ประชาสัมพันธ์ > โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !
เหล่านักปฏิบัติจ๋าา มามะ มา ลวกน้ำร้อนขูดขน เอ๊ย มาคนค้นคน ชำแหละ .....
บัวผ่อง:
อ้ออ จริง สิ เคยมี ใครคนหนึ่งเคยเขียน เล่าสู่กันฟัง
เกี่ยวกับ เรื่องศีล ไว้ ใน บล็อกสุมหัวนินทาชาวบ้าน ว่า
--- อ้างถึง ---
เรื่องมือถือสากปากถือศีล นี่ ก็เนอะ พูดยาก
เพราะเขาใช้กับพวกปากพูดอย่างหนึ่งแต่ใจทำอย่างหนึ่ง
พวกหน้าเนื้อใจเสือทำตัวเป็นผู้ทรงศีลแต่ใจไม่เคยมีศีล
เข้าข่ายหน้าไหว้หลังหลอก อะ
แต่พวกที่ตั้งใจรักษาศีล5จริงจัง แต่ศีลยังพร่องอยู่
เพราะยังไม่ถึงขั้นพระโสดาบันที่มีศีลบริสุทธิ์แล้ว
ก็ไม่นับเป็นมือถือสากปากศีล เนาะ
เป็นปุถุชนที่ตั้งใจรักษาศีล นี่ยังมีทำผิดศีลกันได้
เพราะมีเหตุมีปัจจัยทำให้ศีลพร่อง แล้วถ้ารู้ตัวว่าศีลยังพร่อง
เขาไม่เรียกว่ามือถือสากปากถือศีลนะ เพราะรู้ว่าศีลพร่อง
แปลว่ายอมรับความจริงของตัวเอง ก็จะมีการขวนขวาย
ปรับปรุงหลีกเลี่ยงกันไป หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ยอมรับความ
จริงแอ่นอกรับกรรมไปในเรื่องนั้นๆ ไม่หนีกรรม ก็มี
คือรู้สภาพตามจริงของตัวเอง
ต่างจากพวกงักปุ๊กคุ๊ง ที่เป็นพวกอันตรายหลอกคนอื่น
และหลอกตัวเองอีก หลงทางกู่ไม่กลับ ไม่มีศีลก็คิดว่ามีศีล
ทำชั่วก็ไม่รู้ชั่ว ทำผิดศีลก็ไม่รู้ผิด อานิสงค์ของศีลก็ไม่รู้
ทำผิดศีลแล้วจะมีผลเสียมาที่ตัวเองอย่างไรก็ไม่รู้
พวกเนี้ยลำบาก หลงทางหลงผิด หน้ามืดแต่คิดว่าตัวเอง
เป็นผู้ดี เป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้เคร่งศีล ทำผิดก็ไม่รู้ตัว
พวกเนี้ย อตร. ไม่ควรคบหาและเข้าใกล้อาจซรวยได้!!!
แหะแหะ เพราะงั้น ถึงจะทำอาบัติปาจิตตีย์ แบ่บจิ๊บ ๆ
ไปหมดทั้งข้อ1-4 อิอ่อนมันก็ยังบอกว่า มันไม่ได้มือถือสาก
ปากถือศีล นะว้อย (อิอิ) เพราะมันรู้ว่าทำผิดไปแร้ว แต่ว่า
ก็ไม่ได้meบ่อยๆจนติดเป็นสันดาน
ทำเมื่อจำเป็นเท่าน้านนนน อาทิเช่น
1.เรื่องเดินลัดตัดสนามนี่ ก็มีบ้างแล้วแต่เหตุปัจจัยทำให้
ต้องจำใจเดินลัดสนามก็มีง่ะ แต่ไม่บ่อย รู้ว่าไม่ดีแต่บางที
มันก็จำเป็น ง่ะ
2.โปรแกรมเถื่อนก็ยังมี แหะ แหะ แต่ว่าก็ไม่ได้ใช้เอาไป
หาตังค์ ง่ะ ใช้เพื่อการศึกษา เห็นเฮียบิล เขาชอบทำบุญกุศล
ก็คงไม่ได้มาอาฆาตมาดร้ายอิอ่อนมากมายหรอกเนอะ
อีกอย่าง ลิขสิทธิวินโดว์ ที่ติดเครื่องมาตอนซื้อก็ไม่ได้ใช้
เพราะมันห่วย ต้องไปใช้เวอร์ชั่นแผ่นผี แทนก็มี
ตอนทำร้านเกมส์ก็มีอุดหนุนวินโดว์หมดไปเป็นแสนนะ
ที่ซื้อแล้วใช้ไปแป๊บๆก็ตกรุ่น ก็โดนบังคับให้ซื้อเวอร์ชั่นใหม่
อีกอัพเกรดไม่ได้ ซื้อทิ้งซื้อขว้างก็หลายดอกส์
3.เรื่องแอบวิสาสะใช้ของที่ทำงานฟรีก็มีบ้างอยู่แล้ว
มะได้ตั้งใจโกง แต่มันจำเป็นในบางโอกาส แหะ แหะ
4.เรื่องเวลางานก็มีบ้างเนาะ แต่โดยรวมก็รับผิดชอบงาน
เต็มที่ ถือว่าตอบแทนกันไปตามโอกาส แต่เรื่องรูดบัตร
เซ็นต์บัตรแบบโกงๆนี่ ทำไม่ลง ง่ะ
ก็เรียกว่า มีศีลแต่ไม่บริสุทธิ เนาะ ก็ธรรมชาติของเรา
มันเป็นปุถุชนคนมีกิเลสนี่นา เรื่องไหลลงต่ำทำผิดศีล
ก็เป็นปกติแต่การมีสติรู้ดีรู้ชั่ว คือโปรแกรมป้องกันตัวเอง
ไม่ให้ไหลลงสู่ที่ต่ำแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เิกิด และยืดอก
ยอมรับทุกการกระทำของตัวเองทั้งดีและเลว รวมถึงยอมรับ
ผลกรรมนั้นๆตามจริง โดยไม่ต้องมีข้อโต้แย้งกับใคร
ความในใจอิอ่อน ก็มีเท่านี้ อะจ้ะ
โดย: อิอ่อน IP: 124.120.246.123 วันที่: 13 กรกฎาคม 2555 เวลา:10:28:56 น.
--- End quote ---
ฟังแล้ว อิฉัน ค่อนข้างเห็นด้วยกับอิอ่อน มันนะ
โดยเฉพาะ ที่บอกว่า
--- อ้างถึง ---
เป็นปุถุชนที่ตั้งใจรักษาศีล นี่ยังมีทำผิดศีลกันได้
เพราะมีเหตุมีปัจจัยทำให้ศีลพร่อง แล้วถ้ารู้ตัวว่าศีลยังพร่อง
เขาไม่เรียกว่ามือถือสากปากถือศีลนะ เพราะรู้ว่าศีลพร่อง
แปลว่ายอมรับความจริงของตัวเอง ก็จะมีการขวนขวาย
ปรับปรุงหลีกเลี่ยงกันไป หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ยอมรับความ
จริงแอ่นอกรับกรรมไปในเรื่องนั้นๆ ไม่หนีกรรม ก็มี
คือรู้สภาพตามจริงของตัวเอง
ต่างจากพวกงักปุ๊กคุ๊ง ที่เป็นพวกอันตรายหลอกคนอื่น
และหลอกตัวเองอีก หลงทางกู่ไม่กลับ ไม่มีศีลก็คิดว่ามีศีล
ทำชั่วก็ไม่รู้ชั่ว ทำผิดศีลก็ไม่รู้ผิด อานิสงค์ของศีลก็ไม่รู้
ทำผิดศีลแล้วจะมีผลเสียมาที่ตัวเองอย่างไรก็ไม่รู้
พวกเนี้ยลำบาก หลงทางหลงผิด หน้ามืดแต่คิดว่าตัวเอง
เป็นผู้ดี เป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้เคร่งศีล ทำผิดก็ไม่รู้ตัว
พวกเนี้ย อตร. ไม่ควรคบหาและเข้าใกล้อาจซรวยได้!!!
--- End quote ---
มันทำให้อิฉัน นึกถึงใครคนหนึ่ง
ที่ ผ่านเข้ามาในชีวิตจัง
ตอนนั้น เลยเที่ยงวันมาแล้ว
แต่คนไข้ที่รอรับยา ยังไม่หมด( รอหมอตรวจอยู่ )
พอรู้เรื่องนี้ตอนที่กำลังจะก้าวเท้า ออกจากห้องยา ลงไปพัก
อิฉันก็เลยตัดสินใจจะอยู่รอรับคนไข้
เพื่อ ช่วยชาวบ้านทำงานต่อ
แล้วพูด ติดตลก ประมาณว่า
ที่ไม่ลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนชาวบ้านเนี่ย
ไม่ใช่ อยากจะทำตัวเป็นคนดีนะว้อยยยย
แต่ ถ้าลงไปพักก่อน เดี๋ยวจะรู้สึกผิด ก็เลยต้องอยู่ต่อ !
ลงก่อน แล้วมันรู้สึกเหมือน เอาเปรียบคนอื่น ฯลฯ
ใครคนนั้น ฟังที่อิฉันพูด แล้ว ก็แย้ง
สอน อิฉัน ประมาณ ว่า
ถ้าเราไปคิดว่า
มันเป็นการเอาเปรียบ
มันก็จะเป็น การเอาเปรียบ
แต่ถ้าเรา ไม่คิดว่า
มันเป็นการเอาเปรียบ
มันก็จะไม่เป็นการเอา เปรียบ
ฟังแล้ว ก็รู้สึก นะ ว่า มันช่างเป็นธรรมะ
ซึ่งสอนให้ เข้าถึงหลักแห่งการปล่อยวาง ได้คมคายสไตล์เซน
ที่ กระทบจิตกระทบใจชะมัดเลย
แต่ฟังไง มันก็ยัง ตะขิดตะขวงใจ อยู่ดี ว่ะ
ถ้าจะให้ เอาหลักการปล่อยวาง เช่นนี้ มาใช้กับ เคสของอิฉัน
เนื่องจากเกิดความคลางแคลงใจ ว่า
การลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนชาวบ้าน
โดยที่ไม่มีเหตุปัจจัยอันสมควรมารองรับ
นอกจาก คำว่า กรูหิวแล้ว กรูอยากรีบไปกินข้าว
แล้วเอาเวลามานั่งเม้าส์ชิล ๆ กับกลุ่มก๊วนตัวเอง เนี่ย
มันเป็นเรื่องของการปล่อยวางตรงไหนฟระ ?
ที่สำคัญ คนที่เอาธรรมะเรื่องนี้มาพูด นั้น
ก็เป็น คนที่มักจะขอตัว
ลงไปพักกินข้าวเที่ยงก่อนชาวบ้านเขา
และ ชอบเอาเวลาหลวง ไปทำงานราษฏร์ เสมอ
อาทิเช่น บ่นว่าเมื่อยขอตัวไปนวด
/ ไปทำธุระ( ซื้อทองเก็งกำไร )
/ ไปทำฟัน/ ไปฝังเข็มทำหน้าเด้ง /ไปทำบุญฯลฯ
แถมเผลอ ๆ บางวันขึ้นเวรทำโอที ด้วยกันสองคน
ก็ยัง ขอขึ้นมาทำงานเลท เพราะ ตั้งใจจะไปทำบุญ
เลย อยากจะ นั่งฟังหลวงพี่ เทศน์ตอนเช้า ๆ
แต่พอหลวงพี่ รู้เข้า ว่า เอาเวลาขึ้นเวร มานั่งฟังเทศน์
ท่านก็เลยไล่ให้กลับโรงบาล ทันที
เพราะไม่อยากให้ลูกศิษย์ลูกหา เบียดบังเวลาหลวง
อนึ่ง เมื่อเห็น ภูมิหลัง ของคนพูด เป็นเช่นนี้
ก็เลยมองเห็น รากเหง้าของ พฤติกรรม ของเขา มั้ง
จึงรู้สึกไม่ค่อยดี เท่าไรนัก ที่ต้องฟัง งักปุ๊กคุ้ง
มาคุยฟุ้งเรื่อง ธรรมมะ และ การปล่อยวาง
เพียงเพื่อที่เขาจะได้ รู้สึกดี รู้สึกสบายใจ
ที่ไม่ถูก หิริโอตตัปปะ มันคอย ทิ่มแทง อ่ะ
เฮ้ออ เจอเรื่องงี้ แล้ว
อิการ์ฟิลด์ มันก็ปรี๊ดแตก เลยอ่ะ
แถม มันยังเสือกมานะ จัด
ถึงขนาด หลีกเลี่ยง เลิกพูดจาเล่นหัว
ทำตัวสนิทสนม กับ คน ๆ นั้นเลยนะ
( จะพูดด้วยเฉพาะ เรื่องงาน เท่านั้น )
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญ
ที่ทำให้ อิการ์ฟิลด์ มันกลายเป็นงี้นะ
เหตุผล จริง ๆ ก็คือ
แมร่ง มันพูดจาไม่เข้ารูหูกรู กรูเลยเลิกคบ !
แหะ...แหะ... บทอิการ์ฟิลด์
มันนึกรั้นจะเอาแต่ใจ ขึ้นมาจริง ๆ นี่
อินังคิตตี้ มันก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน ว่ะ
ก็เลยต้อง ปล่อยเลยตามเลย แทนการปล่อยวางอัตตา
อืม... ในเมื่อ เรายังไม่สามารถ ละ มานะ ในตนได้
บางทีการมี ช่องว่างระหว่างกัน ที่ห่างไกลมากขึ้น
มันก็จะช่วยลดการเกิดปฏิฆะ ได้เหมือนกัน นะ
เฮ้อออ ชักจะเริ่มเข้าใจ ป๋าโจ ผัวอิอ่อน เลยว่ะ
ว่าทำไม อีถึงเปิดแน่บ เอ๊ย เดินหนี เวลาที่เจอคนแบบงักปุ๊กคุ้ง
บัวผ่อง:
จริงสิ ใคร อีกคนหนึ่ง ก็เคยบอก ใน บล็อกเดียวกัน ว่า
--- อ้างถึง ---
พอดี วันนี้เป็นคลอด หลบ
จะมาบอกว่า ศีลอยู่ที่เจตนา หากไปคิดมากเราจะอยู่บนโลก
ใบนี้แบบเบี้ยวลำบาก เจตนากุศลก็ลุยไปเลย
อย่าหวั่นแม้วันมามาก
ใครจะว่าเรามือถือสาก ปากถือศีล ก็เรื่องของมัน
แค่เราไม่มองคนอื่น เป็นอย่างที่คนอื่นมองเราก็พอ
มันก็ชิวๆ
ติดดี ก็ยังดีกว่าติดชั่ว
ไม่ใช่กลัวคนอื่นจะมองเราติดดี เราก็เลยประพฤติตัว
เพราะขาดการสังวร
สุดท้ายเรานั้นแระ มือถือสากปากถือศีล
โดย: หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 16 กรกฎาคม 2555 เวลา:11:01:21 น.
--- End quote ---
ฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นด้วย(บางส่วน )กับอินู๋มันนะ
โดยเฉพาะ ที่บอกว่า
ศีลอยู่ที่เจตนา
เจตนากุศลก็ลุยไปเลย
อย่าหวั่นแม้วันมามาก
แต่ทีนี้ ปัญหา มันไม่ได้อยู่ที่
วันนั้น มามาก หรือ มาน้อย อ่ะดิ
ปัญหา มันอยู่ที่ เรามองเห็น รากเหง้า ของมโนกรรม
อันเป็น เจตนา ที่แท้จริง ของเรา ได้หรือไม่ ตะหาก
ที่สำคัญ เจตนานั้น มันเป็น กุศล จริงๆ
หรือว่า มันมีวาระซ่อนเร้น แอบแฝงอยู่กันแน่ ?
อิฉัน จึงมักจะย้ำให้ชาวบ้านชาวช่อง ฟัง เสมอ ๆ ไง
ว่า การซื่อสัตย์กับตัณหา และ อัตตา ตัวเอง นั้น
มันเป็น กฏมณเฑียรบาล ของการเป็นนักปฏิบัติ
ถ้า ทำตาม กฏมณเฑียรบาล อันนี้ ไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมัน
อ้อ จริงสิ ส่วนคำแนะนำ ที่ อินู๋มัน
มา ชี้โพรงให้ลูกกระอก บอกอิฉัน ว่า
ศีลอยู่ที่เจตนา หากไปคิดมาก
เราจะอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ ลำบาก
นั้น อิฉัน กับ เห็นต่าง นะ
เพราะการจะตัดสินใจเลือกถือศีลสักข้อ
อิฉันจะ พิณา ลงลึก ถึง ระดับรากเหง้าของที่มาที่ไป
ในการบัญญัติศีล ข้อนั้น เลยนะ ถ้าโอเค ถึงจะถือ
ก็เลย ขอคิด ค้าน ความคิดเห็นในเรื่องนี้ ของอินู๋มัน
สำหรับอิฉันแล้ว ศีล แปลว่า ปกติ ว่ะ
และ การที่เราเคารพ สิทธิ ของชีวิตอื่น
จนต้องเพียรพยามที่จะคิดไตร่ตรองให้มาก ๆ
ก่อนที่จะทำอะไรลงไป เพื่อที่จะไม่ให้ การกระทำ ของเรา
ไป เบียดเบียน แล ละเมิด สิทธิ และ ชีวิต ของผู้อื่น นั้น
มันหาได้ ทำให้ เรา ต้องทนอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ อย่างลำบาก เลย
ตรงกันข้าม การมีที่เรา มีจิตคิดจะไป เบียดเบียน ผู้อื่น ตะหาก
ที่ ทำให้ เรารู้สึกว่า เราอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ลำบาก
เรื่องนี้ มันทำให้ อิฉัน นึกถึง เรื่องการตัดสินใจ
ที่จะ ไม่เดินเลาะสนามหญ้า
ที่อิฉัน เคย แพล่ม ไว้ ก่อนหน้านี้จัง
น่าขำนะ ทำไม การเดินเลาะสนามหญ้า
ที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ได้แบบชิล ๆ
มันกับทำให้ อิฉัน รู้สึกว่า
มันเป็น เรื่องลำบากมากมาย ที่จะกระทำ
ทว่า การเสียเวลาเดินอ้อมโลก
บนพื้นซีเมนต์ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ๆ
เพียงเพื่อ จะเลี่ยงการเหยียบมดเหยียบแมง
มันกลับเป็นอะไรที่ อิฉัน รู้สึก ลั้ลลา ที่จะทำ นะ
พูดแล้ว ก็นึกถึงคำพูด
ที่ป๋าขันธ์ เคยสอน อิฉันขึ้นมา ตะหงิด ๆ นะ
--- อ้างจาก: ขันธ์;6405159 ---
คำว่า ปกติ มันต้องคู่กับ สุข ก็กลายเป็น ปกติสุข
พอจิตใจเป็น ปกติสุข เห็นสัตว์ก็ไม่ได้อยากไปฆ่าเขา
เห็นทรัพย์ของคนอื่นก็ไม่อยากได้
ไม่อยากไปโกหกปิดบังอะไรกับใคร
เห็นลูกเมียคนอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกกำหนัด
เห็นสุรายาเมา ก็ไม่ได้อยากไปกินให้เมามาย
ทีนี้แล้วการแสดงออกมันก็ ออกมาภายนอก งดงาม
เพราะมีสติสำรวม ระวัง ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน
จะหัวเราะ ร้องไห้ โมโห โกรธา มันก็ออกด้วยความพอดี ตามเหตุปัจจัย
ถ้ายังละกิเลสได้ไม่หมด ก็มีคุณธรรมคอยระงับไม่ให้กิเลสแสดงตัวมากเกินไป
--- End quote ---
และก็ นึกถึง คำพูดที่ อิตา มหาวัฏ บอกไว้นะ ว่า
กฎหมายอ่อนโยนสำหรับหรับผู้ประพฤติดี
เข้มแข็ง ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ศรัทธาเชื่อฟัง
รุนแรงป่าเถื่อนสำหรับผู้ละเมิด
เฮ้ออ ไม่รู้สินะ ใน มุมมอง ของอิฉัน แล้ว
ศีล ก็เหมือนกับ กฏหมาย นั่นแหล่ะ
เพียงแต่ กฏหมาย มันถูกสร้างขึ้นมา
เพื่อ ลด การเกิด ปฏิฆะ ระหว่าง คน
เพื่อ ให้เกิด ความเป็นปกติ ในโลกแห่ง โลกียะ เท่านั้น
ทว่า ในส่วนของศีล มันละเอียด และ ลุ่มลึกกว่านั้น มากนะ
เพราะ นอกจาก ศีลมันจะ ช่วยลดการ เกิด ปฏิฆะ
อันเกิดเนื่องมาจาก การที่เรา ไป เบียดเบียน
ล่วงล้ำ แล ละเมิด ในสิทธิ( โดยสมมุติ ) ของชีวิต อื่น แล้ว
ศีล ยัง ทำให้เรา เห็นรากเหง้า ของการการะทำ
อันจะ ช่วยให้เราได้ ขัดเกลา กิเลส ตัณหา และ อัตตา
ที่ตกตะกอนนอนเนื่อง ในอนุสัย
เพื่อ เปลี่ยน โคตรภู ได้ด้วยว่ะ
ซึ่งตอนนี้ อินู๋ คิตตี้ มันก็ กะลัง พยามที่จะ
ปฏืบัติการ มิซชั่น อิมพอสสิเบิล
คิดจะเปลี่ยนโคตรภู ให้ ไอ้เจ้า การ์ฟิลด์ อยู่ เหมือนกัน ว่ะ
(นี่ ก็ไม่รู้ มันจะทำ สำเร็จไหม หุหุ )
บัวผ่อง:
เออ จิงดิ มีคนเข้าไปบ่นให้ฟัง ที่ บล็อกสุมหัวนินทาชาวบ้าน
เกี่ยวกับ เรื่อง ศีล 5 ก๊ะ การแอบอ่าน หนังสือ ใน บุ๊ค สโตร์ ด้วย อ่ะ
มัน บอกว่า
--- อ้างถึง ---
ชวนพีนู๋บีคุยนะ พี่เคยเข้าไปร้านหนังสือ
แล้วอ่านหนังสือโดยไม่ซื่อหรือเปล่าพี่นู่บีว่า
เรา อ่านแล้วจำเอาโดยไม่ซื่อนี้ผิดใหม เอาละซิ
คราวหน้าถ้าไม่ซื้อหนังสือเขาห้ามเปิดอ่านน่า
เดียวชาวเน็ตเขาปวดหัวหาคำตอบให้ตัวเองอีก
เหอ อะไรไม่รู้เรื่อง อีกและไปก่อนนะ
ก็แค่รูปยึดเอาเป็นสัญญาของใครของเรา
ตามอัตถยาสัยแล้วกัน ไม่รู้เขียนถูกหรื่อเป่ลา
ป ปลิง
ถ้าเพื่อนซื้อหนังสือแล้วเรายืมเพื่อนอ่าน
เราจะผิดใม๊ ถ้าเราความจำดี
นี้ หนักเลยเอาความคิดคนอื่นมาเป็นของเรา
โดย: ก็แค่รูป IP: 49.48.150.213 วันที่: 19 กรกฎาคม 2555 เวลา:18:37:17 น.
--- End quote ---
อืม...ไหน ๆ อิฉัน ก็กำลังโพสกระทู้
เกี่ยวกับ ศีล 5 ท้าอธรรม อยู่แระ
เก๊าะเรย แวะเอา คำตอบพวกนี้ มาแปะ ไว้
ใหมันเข้ามาอ่าน ในกาทู้นี้ เอาเองก็แระกัล
( เรทติ้ง กาทู้ อิฉันจาได้ วิ่ง ๆ 5555 )
เอาล่ะ คำถามแรก
--- อ้างถึง ---
ชวนพีนู๋บีคุยนะ พี่เคยเข้าไปร้านหนังสือ
แล้วอ่านหนังสือโดยไม่ซื่อหรือเปล่าพี่นู่บีว่า
เราอ่านแล้วจำเอาโดยไม่ซื่อนี้ผิดใหม
เอาละซิ คราวหน้าถ้าไม่ซื้อหนังสือเขาห้ามเปิดอ่านน่า
--- End quote ---
อิอิ เคยสิจ๊ะ ทำไมจะไม่เคยล่ะ
สมัยยังละอ่อน ทำบ่อยจะตายไป
เฮ้ยย นี่ ๆ รู้แล้ว เหยียบไว้เลยนะ
พี่เคยเข้าไปแอ๊บเนียน ยืน อ่าน เอ๊ย ยืน เลือกการ์ตูน
ในร้านเช่าหนังสือ ทีละเป็น หลาย ชม.
จน เจ้าของร้าน มันแอบค้อน เลยมั้ง 5555
เผลอ ๆ บางทีก็แอบลอก กลอนเพราะ ๆ
ใน การ์ดอวยพร ที่เขาวางขายในร้านด้วย
สมัยเรียนมหาลัย นี่ ก็เป็นซีร็อกหนังสือเป็นเล่ม ๆ ด้วยนะ
แต่เดี๋ยวนี้ พี่ เลิกแล้วค่ะ
เพราะ พี่นึกครึ้ม เลยว่าจะ บำเพ็ญเพียร แบบ กระรอกโพธิสัตว์ว่ะ
และ เนื่องจาก พี่ คิดว่า ตัวเอง สวย แจ่ม เจ๋ง
กว่า อิพวกลูกกระรอก อ่ะ เรย กะว่า
จะ ไม่ บำเพ็ญเพียร แบบบ้าน ๆ ธรรมดา ๆ หรอก นะ
แต่ พี่ว่าจะ บำเพ็ญเพียร สไตล์ สัมมาวายามะ
โดยมี สัมมัปปธาน 4 เป็นที่ยึดเหนี่ยว ว่ะ
( ก็ว่าจะทำ เท่าที่ อิการ์ฟิลด์ มันจะอนุยาด ให้ทำ อ่ะนะ อิอิ )
ดังนั้น ความระยำ อะไร ที่พี่ทำ
แล้ว รู้สึกว่า มันขัดกับ หลักสัมมัปปทาน 4
พี่ ก็พร้อมที่จะ ลด ละ เลิก ว่ะ
( เท่าที่พอจะกล้อมแกล้ม ทำได้ โดยไม่ลำบากใจว่ะ )
เออล่ะ เพื่อไม่ให้ ชาวเน็ตเขาปวดหัวหาคำตอบให้ตัวเองอีก
พี่ จะ ยก เคส เรื่องการแอบอ่านหนังสือ ในร้าน
มาถกเป็น กรณี ศึกษา ให้เป็นทาน
กับคุณน้องก็แล้วกันนะจ๊ะ ทูนหัววววววว
การจะยืนอ่านหนังสือ ในร้าน นั้น
ก่อนอื่น ต้อง สำรวจดูก่อน ว่า
เจ้าของร้านมัน เขี้ยว ไหม
เอ๊ย ไม่ใช่ พี่หมายความว่า
การกระทำนั้น จะนำมา ซึ่ง ปฏิฆะ
ระหว่าง เรา กับ เจ้าของร้านขายหนังสือ ไหม ?
ถ้าร้านขายหนังสือ บางร้าน
เขาไม่อยากให้เราอ่าน
ถึงขนาด ไปสรรหาเอา ถุงพลาสติกมาห่อ
เราก็อย่าเสือกหน้าด้าน
แอบฉีกถุง ควักหนังสือมาอ่าน
หรือ ถึง เขาไม่ห่อถุงพลาสติกไว้
แต่ มายืนทำตาขวาง ๆ ปัดโน่นปัดนี่ ใกล้ ๆเรา
ก็ อย่าเข้าไปอ่านในร้านนั้น
ให้มันเกิด ปฏิฆะ ต่อกันเรยว่ะ
แต่จะว่าไปเดี๋ยวนี้ ร้านหนังสือ บางร้าน
เขาก็ใจป้ำ จัดมุมเล็ก ๆให้ บรรดาหนอนหนังสือ
มานั่งชิล ๆ จิบกาแฟ แล้วกระดิกตรีน
นอนอ่านหนังสือ ในร้านได้อยู่แล้วนิ
เรื่องนี้เมันก็คงคล้าย ๆ กับ การทำมาร์เกตติ้ง
เวลาที่ อิพวกแม่ค้าขายขนม
มันเอา ขนมชิ้นเล็ก ๆ ใส่ถาดเอาไว้
เพื่อให้ ลูกค้า ลองชิม นั่นแหล่ะ กินเสร็จ พอใจก็ซื้อ
ถ้า ไม่พอใจ ไม่ซื้อ ไม่หา ก็ไม่ว่าอะไร
ไม่งั้นก็เหมือน การลองใส่เสื้อที่ขายใน บูติก อ่ะ
เฮ้ออ คุณน้องนี่ ถ้าจะไม่ใช่ หนอนหนังสือ ตัวแม่ แฮะ
จะบอกอะไร ให้นะ คนที่เขาเป็นหนอนหนังสือ
ที่อ่านหนังสือ มาจนทะลุ อ่ะน่ะ
ถ้าเขาพอใจหนังสือเล่มไหน
ต่อให้ อ่านจบไป สามรอบแปดรอบ
เขาก็พร้อมจะ สอย หนังสือเล่มนั้น
มาสะสมไว้ในคอลเลคชั่นส่วนตัวจร้าา
เพื่อ เสพกำซาบให้ชื่นทรวง ว่ะ
หนอนหนังสือไฮโซ เขาไม่นิยม ไปยืนหัวโด่
แอบ ๆ ซ่อนๆ ลักอ่านขโมยอ่าน หรอกนะ
ทำแบบนั้น มันไม่ได้ ฟิลลิ่ง ในการอ่าน อ่า 555
แล้วถ้า เจอหนังสือ สักเล่มอ่ะนะ
แค่ เขาอ่านเรื่องย่อที่ปกหลัง + ชื่อคนอ่าน
เขาก็ ตอบได้แระ ว่า ตรูจะซื้อหนังสือ เล่มนั้นไหม
ดังนั้น สรุป ก็คือว่า ถ้า เป็น หนอนหนังสือ
ที่มีภูมิกึ๋นและ ปฏิภาณไหวพริบ ที่ดีพอ
เขาจะ ฉลาดเลือก เข้าร้านหนังสือ ได้ถูกทีถูกทาง
ปฏิฆะระหว่าง ลูกค้า กับ เจ้าของร้านตรงนี้
มันก็จะ ไม่มี อยู่แล้ว อ่ะจร้าาาาา
แต่ ปัญหา เรื่อง ปฏิฆะ ระหว่างกัน นี้
มันก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บ ๆ สำหรับนักปฏิบัติตัวแม่ว่ะ
ประเด็น ที่พึงจะสังวร สำรวม ระวัง มากกว่านั้น
ก็คือ การเกิด อกุศลกรรม ในใจเรา มากกว่า นะ
เมื่อไรก็ตามที่ จิตเรา มันตั้งใจมั่น คิดที่จะ เอาแต่ได้
เมื่อนั้น ศีล ข้อ 2 มันก็มัวหมองแล้ว
ยกตัวอย่างนะ
ถ้า คุณ หยิบหนังสือที่ขาย ในร้านมาอ่านผ่าน ๆ
เพราะต้องการ เอาข้อมูลที่ได้ มาประกอบการตัดสินใจ
ว่า หนังสือเล่มนี้ สมควรซื้อหามาเชยชม หรือ ไม่
อันนี้ เค้าเรียก ชิมลางเป็น ออร์เดิร์ฟ
ก่อนตัดสินใจจะเลือกซื้อมาเปิบ
คิดว่า เรื่องนี้ ถ้าเจ้าของร้าน โอเค
ก็จะ ไม่เกิด ปฏิฆะ ระหว่างกัน แระ
จึงน่าจะ เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้
ทั้งทางโลก และ ทางธรรม นะ
แต่ ถ้า เมื่อไร คุณ มีจิตตั้งใจแต่แรกเริ่ม แล้ว
ว่า กรูจะมา นั่งอ่าน หนังสือฟรี
สไตล์ อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ ว่ะ ชะเอิงเอย ฯลฯ
อีแบ่บนี้ ต่อให้ คุณไปนั่งอ่านหนังสือ
ในร้านที่เขา เต็มใจให้ลูกค้า
มานั่งอ่านนอนอ่านหนังสือในร้านได้
มันก็ เริ่ม มีกลิ่น ทะแม้ง ๆ แล้วนะ
เรียกว่า ถึงจะ ชอบด้วยกฏหมาย
แต่ก็ไม่ถูกต้องทางธรรม อ่ะ
แม้ กฏหมายจะเอาผิดอะไรกับคุณไม่ได้
แต่กฏแห่งกรรม มันพร้อมที่จะเอาคืนเสมอนะ
เพราะ คุณได้สร้าง อกุศลกรรม ในจิต
บ่มเพาะนิสัย ชอบคิดเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เอาไว้ ในจิตแล้ว
และ ถ้าทำจนเป็น อาจิณกรรม บ่อย ๆ
มันก็จะ สะสมเป็นนิสัย และ ติดไปเป็นสันดาน
แล้วกลายเป็น อนุสัย เป็น โคตรภู แบบ ข้ามภพข้ามชาติ
นั่นแหล่ะ ความสยองขวัญ อันเป็นบทลงโทษ
ของ กฏแห่งกรรมของจริง ล่ะ
เอาล่ะ คุณพี่ ฝอยมาถึงตรงนี้ แล้ว
หวังว่า คุณน้อง คงจะเก็ท และ ตอบตัวเองได้ว่า
ถ้าเพื่อนซื้อหนังสือแล้วเรายืมเพื่อนอ่าน เราจะผิดใม๊
ถ้าเราความจำดีนี้ หนักเลย
เอาความคิดคนอื่นมาเป็นของเรา นี่มันผิดไหม ?
ลองดูที่ รากเหง้าของ การกระทำ
อย่างซื่อสัตย์ต่ออัตตาตัวเอง
ก็จะ รู้ซึ้งถึงก้นบึ้ง อ่ะจร้าาาาาาาาา
บัวผ่อง:
อืม...ถ้าคนเรา ถ้าทำไป โดยไม่รู้ ก็ย่อม ไม่ผิด
แต่ ถ้า เรา รู้แล้ว จะทำยังไง นี่สิ ที่มันจะเป็น ตัวชี้วัด
ความเป็น นักปฏิบัติตัวพ่อตัวแม่
พี่เชื่อว่ะ ว่า ศีลน่ะ ถ้า ถือให้มัน ถูกที่ ถูกท่า และ ถูกทาง
มันก็จะมีกลไกแบบออโต้ มากระตุกหาง คอยเตือนเรา
เวลาที่ เรากำลังจะ ก้าวล่วงศีล นะ
แถม ครึ้ม ๆ มันยังจะ หาทางหนีทีไล่
ที่ทำให้เรามีทางออก ที่ หมดจดงดงาม
และ ปลอดโปร่งโล่งฉะบาย ได้เสมอจร้าาา
จะเล่า นิทานก่อนนอนให้ ฟัง เอาป่ะ
กาลครั้งหนึ่งยังไม่นานเท่าไร
มีเด็กญิ๋งคนหนึ่ง ชื่อ นู๋ส้ม เธอเป็น หนอนหนังสือตัวเอ้
วันหนึ่ง เธอ สมคบคิด กับ น้องชาย
ร่วมกัน ไปเช่าหนังสือการ์ตูนที่ ร้านหนังสือเช่า
แล้วแกล้ง ทำเป็นหลงลืม ไม่เอาไปคืน
( มันก็คือ ขโมย นั่นแหล่ะ แหะ ๆ )
แถม บางครั้ง เวลาไปนั่งอ่านนิตยสาร ที่ห้องสมุด
เจอ รูปตุ๊กตุ่น ตุ๊กตาสวย พร้อม ชุดสวย ๆ
เธอก็แอบฉีกหนังสือเขา เอารูปสวย ๆ พวกนั้น
มาตัดไปเล่น เป็น ตุ๊กตากระดาษ
( ก็ทำเลียนแบบ อิพวกรุ่นพี่
แก๊งค์ที่ เคยชวนเธอไปขโมย ปากกา นั่นแหล่ะ )
ครั้นพอโตขึ้น พอเธอนึกครึ้ม หันมาถือศีล 5
จู่ ๆ วันหนึ่ง เรื่องราวในอดีต เรื่องนี้
มันก็ ดันหวนกลับมา ให้ระลึกถึง แว้บ ๆ ว่ะ
หลังจากที่เธอ หลงลืม มันไปเกือบ 20 ปีได้มั้ง
เฮ้ออ อุส่า คิดว่า เคลียร์ หนี้เวรหนี้กรรม
เกี่ยวกับ ศีลข้อ2 ในเรื่องพรรณนี้
จนหมดสิ้นไปแล้วเชียวน้าาา
แต่ ขยะที่เผลอเอาไปซุกใต้พรม
ก็ดันเสือกโผล่มาอี๊ก ทำไงได้ล่ะทีนี้
อินู๋ส้มมันก็เลยต้องตามไปชดใช้กรรม
แบบ ทบต้นทบดอก น่ะสิคะ
เฮ้ออ ไอ้หนังสือการ์ตูน แค่ เล่มสองเล่ม
ที่เคย ขอลืม มาจากร้านเช่านั่น
อินู๋มันก็โล๊ะไปบริจาคห้องสมุด หมดแล้ว
ส่วน ไอ้ การ์ตูนกระดาษ ที่ฉีกมาจากนิตยสาร น่ะหรือ
มัน ก็ เปื่อยเป็นปุ๋ย อยู่หลุมไหนแล้วก็ไม่ทราบ
รู้ไหม หลังจากที่ สแกนกรรม
จนระลึกรู้ ความระย้ำ ในอดีต ของตน
อินู๋ส้ม มัน แก้กรรม ให้ตัวเอง ยังไง
มันเขียน จม.สารภาพความผิด
เอาไปสอดไว้ที่ประตูร้านการ์ตูนนั่น
พร้อมกับ แสดงความรับผิดชอบ
ชดใช้ค่าเสียหายจ่ายค่า การ์ตูนที่หลอยมา
เป็นจำนวนเงิน เกิน 10 เท่า ของราคาหน้าปก
ส่วน ในเคส ฉีกนิตยสาร ในห้องสมุด นี่ก็เหมือนกัน
นี่ยังนึกขำอยู่เลย ไม่รู้ว่า ถ้าอิเจ้าของร้าน นั่น
มันอ่าน จม. นั่น แล้วจะทำหน้ายังไง
และก็ไม่รู้ เหมือนกันว่า ปฏิฆะในใจระหว่างกัน
จะ ได้รับการอโหสิกรรม หรือ ไม่
แต่ที่รู้ สึกแน่ ๆ คือ รู้สึก ว่าใจของเรา
มัน หมดจด มากขึ้นนะ
เพราะ ว่า เราได้พยามรับผิดชอบ
กับความระยำที่ตัวเองเคยสร้างไว้ อย่าง เต็มที่ แล้ว
ที่มา :
http://board.palungjit.com/f181/นี่-ๆ-เหล่านักปฏิบัติจ๋าาา-ใครบ้างคร้าาา-ที่ยังถือศีล-5-อยู่มั่ง-ขอเสียงหน่อยจร้าาา-349227.html#post6489764
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version