเรื่องมาก ขอออกทางด้านคนขับ
( แต่ก็อาจจะถูกรถเฉี่ยวตายได้ )
ซึ่งถ้าเจอเคสอิหลักอิเหลื่อแบบนี้
ก็จะทำใจเหยียบหญ้า
แต่ก็จะทำให้น้อยครั้งที่สุด และ เร็วที่สุดน่ะ
ซึ่งตอนที่เหยียบ ก็จะพยามปลง ๆ
แล้วกก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ระทมอะไร หรอกนะ
แต่ จะทำใจยอมรับวิบากต่าง ๆ ไปตามสภาพ
เพราะถือว่า มันเป็นเหตุสุดวิสัย หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
ก็แค่ยอมรับ ในวิบากที่ได้กระทำไป
ตามจำนวน มดแมงแมลงต่าง ๆ
ที่มันดันดวงซรวย มาแบนแต๊ดแต๋
ตายคาตรีนของเรา เท่านั้นอ่ะ
แต่ก็มีเรื่อง ขำ ๆ จะเล่าให้ฟังด้วยอ่ะ
เช้าวันหนึ่ง ต้องเดินกลับแฟลต
มีทางเลือก สามทางให้เดินผ่าน คือ
1. เดินลัดสนามหญ้า
2. เดินเลาะตามขอบพื้นดินข้างสนามหญ้า
3. เดิน อ้อมโลก ตรงพื้นซีเมนต์( ที่มักจะเลือกเดินตามปกติ )
วันนั้น นึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้
จู่ ๆ ก็อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ
มาเดินเลาะตามขอบพื้นดินข้างสนามหญ้า
ใจหนึ่งก็ คะยั้นคะยอว่า
เฮ้ย ไม่เป็นไรไม่ใช่สนามหญ้าสักหน่อย เดินได้น่า
ประหยัดเวลามากกว่าการไปเดินอ้อมโลก
บนพื้นซีเมนต์ เยอะเลย
แต่อีกใจก็แย้งว่า เฮ้ย แต่ถ้าเดินบนพื้นดินตรงนั้น
มันมีโอกาสเหยียบพวกสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในดินได้นา
ถ้าเลี่ยงได้ ยอมเสียเวลาเดินบนพื้นซีเมนต์ดีกว่าไหม
ก็สองจิตสองใจลังเลอยู่นานเลย
ก่อนจะ ตัดสินใจเลือกเดินไปตามพื้นดิน
แล้วพยามบอกตัวเอง ประมาณ ว่า
เออน่า ก็แค่นี้เรื่อง จิ๊บ ๆ
ภาษพระเค้ายังว่า อาบัติปาจิตตีย์ เลยนิ
อย่าคิดมากเรยอ่ะ เด๋วเก๊าะกลายเป็น ..
ศีลพรตปรามาส หร็อก ฯลฯ
น่าขำ พอเดินเลาะไปตามพื้นดิน อย่างที่ใจมันเกลี้ยกล่อม
ได้แค่ สองสามก้าว เท่านั้น ก็เกิดอาการทนเดินต่อไปไม่ไหว ว่ะ
จู่ ๆ ใจมันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ขึ้นมาซะงั้น
ทุกครั้งที่ก้าวขา มันจะรู้สึกฝืน ๆ ยังไงบอกไม่ถูกนะ
อารมณ์ประมาณ ว่า เรากำลังฝืนใจ
ให้กายมันเดินไปในทางที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม
เลยความรู้สึกไม่ค่อยจะดีน่ะ
อาจเป็นเพราะ เจื๋อกไปแอบเห็นความมักง่าย
ที่มันหมกเม็ดอยู่ลึก ๆ ในอนุสัย ด้วยมั้ง
สุดท้ายก็เลยชะงักตรีน ตัดสินใจย้อนกลับไป
เดินอ้อมโลกบนพื้นซีเมนต์เหมือนเดิม
พร้อมกับบอกตัวเองอย่างขำ ๆ ว่า
เออๆ ยอมแล้ว ๆๆๆๆ กรูเปลี่ยนใจแล้วก็ได้
กรูทำงี้ ไม่ลงว้อยยยยยยยยยย