อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
.
มาปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพกันเถอะ
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128112-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ตุลาคม 2555 12:00 น.
คำกล่าวที่ว่า "อโรคยา ปรมาลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ยังเป็นคำพูดที่ไม่ล้าสมัย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพที่ดี มีค่ายิ่งกว่าการมีเงินทองร้อยล้านด้วยซ้ำ เพราะแม้จะมีเงินมากมายมหาศาลก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้ ซึ่งตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
วันนี้ทีมงาน Life & Family มีเคล็ดลับอายุยืนอย่างมีสุขภาพดีจาก นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ผู้หันหลังให้กับการรักษาแผนปัจจุบันและหันไปใช้การรักษาแบบธรรมชาติบำบัด "ปฏิรูปจิต" สู่การ "ปฏิวัติชีวิต" อีกทั้งยังเป็นผู้เขียนหนังสือแนวส่งเสริมสุขภาพเล่มล่าสุด "ปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพ" รวมไปถึงเทคนิคดี ๆ จากคนรักสุขภาพอีก 2 ท่านที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกบ้านไม่มากก็น้อย
คุณหมอบุญชัย เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ฟังว่า ปัจจุบันมีคนไทยประมาณ 20 ล้านคนป่วยเป็นโรคเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ประกอบด้วย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันผิดปกติ ซึ่งโรคเหล่านี้ ตำราการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด ต้องควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักตัว และต้องกินยาควบคุมตลอดชีวิตเท่านั้น
"ถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เราอาจเป็นโรคที่ต้องกลายเป็นคนตาบอดเป็นเวลาถึง 20 ปี หรือต้องฟอกไตตลอด 20 ปี กว่าที่จะล้มหายตายจาก ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตที่น่าอนาจใจก่อนตาย"
อย่างไรก็ดี การทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี คุณหมอท่านนี้บอกว่า ต้องแก้ที่จิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นการแก้ทุกปัญหาสุขภาพอย่างถาวร เรียกว่าแก้ที่นิสัยถาวรหรือแก้ที่สันดาน ซึ่งตัวคุณหมอเองยอมรับว่าเป็นกบฎต่อการใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปที่ส่วนใหญ่กินเนื้อสัตว์ทุกประเภท เป็นเลือกกินเนื้อสัตว์บางประเภทเท่านั้น
"คนเราไม่ควรทานสัตว์ตระกูลเดียวกับเรา คือ ไม่ควรทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดูลิงกอริลล่าเป็นตัวอย่าง มันยังเป็นสัตว์กินพืช คนเราทานอาหารไม่ถูก คนอเมริกันเป็นโรคหัวใจกันเยอะ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ 40 เปอร์เซ็นต์ และ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 35 เปอร์เซ็นต์ เพราะรับประทานเนื้อสัตว์พวกวัวและหมูมาก สัตว์เมื่อจะถูกฆ่าจะกลัวและเครียด ก็จะหลั่งสารก่อมะเร็งออกมา และเมื่อเรากินเข้าไป จะสะสมไปเรื่อยๆ พอถึงวันหนึ่งก็ป่วยเป็นมะเร็ง"
แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ คุณหมอท่านนี้เคยรอให้ตัวเองล้มป่วยด้วยโรคร้ายที่กล่าวมาเสียก่อนถึงค่อยคิดได้ และด้วยความที่ไม่อยากกินยาไปตลอดชีวิต จึงหันมาปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่ โดยใช้วิธีปฏิรูปจิต เปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิต และหันมาใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติ หรือธรรมชาติบำบัดอย่างจริงจัง
"ผมใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น เมื่อกลับมาตรวจสุขภาพอีกครั้ง ก็ไม่พบโรคร้ายเหล่านั้นอีกเลย ที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลตอบแทนที่ได้รับคือมีสุขภาพดีขึ้นมากอย่างเหลือเชื่อ แถมโรคตับอักเสบเรื้อรังและโรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ที่เป็นมามากกว่า 20 ปี ก็หายไปด้วย"
ส่วนเคล็ดลับที่คุณหมอใช้ปฏิรูปจิตตัวเองจนประสบความสำเร็จนั้น มีเคล็ดลับง่าย ๆ คือ คนเราจะมีสุขภาพดีหรือไม่ดีอยู่ที่จิตใจ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว จิตสามารถกำหนดได้ว่าตัวเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเปลี่ยนจิตใต้สำนึกของตัวเองได้ก็สามารถปฏิรูปชีวิตได้ ใจเป็นสุข กายก็เป็นสุข เริ่มจากคิดดี เป็นผู้ให้ จะทำให้เราไม่ทุกข์
นอกจากนี้ คุณหมอบุญชัยยังฝากด้วยว่า เวลาทำอะไรไปหรือคิดอะไรจิตใต้สำนึกจะบันทึกไว้หมด ดังนั้น ต้องคิดดีไว้ก่อน อย่าเอาเรื่องไม่ดีเข้ามาใส่ตัว กินอยู่ให้ดี ปฏิบัติตัวให้ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แล้วเราจะซึมซับสิ่งที่ดีใส่ตัว ส่วนตัวไม่ชอบคำว่าควบคุม แต่ใช้คำว่าปฏิวัติชีวิตตัวเอง เมื่อทำไประยะหนึ่งมันจะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกและมันจะเปลี่ยนไปเอง เราจะเป็นคนใหม่โดยไม่ต้องบังคับตัวเอง
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถือเป็นคนที่มีสุขภาพดีมาก เดินตัวตรง กระฉับกระเฉง แม้จะมีอายุเกือบ 80 ปีแล้ว แต่ก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาหารหลักของครอบครัวในวัยเด็กคือผักตามท้องนา และเนื้อสัตว์ที่หามาได้คือ ปลา กุ้ง ที่อยู่ในนา
"สมัยเด็ก ครอบครัวยากจน ไม่มีโอกาสได้รับประทานเนื้อสัตว์ ผมจึงชอบทานผักสด และทานมาตั้งแต่เด็กๆ อาหารจานหลักคือผักสดที่ปลูกเองที่บ้าน ชีวิตก็รับประทานผักมาตลอด เมื่อไปเรียนต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา ใครๆ ดื่มไวน์ก็ดื่มน้ำเปล่า หรือใครที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บลัดดี้แมรี่ก็จะเลือกดื่มน้ำมะเขือเทศ และไม่ดื่มกาแฟ"
ปัจจุบัน ดร.วิจิตร มีสวนผักอยู่ข้างบ้าน ทำเป็นโรงเรือนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เอาไว้แจกเพื่อนบ้านด้วย ล่าสุดเพิ่งกลับมาจากประเทศฝรั่งเศส ขณะที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสก็รับประทานอาหารได้อร่อยและมีความสุข เพราะเลือกทานปลาทั้ง 7 วัน 7 ชนิดไม่ซ้ำกันเลย
เมื่อถามลึกลงไปถึงหลักการดูแลชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดร.วิจิตร บอกว่า มีอยู่ 3 ประการหลัก ๆ ที่ให้ความสำคัญ คือ 1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ไม่กินเนื้อสัตว์ประเภทสัตว์ใหญ่ และรับประทานผักผลไม้ให้มาก 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ หรือเต้นรำ ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสมาคมลีลาศด้วย และ 3. พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียด คือ คนพักผ่อนไม่พอ ต้องระวังอย่าให้เครียด
ปิดท้ายกันที่เทคนิคดี ๆ จาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง สูตินรีแพทย์อาวุโส นายกสมาคมประสานงานองค์กรเอกชนเพื่อการสาธารณสุข ที่ให้เคล็ดลับดูแลสุขภาพไว้ว่า เวลาเหนื่อยให้นอนพัก ถ้านอนหลับลึกๆ สัก 5-10 นาทีก็จะดีขึ้น
"ผมเริ่มดูแลตัวเองเมื่ออายุมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนทำงานเยอะมาก สังเกตว่าตอนที่อายุน้อยๆ กินเท่าไรก็ไม่อ้วน แต่พออายุมากขึ้น กินเหมือนเดิมก็อ้วน เพราะว่าระบบเผาผลาญมันแย่ลง ก็ต้องออกกำลังกายมากขึ้น และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลักสำคัญคือ กินให้ถูก อยู่ให้ดี หลับนอนให้เพียงพอ รู้จักหาความสุขใส่ตัวทั้งภายนอกคือการสุขกาย และภายใน คือ การได้ช่วยเหลือผู้อื่น ความสุขจากภายใน ไม่มีใครจะโขมยไปจากเราได้" นี่คือสิ่งที่คุณหมอท่านนี้ให้ความสำคัญ ซึ่งนับเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128112
.
sithiphong:
ไส้กรอก
-http://how2healthy.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html-
http://how2healthy.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html
.
sithiphong:
มะกอกน้ำ - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2555 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/165722-
มะกอกน้ำเป็นไม้ยืนต้น สูง 7-12 เมตร เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบยาว ใบย่อยรูปไข่ค่อนข้างเรียวแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อแบบเพนิเคิล ตามปลายยอด ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาว ฐานรองดอกมีสีเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผล รูปไข่หรือรูปกระสวย มียางคล้ายไรไข่ปลา ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม ผลแก่มีสีเขียวอมเหลือง สุกมีสีส้ม เมล็ด กลมรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งและมีขนแข็งที่เปลือกหุ้มเมล็ด
ผลมีรสเปรี้ยวฝาด หวานชุ่มคอ บำบัดโรคธาตุพิการ โดยน้ำดีไม่ปกติ และมีประโยชน์แก้โรคบิดได้ด้วย น้ำคั้นใบมะกอก ใช้หยอดหู แก้ปวดหูดี ผลมะกอกสุก รสเปรี้ยว อมหวาน รับประทานทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้ดี เช่นผลมะขามป้อม เปลือกฝาด เย็นเปรี้ยว ดับพิษกาฬ แก้ร้อนในอย่างแรง แก้ลงท้องปวดมวน แก้สะอึก เมล็ดเมื่อนำมาสุมไฟให้เป็นถ่าน นำมาแช่น้ำ เอาน้ำรับประทานแก้ร้อนใน แก้หอบ แก้สะอึกใช้ผสมยา มหานิล ใบอ่อน รับประทานเป็นผักแกล้มอาหาร.
http://www.dailynews.co.th/agriculture/165722
sithiphong:
ถั่วแดง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/165567-
ถั่วแดงมีโปรตีนและมีคุณค่าทางอาหารสูง นำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี โดยต้มให้เปื่อยก่อนนำไปเลี้ยงสัตว์ แต่ต้องระวังอย่าให้สัตว์กินมากเกินไป เพราะจะทำให้ท้องอืด ถั่วแดงสามารถนำมาใช้เป็นอาหารของมนุษย์ได้ทั้งที่เป็นผักสดและเมล็ดแห้ง ประเทศแถบยุโรปหรืออเมริกา นิยมบริโภคเมล็ดถั่วแดง ทั้งเป็นอาหารคาวและหวาน มีประโยชน์ในด้านใช้เป็นอาหารลดความอ้วนและสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แต่ในประเทศไทยเริ่มมีผู้นิยมบริโภคมากขึ้น เช่น ถั่วแดงต้มน้ำตาล หมูอบถั่วแดง ถั่วแดงอบ แกงถั่วโอสถ ห่อหมก ถั่วเสวย ซุปถั่วแดง เป็นต้น.
http://www.dailynews.co.th/agriculture/165567
.
sithiphong:
“น้ำปลา-ปลาร้า” วัฒนธรรมร่วมของชาวอาเซียน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
21 พฤศจิกายน 2555 17:47 น.
การที่ 10 ประเทศในอาเซียนจะรวมกันเป็นประชาคม แน่นอนว่าย่อมต้องมีเอกลักษณ์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องอาหารการกิน ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันก็จะมีวัฒนธรรมในการกินคล้ายคลึงกันไปด้วย ซึ่งชาวอาเซียนเราก็มีทั้ง “น้ำปลา” และ “ปลาร้า” ที่เป็นวัฒนธรรมการกินร่วมกัน มีให้กินคล้ายๆ กันในหลายประเทศ
เริ่มต้นที่ “น้ำปลา” ที่เป็นส่วนผสมของปลา เกลือ และน้ำเกลือเข้มข้น ผ่านการหมักบ่มนานนับปี ก็จะได้หัวน้ำปลาอย่างดี จากนั้นก็นำกากปลาที่เหลือมาผสมกับน้ำเกลือเข้มข้นแล้วหมัก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะได้น้ำปลาเกรดสอง, สาม, สี่,... ไปจนกระทั่งกากปลาย่อยสลายไปหมด
น้ำปลานั้นเป็นสิ่งที่ช่วยชูรสชาติให้จัดจ้านกลมกล่อมขึ้น จากที่เป็นอาหารจืดๆ ใส่น้ำปลาลงไปก็เพิ่มความอร่อย อย่างที่ประเทศไทยเรียกว่าน้ำปลา เพื่อนบ้างเราก็กินน้ำปลาแต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละภาษา อย่างเช่น เวียดนามเรียกว่า “Nuoc Mam” ฟิลิปปินส์ เรียกว่า “Patis” ลาว เรียกว่า “น้ำปา” พม่า เรียกว่า “Ngan Bya Yay”
ส่วน “ปลาร้า” นั้นก็ไม่ได้มีเพียงเฉพาะที่ภาคอีสานของไทย แต่เกิดขึ้นได้ทั่วทุกมุมโลก จากการที่ต้องเก็บถนอมปลาเอาไว้กินในยามขาดแคลน และใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว คือ ปลา เกลือ และข้าว
ในประเทศไทย เรียกว่า “ปลาร้า” ส่วนบ้านพี่เมืองน้องของเรา ลาว เรียกว่า “ปลาแดก” ปลาร้าเขมร คือ “ปราฮ็อก” ฟิลิปปินส์ เรียกว่า “บากุง” เวียดนาม เรียกว่า “มาม” มาเลเซีย เรียกว่า “เปกาซัม” อินโดนีเซีย เรียกว่า “บากาแซ็ง” พม่า เรียกว่า “งาปิ๊”
จะเห็นว่าชาวประชาคมอาเซียนนั้นก็มีวัฒนธรรมในการกินที่คล้ายคลึงกัน เพราะมีวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ใกล้เคียงกัน นั้นก็คือ ปลา เกลือ และข้าว ซึ่งแต่ละชาติจะประดิษฐ์ประดอยออกมาได้รสชาติหรือหน้าตาแบบไหน ก็ต้องไปลองหาชมหาชิมกันเอาเอง
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141192-
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version