อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
การเตรียมหมักเนื้อต่างๆ
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7026.0.html-
การเตรียมหมักเนื้อต่างๆ
หมูกะทะ
1. วิธีที่1 ให้ใช้หมูหมักกับไข่ ผสมเกลือนํ้าตาลและนํ้าปลาให้เข้ากัน
เอาหมูไปผสมกับเกลือนํ้าปลานํ้าตาลที่ผสมแล้ว ก็จะออกมาเป็น
หมูหมักที่แสนอร่อย เก็บไว้นานโดยแช่เย็นห้ามเกิน 2วันนะค่ะ
2. วิธีที่2 MK SUKI ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะหมักหมูให้นุ่ม
ควรใส่แป้งมันเล็กน้อย น้ำสะอาด ซอสปรุงรส ซีอิ้ว และน้ำตาล
หมักไว้อย่างน้อย 3 ชม . ในช่องของตู้เย็นที่ไม่เย็นมากนัก
เนื้อ หมูจะนุ่มโดยไม่ต้องพี่งสารเคมี (ผงหมักหมู) สะอาดมาที่ 1 ตาม
มาด้วยโภชนการ ความอร่อยและน่ารับประทานจ๊ะ เห็นชาวต่างชาติ
บางคนใส่โค๊ก หมักใส่เครื่องปรุงแบบคุณหมึกหมดและเติมน้ำมันงา
ลงไปด้วยนะคะ แบบ MK เลยค่ะ แต่จิ๊กกี๋จะหมักทิ้งไว้1คืนนะค่ะ จ
นุ่ม เคี้ยวหนึบหนับแต่ไม่เหนียวเลย
3. วิธีที่3 หมักน้ำสับปะรดค่ะ หมูจะนิ่มระทดระทวย อร่อยด้วย ลดเวลา
ที่หมักหมูในน้ำสับปะรดลง เพียงแค่สักสองชั่วโมงก็พอแล้วล่ะค่ะ ขี้น
อยู่กับหมูที่คุณใช้ด้วย ว่าเหนียวมากน้อยเท่าใด ?
4. วิธีที่4 หมักหมูให้นุ่มก็ต้องใช้นำมันช่วยค่ะ โดยส่วนใหญ่ก็ใช้นำมัน
งาแต่ถ้าไม่ชอบกลิ่นมันก็เปลี่ยนเป็นนำมันพืชแทนก็ได้นะคะ หรือไม่ก็
ใช้ไข่ไก่หมักก็ได้ จะให้ดีต้องหมักค้างคืนค่ะ รับรองนุ่มแน่นอน
5. วิธีที่ 5 หมักง่ายๆก็ใส่ไข่ขาวลงไป ตามด้วยแป้งมัน แป้งข้าวโพดอย่าง
ละช้อน เติมน้ำมันงาลงไป แต่ถ้าต้องการเอาไปทำอาหารที่ไม่อยากให้มี
กลิ่นน้ำมันงา ก็เติมน้ำมันพืชนี่ค่ะลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน จะหมักไปกับ
น้ำปลา ซี อิ๊ว น้ำตาล หรืออะไรก็ตามต้องการได้เลยค่ะ
6. วิธีที่6 หมูหมักกับซีอิ้วขาว น้ำมันพืช น้ำมันหอย นมสด(สุดยอดแล้ว)
7. วิธีที่7 สูตรของหมึกแดงทีมค่ะ ไก่หรือหมู 1 กก.
ส่วนประกอบ
1. ไก่, หมู 1 kg.
2. แป้งข้าวโพด 10 gm.
3. โซเดียมไบคาร์บอเนต 10 gm.
4. MSG PLUS (ผงชูรสจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้0.5gm.
5. ซีอิ๊วขาว 20 gm.
6. น้ำมันงา20gm.
7. น้ำเย็น 100 gm.
วิธีทำ
1. หั่นหมูหรือไก่ให้เป็นชิ้น
2. นำส่วนผสมที่ 2+3+4 ผสมให้เข้ากัน นำไปละลายในน้ำเย็น
3. ชั่งส่วนผสมที่ 5+6 ผสมให้เข้ากันทั้งหมดที่ทำมาข้างต้น
4. หมักทิ้งไว้ 1 ชม.
5. นำไปประกอบอาหาร
น้ำจิ้มหมูกะทะ (สูตร1)
1. พริกขี้หนูสับละเอียด 3 ชต.
2. งาขาวคั่ว 2 ชต.
3. น้ำตาลทราย 5 ชต.
4. นำส้มสายชู 5 ชต.
5. รากผักชี 2 ชต.
6. กระเทียม 3 ชต.
7. มะนาว 2 ชต.
8. เกลือ 1 ชต.
น้ำจิ้ม หมูกระทะ (สูตรสอง)
1.กระเทียม 2หัว
2.พริกขี้หนูตามชอบ
3.งาคั่ว
4. ซ๊อสพริกยี่ห้อที่ชอบ 200cc.กะๆเอา
5. น้ำตาลทราย
6.ชีอิ้วขาว
7.น้ำมะขามเปียก(น้ำส้มสายชูก็ใด้)
ทั้งหมดปั่นในเครื่อง ผสมอาหาร ชิมดูตามชอบ
ใด้ที่อย่าลืมผักชีสับนะคะ
น้ำจิ้มหมูกระทะ (สูตรสาม)
1.ซ้อสพริกศรีราชา 1 ช้อนโต๊ะ
2.ซ้อสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
3.ซ้อสถั่วเหลือง 1 ช้อนชา
4.เต้าหู้ยี้ 1 ก้อน
5.ผงชูรส (ตัวเลือก) 1 ช้อนชา
6.พริกไทยป่น และผงพะโล้ นิดหน่อย
7.นำส่วนผสมทั้งหมด ตั้งไฟจนเดือด พักไว้
น้ำจิ้มหมู่กระทะ (สูตรสี่)
1.ซอสมะเขือเทศ
2.พริกขี้หนู
3.ข่า
4.รากผักชี
5.มะนาวเล็กน้อย
6.เกลือ
7.น้ำตาล
ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะตำหรือจะปั่น
ก็แล้วแต่ความสะดวก ปรุงรสตามชอบใจ
โรยหน้าด้วยผักชีซอยละเอียด และงาขาว ก็เป็นอันกินได้
โดยคุณ me_mokarubbie
***ที่มา: นายเหลือง.คอม www.9leang.com
.
sithiphong:
การหมักเนื้อสเต็กให้นุ่มอร่อย
-http://hilight.kapook.com/view/27211-
วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ขอเสนอวิธีหมักเนื้อสเต็กให้นุ่มอร่อย...หากเดินไปถามร้านของชำ ว่าทำยังไงให้เนื้อสเต็กนุ่ม เขาก็อาจจะแนะนำให้ใช้ ผงทำให้เนื้อเปื่อย หรือผงเนื้อนุ่ม ซึ่งผงดังกล่าว ก็คือ โซดาผง ที่ทำให้เนื้อสัตว์นุ่มได้ แต่ประสิทธิภาพอาจมีมากกว่านั้น ก็คือทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้ เปื่อยนุ่มไปด้วย
วิธีทำให้เนื้อสเต็กนุ่ม คือ เริ่มจากซื้อเนื้อแล้ว (จะเนื้อหมูหรือเนื้อวัวก็ได้) และก็อย่าลืมแวะไปซื้อสัปปะรดด้วย ถ้าขี้เกียจปอกจะเอาแบบ ที่เค้าปอกแล้วก็ได้ เวลาหมักก็ให้ใส่ น้ำสัปปะรดลงไปในน้ำหมักด้วย ในสัดส่วน น้ำสัปปะรด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักเนื้อ ประมาณ 1 กิโลกรัม หมักทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมง และใส่กล่องปิดฝาเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา
เพียงเท่านี้ก็จะมีเนื้อสเต็กที่นุ่มไว้ทานกันแล้ว และถ้าทานไม่หมด ก็ให้ใส่ถุงพลาสติก เรียงเข้าช่องแช่แข็งไว้ เวลาจะใช้ก็ค่อยเอาออกมา
รู้อย่างนี้แล้วต้องลองทำดู !
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
sithiphong:
7 ยอดอาหารคุณประโยชน์สูงที่ควรเลือกทาน
-http://men.kapook.com/view44421.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ในโลกของเราใบนี้มีอาหารมากมายที่ให้คุณได้เลือกสรรที่จะทาน แต่ความคิดในการเลือกอาหารที่มีประโยชน์เพื่อมาใส่ท้องของคุณมักจะถูกมองข้ามเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีอาหารแปลกใหม่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ให้ได้เลือกชิมลิ้มรสกันจนลืมนึกถึงสารอาหารที่อยู่ในสิ่งที่คุณรับประทาน ดังนั้นเราจึงขอแนะนำอาหาร 7 ชนิดที่คุณคุ้นเคยและควรเลือกทานดังนี้
ไข่
ไข่ คืออาหารที่ให้พลังงานโปรตีนที่ดีสุด ซึ่งมีโคลีนและสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งทรวงอกและโรคทางประสาทตา ผู้คนมักไม่ชอบทานไข่เพราะเชื่อว่ามีคลอเรสเตอรอลสูงเกินไปนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด การทานไข่ 1 ฟองต่อวัน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้สุขภาพผิวหนังและผมดีขึ้น แต่สำหรับผู้มีปัญหาด้านหัวใจควรทานเพียง 2 ฟองต่อสัปดาห์เท่านั้น
นม
ถ้าคุณเป็นคนชอบดื่มนมตั้งแต่สมัยเด็กแล้วล่ะก็ยิ่งดีมาก เพราะในนมนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมและไม่ทำให้อ้วน (หากดื่มแบบพร่องมันเนย) สำหรับผู้สูงอายุสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนและไขข้อต่าง ๆ ได้ด้วย ฉะนั้นควรหันมาดื่มนมทุกวันทั้งตอนเช้าและก่อนนอน เพียงเท่านี้คุณก็ได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการแล้ว
ปลาแซลมอน
ปลาแซลมอนนั้นเป็นอาหารจากธรรมชาติที่มีคุณค่าสูงมาก อุดมไปด้วยวิตามินดี และโอเมก้า 3 และยังมีกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยลดคลอเรสเตอรอล บำรุงหัวใจ ช่วยให้ผิวพรรณดี แก้โรคไขข้อ ช่วยลดน้ำหนักและบำรุงสมอง อีกทั้งยังย่อยช้าซึ่งทำให้คุณอิ่มได้นานขึ้น ถือเป็นสุดยอดอาหารแคลลอรี่ต่ำได้เลย
ถั่ว
ยากจะหาอาหารใดที่มีคุณค่าได้เทียบเท่ากับถั่ว ซึ่งมากไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม และโปแตสเซียม นอกจากนี้ถั่วยังถือเป็นอาหารที่คุณสามารถทานเล่นได้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยการทานถั่วที่มีมากมายหลายชนิดในโลกนี้เพียงแต่ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เท่านี้ก็ได้คุณค่าทางอาหารที่คุณต้องการ
ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวาน ที่สำคัญยังจัดว่าเป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาก ซึ่งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ โดยข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่ช่วยรักษาเบาหวานในขั้นที่สองง่ายที่สุด การทานข้าวโอ๊ตปราศจากน้ำตาลคู่กับโยเกิร์ตและผลไม้ในตอนเช้า ถือว่าเป็นยอดอาหารรสเลิศที่ให้ประโยชน์เป็นอย่างดี
น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกจัดเป็นเครื่องปรุงชั้นเยี่ยมที่ช่วยรักษาโรคหัวใจได้ดี พิสูจน์ได้เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องการเกิดโรคหัวใจและอัลไซเมอร์ การทำอาหารโดยใช้น้ำมันมะกอกไม่ได้ช่วยแค่ทำให้อาหารอร่อยเท่านั้น แต่ยังช่วยในการดูดซึมของสารเบต้าแคโรทีนอีกด้วย
ผลอะโวคาโด
บางคนอาจคิดว่าผลอะโวคาโดนี้ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะในผลอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี โฟเลทและโปแตสเซียม ทั้งนี้ อะโวคาโดยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและตาบอดได้ ทานสด ๆ หรือใส่คู่กับสลัดนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารเบต้าแคโรทีนได้เช่นกัน
อาหารทั้ง 7 ชนิดนี้ถือว่าเป็นยอดอาหารที่ไม่เพียงแต่มีรสชาติอาหารแสนอร่อยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางอาหารมากมายที่ช่วยรักษาและป้องกันโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย ขอเพียงแค่คุณเลือกรับประทานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และไม่มีโรคภัยถามหาไปอีกนาน
http://men.kapook.com/view44421.html
.
sithiphong:
อร่อยที่สุดในโลก “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” คู่ขวัญเมืองลอนดอน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
30 กรกฎาคม 2555 17:51 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000092637-
เพื่อเป็นการต้อนรับมหกรรมกีฬาของมนุษยชาติ โอลิมปิก ลอนดอน 2012 “108 เคล็ดกิน” ก็ขอเกาะกระแสกับเขาบ้าง ด้วยการพาไปทำความรู้จักกับ “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” ที่อยู่เป็นคู่ขวัญของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มากว่า 20 ปีแล้ว
สำหรับคนไทยนั้น(โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐี นักการเมือง) ใครๆ ก็ว่า หากไปถึงลอนดอนแล้ว ก็ต้องไปลิ้มลองเป็ดย่างที่ร้านโฟร์ซีซั่นส์ให้ได้ มิเช่นนั้นจะถือว่าไปไม่ถึงเป็นเด็ดขาด ด้วยการรับประกันจาก “หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์” ที่ยกย่องให้เป็ดย่างที่โฟร์ซีซั่นส์ เป็น “เป็ดย่างที่อร่อยที่สุดในโลก” แต่เรื่องนี้ก็แล้วแต่ลิ้นของแต่ละคน ลางเนื้อชอบลางยา “108 เคล็ดกิน” คงจะรับประกันไม่ได้ว่าอร่อยถูกปากทุกคนหรือไม่
ปัจจุบัน เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ มีอยู่ 3 สาขา ในกรุงลอนดอน ส่วนใครที่ไม่อยากบินไปไกล ก็ยังมีสาขาอยู่ที่ประเทศไทยอีก 2 สาขา ด้วยกัน คือที่สยามพารากอนและที่เมกะ บางนา ซึ่งก็เหมือนกับยกเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ที่ลอนดอนมาไว้ที่กรุงเทพฯ เลยทีเดียว เพราะมีการควบคุมคุณภาพและรสชาติตามแบบต้นฉบับ
เป็ดย่างของโฟร์ซีซั่นส์นั้น ผ่านการคัดเลือกสายพันธุ์เป็ด หมักกับเครื่องเทศ จากนั้นก็นำไปผ่านกรรมวิธีการย่าง แล้วก็จะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำราดเป็ดสีออกน้ำตาลเข้มๆ หรือสีดำ ซึ่งวิธีทำทั้งเป็ดย่างและน้ำราดเป็ดนั้นถือว่าเป็นเคล็ดลับเฉพาะของทางร้าน
นอกจากจะกินเนื้อนุ่มๆ หนังกรอบๆ ของเป็ดย่าง ที่ร้านโฟร์ซีซั่นส์ ก็ยังขายอาหารจีนประเภทอื่นๆ อีกด้วย
.
sithiphong:
.
4 สุดยอดสมุนไพรจีนสารพัดประโยชน์อันน่าทึ่ง
-http://men.kapook.com/view44943.html-
4 สุดยอดสมุนไพรจีนสารพัดประโยชน์อันน่าทึ่ง (Men's Health)
เรื่อง TA dynamic
ใบแปะก๊วย หรือเห็ดหลินจือทุกวันนี้ชื่อเหล่านี้อาจไม่ได้แปลกหูอะไร แต่ถ้าหากคุณเบื่อการพล่ามสรรพคุณแบบครอบจักรวาล ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ครั้งนี้เราจะสกัดเน้น ๆ ให้เห็นกันว่า แท้จริงแล้วอะไร คือไม้เด็ดที่ทำให้ "จตุรเทพ" ในตำนานได้ใจโลกสุขภาพยุคใหม่ไปเต็ม ๆ
ใบแปะก๊วย
ชื่ออื่น ๆ: กิงโกะ ไบโอบา (Gingko Biloba) มรดกสำคัญจากการแพทย์แผนจีนตั้งแต่หลายพันปีที่แล้ว ทุกวันนี้สารสกัดจากใบแปะก๊วยได้กลายเป็นอาหารเสริมสมุนไพรที่ติดท็อปชาร์ตของชาวอเมริกันและชาวยุโรป ในแง่การกระตุ้นความจำและลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมหลายชนิด แต่ เจ้ากิงโกะยังมีทีเด็ดอื่น ๆ อีกด้วย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปัจจุบันแพทย์ในแถบประเทศยุโรปได้นำสารสกัดจากใบแปะก๊วยเข้ามาช่วยในการรักษาโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease หรือ PAD) ที่ทำให้มีอาการเจ็บหรือปวดเท้าเวลาเดิน รวมถึงปวดขา และเป็นตะคริวบ่อย ๆ โรคนี้หนุ่ม ๆ ที่มีน้ำหนักมาก ติดบุหรี่ หรือความดันโลหิตสูง ต้องระวังให้ดีนะครับ
ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ทำให้มีการพูดถึงคุณสมบัติในการเสริมสมรรถภาพทางเพศ (ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในสหรัฐฯ ระบุว่าต้องใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย 50-100 มิลลิกรัมต่อวัน จึงอาจมีผลดังกล่าว) ใบแปะก๊วยยังเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการลดอนุมูลอิสระตัววายร้ายบ่อนทำลายเซลล์ในร่างกายเราจนถึงระดับดีเอ็นเอ นั่นหมายถึงช่วยลดความเสี่ยงตั้งแต่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด จอประสาทตาเสื่อม รวมถึงความถดถอยของสมอง ถึงผลการศึกษาพบว่า แม้จะได้รับสารสกัดจากแปะก๊วยเต็มอัตราที่แนะนำต่อวัน (120 มิลลิกรัม) ต่อเนื่องหลายปี ก็จะไม่สามารถ “ฟื้นฟู” อาการสมองเสื่อมในผู้ป่วยสูงอายุได้ แต่คุณสมบัติที่หาตัวจับยากของกิงโกะในการกระตุ้นหลอดเลือด และปกป้องเซลล์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันเป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธในศึกสุขภาพของผู้คนยุคนี้
เก๋ากี้
ชื่ออื่น ๆ: โกจิเบอร์รี่ (Goji Berry) หรือวูล์ฟเบอร์รี่ (Wolfberry) ลูกเกดสีแสดที่พบเห็นได้ไม่ยากในหลากเมนูเด็ดย่านเยาวราช เก๋ากี้ เบอร์รี่แห่งเอเชียที่กำลังมาแรงสุด ๆ ผลตากแห้งสามารถนำมาทานเล่น ใส่ในเมนูอาหารตำรับไทย จีน และฝรั่ง หรืออาจมาในรูปของน้ำผลไม้ ทุกวันนี้เก๋ากี้ถูกตอกหมุดให้เป็นหนึ่งใน "ซูเปอร์ฟู้ด" ด้วยทีเด็ดอย่างวิตามินซี วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเบต้าแคโรทีนที่อัดแน่น มีการนำงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการปักกิ่งในปี ค.ศ. 1988 มากล่าวอ้างกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับการค้นพบ (ที่ยังไม่มีการรับรอง และมีการถกเถียงโจมตี) ว่าผลเก๋ากี้ตากแห้งนั้นเมื่อเทียบจากน้ำหนักที่เท่ากัน จะให้เบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอท และมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึงห้าร้อยเท่า ซึ่งวิตามินซีนั้นทุกวันนี้เรารู้กันดีว่าเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงอานุภาพในด้านคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่สำคัญมากมาย ช่วยป้อนออกซิเจนใส่เกียร์ความแรงในการออกกำลังกาย แถมยังลดอาการปวดเมื่อยหลังออกกำลังกาย
เมื่อศึกษาวัดค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) หรือค่าประสิทธิภาพในการดูดจับอนุมูลของออกซิเจน ซึ่งเป็นวิธีที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟส์ เมืองบอสตัน พบว่า โกจิเบอร์รี่ให้ค่า ORAC สูงกว่าบรรดาเบอร์รีที่โดดเด่นด้านสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ หรือแครนเบอร์รี่ อยู่หลายช่วงตัว การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นชี้ว่า การรับประทานโกจิเบอร์รี่ประมาณ 10-30 กรัม ต่อวันถือว่ากำลังดี ส่วนศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ผู้โด่งดังอย่าง คริส คิลแฮม ในรัฐแมสซาซูเซตส์ กล่าวกับนิตยสาร Growing สหรัฐฯ ว่า แน่นอนว่าไม่ได้รักษาทุกโรค แต่ต้องยอมรับว่าโกจิเบอร์รี่ถือเป็น "สุดยอดในด้านสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะสารซีแซนทีนที่ดีอย่างมากต่อดวงตา
เจียวกู่หลาน
ชื่ออื่น ๆ: เรียกทับศัพท์เป็นสากลว่า เจียวกู่หลาน (Jiaogulan) ในบ้านเราอาจเรียก ปัญจขันธ์ เมื่อปี ค.ศ. 1976 แพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยฮิริมา กำลังง่วนกับการควานหาพืชที่สามารถให้ความหวานแทนน้ำตาลได้ แต่กลับไปสะดุดตาพืชเถาที่ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนหรือเกี่ยวข้องใด ๆ กับโสม แต่กลับมีสารเคมีสำคัญหลายชนิดที่คล้ายคลึงกับโสม แถมยังดูเหมือนจะเด็ดกว่า เรื่องของน้ำตาลในเจียวกู่หลานจึงชะงักอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อพบสิ่งที่ใหญ่โตกว่ามีการขนานนามว่าเจียวกู่หลานคู่ "พืชแห่งความอมตะ" บ้างก็เรียก "น้ำพุแห่งความเยาว์วัย" สารสำคัญในเจียวกู่หลานอย่างซาโปนินที่พบมากกว่าโสมเกือบ 4 เท่าตัว พบว่ามีบทบาทในการควบคุมเกื้อหนุนการทำงานของร่างกายหลายด้านให้ดำเนินไปอย่างปกติ ที่สนใจกันมากคือการควบคุมความดันโลหิต และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ดูเหมือนว่าเจียวกู่หลานกับสารซาโปนินจะถูกพูดถึงในงานวิจัยหลายร้อยชิ้นทั่วโลก
การที่เจียวกู่หลานมีบทบาทต่อระบบการทำงานที่สำคัญ ๆ ของร่างกาย โดยมีงานวิจัยยืนยันขยายวงกว้าง ทำให้กลายเป็นน้องใหม่ไฟแรงที่ติดในสมุนไพรกลุ่มปรับสมดุล หรือ Adaptogen (เช่นเดียวกับเห็ดหลินจือและใบแปะก๊วย) ซึ่งหมายถึงสมุนไพร ที่ช่วยให้ระบบประสาทและร่างกายยืนหยัด ตั้งรับภาวะตึงเครียดที่เกิดจากสิ่งเร้าแย่ ๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นความเครียด มลภาวะการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และอายุที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของสภาพร่างกายที่โรยราก่อนวัย รวมถึงโรคร้ายต่าง ๆ สมุนไพรชนิดนี้มักใช้ชงเป็นชา หรือมาเป็นสารสกัดในรูปแบบเม็ด ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประเทศไทย ศึกษาพบว่าการได้รับแคปซูลที่มีสารสกัดจิบเปโนไซด์ (Gypenosides สารกลุ่มซาโปนิน) จากเจียวกู่หลาน 40 มิลลิกรัม วันละ 1-2 แคปซูล ติดต่อกัน 2 เดือน ไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ
เห็ดหลินจือ
ชื่ออื่น ๆ: ในภาษาอังกฤษอาจพบสองคำ ได้แก่ Lingzhi หรือ Reishi เห็ดหลินจือถูกยกให้เป็น "ยาในร่างกายของเห็ด" การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือดำเนินมาอย่างเข้มข้นหลายทศวรรษแล้ว มีงานวิจัยหลายพันชิ้นทั่วโลกเกี่ยวกับเห็ดชนิดนี้ที่ยังทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พบว่าเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง และช่วยกระตุ้นการตอบสนองต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง รวมถึงการปกป้องหัวใจและหลอดเลือดล่าสุดมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการสหราชอาณาจักร ซึ่งย้ำผลของเห็ดหลินจือสกัดในการลดไขมันร้ายอย่างไตรกลีเซอไรด์ (ที่มาจากการกินไขมันสัตว์ หรือไม่ออกกำลังกาย) ขณะที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL ให้สูงขึ้น ในกลุ่มตัวอย่างที่มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง
เห็ดหลินจือ รวมถึงเห็ดที่เพิ่งมาฮิตในเมืองไทย อย่างเห็ดไมตาเกะและเห็ดชิตาเกะ อุดมไปด้วยเบต้ากลูแตน โมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสูงด้านการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย พร้อมควบคุมไม่ให้ภูมิคุ้มกันทำงานเกินพอดีจนทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง สารไตรเทอร์ปินอยด์ในเห็ดหลินจือยังช่วยกระตุ้นการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษ และยังมีการพูดถึงประโยชน์ในการลดภาวะอุดตันของทางเดินปัสสาวะในเพศชายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลในด้านการต้านภูมิคุ้มกัน ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในสหรัฐฯ แนะนำว่าคุณควรได้รับจากสารสกัดเม็ด 150-300 มิลลิกรัม 2-3 ครั้งในทุก ๆ วัน หรือแบบสกัดเข้มข้น ประมาณ 30-60 หยด 2-3 ครั้งต่อวัน
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version