อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
กินโยเกิร์ต-นมเปรี้ยวอย่างไร? ได้ประโยชน์!
-http://www.dailynews.co.th/healthy/178904-
โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่คุ้นเคย อาจไม่ได้ให้ประโยชน์อย่างที่เข้าใจ รีบมารู้ของดีจริงต้องเป็นแบบไหน
คลับสุขภาพศุกร์นี้มาเติมสิ่งดีๆ ให้กับกระเพาะอาหารและสำไส้ หลายคนอาจทราบว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เป็นอาหารอีกชนิดที่ดีต่อสุขภาพ แต่ที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้น ไม่ใช่ทุกชนิดที่ทานแล้วได้ประโยชน์จริงๆ
โยเกิร์ต (Yoghurt) และนมเปรี้ยว (Drinking yoghurt) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนมสด หรือนมพร่องมันเนย โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส และสเตรปโตคอคคัส เป็นหลัก ใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ จากนั้นแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค จนมีภาวะกรด และมีรสเปรี้ยว โดยความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 3.8-4.6 หลังนำแบคทีเรียข้างต้นไปหมักกับนมก็จะได้เป็นนมเปรี้ยว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น ‘นมเปรี้ยว’ ที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยว ที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า ‘โยเกิร์ต’ นั่นเองค่ะ
โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารมีประโยชน์ที่ผลิตจากนมโค อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วนเทียบเท่ากับนมโคสด และในบางตำรายังกล่าวว่า ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด เช่น โปรตีนเคซีนในนมเปรี้ยวจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีกว่า เพราะย่อยสลายได้ง่ายกว่า
สำหรับโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราคุ้นเคยกันอยู่นั้น อาจไม่ใช่โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่กำลังจะกล่าวถึง เพราะจุดประสงค์ของการทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ถูกต้อง คือ ทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก (ประมาณหมื่นล้านตัวต่อกรัม) เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ
ส่วนโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราซื้อหากันในท้องตลาด ส่วนใหญ่ทำขึ้นโดยการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้วยซ้ำ เพราะนำไปฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูงและนำมาบรรจุกล่อง ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวมากกว่านะคะ แถมบางชนิดใส่น้ำตาลมากไปจนน่าสงสัยว่าจะได้ประโยชน์จากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจริงๆ หรือไม่ และบางชนิดมีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลือจนอยู่น้อยมาก
ดังนั้นโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ดี ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน กลิ่น รสสังเคราะห์ เพราะทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวรสธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อยกันค่ะ
มาดูกันต่อนะคะว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไร...
1.โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม ที่ชื่อ เคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและโปรตีนเคซีน
2.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ โดยกรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกาย เช่น เชื้อซัลโมเนลา, อี โคไล, โคลินแบคทีเรีย ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราจึงควรทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้
3.เป็นแหล่งวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังช่วยสังเคราะห์วิตามินบี และวิตามินเค ในลำไส้
4.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหาร จากการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว
5.ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น
6.เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจะมีโปรตีนมากกว่าในนม ร้อยละ20 และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปได้ดี
7.ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะแลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
8.ช่วยป้องกันมะเร็ง โดยแลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง ทั้งยังสามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคงต้องรีบไปหาโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว ที่มีคุณสมบัติดีๆ มาติดตู้เย็นกันแล้วใช่ไหมคะ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน เพื่อร่างกายของเรา และคนที่เรารักให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกันเถอะค่ะ อย่าลืมค่ะว่า You are what you eat เลือกทานอะไรดีๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรงกันนะคะ.
"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy
อ้างอิงบางส่วนจาก www.goodhealth.co.th
.
sithiphong:
ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน
-http://men.kapook.com/view56167.html-
..
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
โรคหัวใจ ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ หรือเรื่องไกลตัวแม้แต่น้อย เพราะมันคร่าชีวิตผู้คนมานักต่อนักแล้ว และสักวันอาจเป็นตัวคุณเองหรือคนที่คุณรักก็ได้ แม้คุณจะบอกว่าเป็นหนุ่มที่ชอบออกกำลังเป็นชีวิตจิตใจแล้วก็ตาม แต่ก็เห็นแล้วว่าบรรดานักกีฬามืออาชีพหลาย ๆ คน ต้องจบชีวิตโรคด้วยโรคหัวใจ ซึ่งถ้าไม่อยากให้โรคหัวใจมาทำร้ายคนสำคัญในชีวิตคุณ ก็ควรดูแลตัวเองและเพื่อน ๆ ให้ดี ด้วยการเลี่ยงอาหารต้องห้าม สาเหตุของโรคหัวใจเหล่านี้ดู
ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน
1. ของทอด
แม้ว่าพวกของทอดรสเข้มข้นกินได้ไม่รู้เบื่อ จะอร่อยจนหลาย ๆ คนติดใจเอามากินไปพลางดูหนังเรื่องโปรดไปพลางกันอยู่เป็นประจำ แต่ถ้าต้องการดูแลระบบหัวใจ ก็ควรหักห้ามใจตัวเองจากของพวกนี้บ้างเถอะนะ เพราะมันมีโซเดียมค่อนข้างมาก ที่จะส่งผลให้ความดันของคุณพุ่งสูงขึ้นได้ง่าย ๆ จนกลายเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคหัวใจได้เลยล่ะ
ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน
2. เนื้อแดง
ช่วงนี้คนรักการกินเนื้อคงต้องลด ๆ การกินเนื้อแล้วหันไปบริโภคผักหรือเนื้อปลาแทนไปก่อนซะแล้ว เพราะเนื้อแดงนั้นเต็มไปด้วยคอเลสเตอรอล ที่จะส่งผลให้เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจมีไขมันอุดตันได้ นอกจากนี้พวกสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นเวลาคุณย่างสเต็กยังส่งผลกระทบต่อหัวใจอีกต่างหาก
ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน
3. ขนมปังขาว
ถึงแม้ว่ากากใยอาหารในขนมปัง จะช่วยเรื่องระบบการทำงานของหัวใจได้ดี แต่น้ำตาลที่อยู่ในขนมปังพวกนี้ก็สูงมากพอที่จะทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเอาได้ ซึ่งขนมปังขาวนั้นมีกากใยและสารอาหารเพียงน้อยนิด แต่เต็มไปด้วยน้ำตาลมากมาย ที่พอกินเข้าไปแล้ว ก็จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว คุณจึงควรเลี่ยงของพวกนี้เอาไว้ดีกว่า
ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน
4. อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน
นอกจากของพวกนี้จะเป็นตัวการทำลายหุ่นสุดเฟิร์มของคุณแล้ว ยังสร้างความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจให้เพิ่มขึ้นด้วยอีกต่างหาก ซึ่งบางทีหลาย ๆ คนก็รู้ดีถึงจุดนี้อยู่แล้ว แต่เผลอไม่ได้เป็นต้องหยิบของที่อุดมไปด้วยไขมันอย่างพิซซ่าเข้าปากอยู่ดี เพราะรสชาติมันแสนจะยั่วน้ำลายซะเหลือเกิน ดังนั้นควรเลี่ยงไว้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการไม่เก็บของพวกนี้ไว้ในบ้าน แต่ซื้อผลไม้มาติดตู้เย็นแก้หิวแทนก็แล้วกัน
ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน
5. แอลกอฮอลล์
ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้าสังสรรค์กับเพื่อน ๆ บ่อย ๆ แนะนำให้เพลา ๆ ลงเสียบ้าง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งหลายไม่ได้แค่ทำลายตับของคุณเท่านั้นหรอกนะ แต่มันส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณด้วย โดยมันจะไปกระตุ้นไตรกลีเซอไรด์เพิ่มไขมันในกระแสเลือด ส่งผลให้การส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจติดขัด อีกอย่างสาว ๆ เขาก็ไม่ชอบผู้ชายขี้เมากันนักหรอก รู้แบบนี้แล้วก็ลด ๆ เสียบ้างเถอะ
ทั้งนี้ใช่ว่าคุณจะต้องตัดขาดจากของอร่อยเสียเมื่อไหร่ เพราะพวกผักผลไม้และเนื้อปลา หากปรุงดี ๆ แล้ว ก็มีเมนูที่ทั้งอร่อยและดีกับสุขภาพได้เหมือนกัน ยังไงก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินกันดูนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง
lek:
แก่นตะวัน สุดยอดพืชมหัศจรรย์สารพัดประโยชน์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Spras77
ไม่ใช่แค่คนที่ชอบปลูกต้นไม้ หรือสนใจสมุนไพรเพียงเท่านั้นจะรู้จัก "ต้นแก่นตะวัน" เพราะปัจจุบันนี้ "แก่นตะวัน" กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก เนื่องจากได้ชื่อว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ เราไปดูกันซิว่า "แก่นตะวัน" เป็นพืชประเภทไหน และความมหัศจรรย์ของ "แก่นตะวัน" มีอะไรบ้าง
สำหรับ "แก่นตะวัน" นั้น เรียกได้หลายชื่อทั้ง "ทานตะวันหัว" และ "แห้วบัวตอง" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า เยรูซาเล็ม อาร์ติโช้ก (Jerusalem artichoke) บางทีก็เรียกว่า ซันโช้ก (sunchoke) ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์คือ Helianthus tuberosus L. เป็นพืชดอกในตระกูลทานตะวัน ซึ่งมีต้นกำเนิดในตอนใต้ของประเทศแคนาดา และตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ จึงสามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน และเขตกึ่งหนาวอย่างทวีปยุโรป ทำให้ต้น "แก่นตะวัน" เป็นที่รู้จักในหลาย ๆ ภูมิภาค
โดยลักษณะต้นของ "แก่นตะวัน" จะสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร มีขนตามกิ่งและใบ ส่วนดอกของ "แก่นตะวัน" มีสีเหลืองสดใสคล้ายกับดอกบัวตอง และทานตะวัน แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก นอกจากนี้ "แก่นตะวัน" ยังมีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่งไว้สำหรับเก็บสะสมอาหาร ซึ่งที่หัวของแก่นตะวันนี่เอง ที่จัดว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม
นั่นก็เพราะที่ส่วนหัวของ "แก่นตะวัน" จะมีสารอินนูลิน (Inulin) ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลฟรักโตสโมเลกุลยาว จึงเป็นพืชพรีไบโอติกที่มีเส้นใยสูงมาก หากรับประทานเข้าไป สารดังกล่าวจะไปช่วยดักจับยึดไขมันในเส้นเลือด ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หรือ LDL ที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปทิ้งออกทางอุจจาระ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี
และถ้าใครที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ "แก่นตะวัน" ก็ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น เพราะอินนูลินจะไปช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โคลิฟอร์ม (Coliforms) และ อี.โคไล (E.Coli) ในขณะเดียวกัน "แก่นตะวัน" ก็จะไปเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) และแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) ให้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ใครที่อยากลดความอ้วน "แก่นตะวัน" ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี โดยก่อนหน้านี้มีผู้ทดลองวิจัยให้หนูทานอาหารผสมอินนูลินนาน 3 สัปดาห์ และพบว่า น้ำหนักตัวของหนูลดลงจากเดิมถึง 30% เลยทีเดียว ซึ่งหากคนรับประทานแก่นตะวันซึ่งมีอินนูลินสูงเข้าไป ก็จะช่วยเรื่องการลดน้ำหนักตัวได้เช่นกัน เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเส้นใยอินนูลินได้ ทำให้สารดังกล่าวตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารหลายชั่วโมง จึงทำให้ผู้รับประทาน "แก่นตะวัน" เข้าไป ไม่รู้สึกหิว และทานอาหารได้น้อยลงนั่นเอง
ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน การรับประทาน "แก่นตะวัน" ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ เพราะ "แก่นตะวัน" มีแคลอรีต่ำ และไม่ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยระบุว่า คนที่ทานอินนูลินจะมีโอกาสเป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่ทานน้ำตาลถึง 40% เลยทีเดียว
สำหรับสรรพคุณอื่น ๆ ของ "แก่นตะวัน" ก็มีอย่างเช่น
ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย
ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก
ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
ลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย
ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
ป้องกันอาการภูมิแพ้ และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก
ฯลฯ
เมนูจานเด็ดจากแก่นตะวัน
เห็นสรรพคุณของ "แก่นตะวัน" มากมายขนาดนี้แล้ว ก็คงอยากจะลองรับประทานกันบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ โดยเราสามารถทาน "แก่นตะวัน" ได้ทั้งแบบสด ๆ เหมือนกับผักสลัดทั่ว ๆ ไป รสชาติจะออกคล้าย ๆ แห้วและมันแกว หรือจะนำไปปรุงสุกเป็นอาหารหลากหลายเมนูก็ย่อมได้ หรือหากใครจะลองนำหัวแก่นตะวันไปตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้งแล้วนำไปอบ ป่นเป็นผงเล็ก ๆ ไปผสมกับแป้งทำขนม คุ้กกี้ ก็จะได้ขนมรสอร่อย แถมยังมีกลิ่นหอม และมีปริมาณอินนูลินจำนวนมากซึ่งดีต่อสุขภาพด้วย
และนอกจาก "แก่นตะวัน" จะเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงแล้วแล้ว ยังเป็นพืชที่มีประโยชน์ในด้านพลังงานทางเลือกอีก โดยหากนำหัวสดแก่นตะวัน 1 ตัน ไปหมักด้วยเชื้อยีสต์ จะได้แอลกอฮอล์ไปกลั่นเป็นเอทานอลที่บริสุทธิ์ 99.5% ได้ถึง 100 ลิตร ซึ่งมากกว่าอ้อย 1 ตัน ที่จะให้ปริมาณเอทานอลเพียง 75 ลิตร ดังนั้นแล้ว หากมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการหมัก และกรรมวิธีต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เชื่อได้เลยว่า "แก่นตะวัน" จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในไม่ช้า
แหม...ประโยชน์ครบเซ็ตอย่างนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนทั่วโลกถึงยกให้ "แก่นตะวัน" เป็นสมุนไพรมหัศจรรย์จริง ๆ
เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอบคุณที่มาจาก
http://health.kapook.com/view30578.html
sithiphong:
ความมหัศจรรย์ของน้ำมะพร้าว
-http://campus.sanook.com/962317/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-
ว่ากันว่าน้ำมะพร้าวถือว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่สุด เพราะนอกจากในลูกมะพร้าวจะมีน้ำหอมๆแล้ว ยังมีเนื้อมะพร้าวอีกด้วย ทำไมมะพร้าวถึงมหัศจรรย์ขนาดนี้ค่ะเนี้ย
เชื่อกันว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุด ก็เพราะว่ากว่าจะได้น้ำมะพร้าวนั้น รากต้องดูดน้ำและสารอาหารจากดินผ่านการกลั่นกรอง ผ่านชั้นของเนื้อเหยื่อ และเซลล์ต่างๆของเนื้อไม้ หลายต่อหลายชั้น จนขึ้นไปสู่ยอดมะพร้าวและซึมซับไปลูกมะพร้าวส่งผลให้ลูกมะพร้าวหนึ่งลูกเต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารมากมายและมีความสะอาด บริสุทธิ์ ไร้สิ่งเจือป่นค่ะ น้ำมะพร้าวจึงเป็นเครื่องดื่มที่ให้เกลือแร่ได้อย่างมากมายค่ะ เนื่องมาจากอุดมไปด้วยโพเเทสเซียมและสารละลายไอโซโทนิก ทั้งยังเป็นน้ำชนิดเดียวที่สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อทดแทนการขาดน้ำได้ด้วยค่ะ
sithiphong:
ขนุน
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/208379-
ขนุนเป็นไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง 5-8 เซน ติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า “ส่า” มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นหนามแหลม ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคม ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่
ยวง เมล็ด แก่นของขนุน ส่าแห้งของขนุน ใบยวงและเมล็ด รับประทานเป็นอาหาร เมื่อครั้งอดีตคนไทยนำแก่นของขนุน ต้มย้อมผ้าให้สีน้ำตาลแก่ นำส่าแห้งของขนุนมาทำชุดจุดไฟ แก่นขนุน จะมีรสหวานชุ่มขม บำรุงกำลังและโลหิต ทำให้เลือดเย็น ใบนำมาเผาให้เป็นถ่านผสมกับน้ำปูนใสหยอดหู แก้ปวดหู และหูเป็นน้ำหนวก ไส้ในของขนุนรับประทานแก้ตกเลือดทางทวารเบาของสตรีที่มากไปให้หยุดได้ แก่นและเนื้อไม้ รับประทานแก้กามโรค.
-------------------------------------------------------------------------
แคดอกแดง
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/208092-
แคดอกแดงเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-6 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทา ขรุขระแตกเป็นสะเก็ด ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยรูปรีขอบขนาน กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 3-4 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ 2-4 ดอก ดอกสีแดง มีกลิ่นหอม ก้านเกสรเพศผู้สีขาว 60 อัน ผล เป็นฝัก ยาว 8-15 ซม. ฝักแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดกลมแป้น สีน้ำตาล มีหลายเมล็ด
เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรไทย โดยเปลือกต้มหรือฝนรับประทาน แก้โรคบิดมีตัว แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ ใช้ชะล้างบาดแผล ดอกและใบ รับประทานแก้ไข้เปลี่ยนอากาศ เปลี่ยนฤดู ชาวอินเดีย ใช้สูดดมน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบแคเข้าจมูกรักษาโรคริดสีดวงในจมูก และทำให้มีน้ำมูกออกมา แก้ปวดและหนักศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้ ใบสด ทำให้ระบาย นำมาตำละเอียดพอกแก้ช้ำชอก.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version