อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
อัลมอนด์และน้ำผึ้ง แก้เจ็บคอ
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87_%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%AD/-
อาการเจ็บคอมาเยี่ยมเราได้บ่อย ๆ เช่น ตอนเป็นไข้ ยิ่งไปกว่านั้นอาการเจ็บคอยังเป็นสัญญาณเตือนที่บอกให้เรารู้ว่า ร่างกายมีท็อกซินเกินขีดกำจัด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บคอที่ทำให้คอมีอาการบวมแดง ไปจนถึงทำให้ทอนซินอักเสบ สิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกคือ หันกลับมากินอาหารสุขภาพโดยด่วน
นอกจากการดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษและพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ลองนำของกินเล่นบางอย่างมาทำเป็นยาตำราที่นำมาฝากวันนี้ดูเสียเลย
ของกินเล่นที่ว่านี้ก็คือ "อัลมอนด์อบ" กลิ่นหอม รสมัน ที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่นทั้งหลาย เพราะอัลมอนด์มีสรรพคุณช่วยเยียวยาอาการอักเสบบวมได้ กินกับ "น้ำผึ้ง" ที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อด้วย
วิธีทำคือ ให้นำอัลมอนด์มาบดหยาบ ๆ ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักกินให้หมด นอกจากอร่อยแล้ว อาการเจ็บคอก็จะหายในเร็ววัน
หากรู้จักเลือก ของขบเคี้ยวจากธรมชาติก็ใช้เป็นยาได้
ข้อมูลจาก :: ชีวจิต
ที่มาข้อมูลและภาพ kroobannok.com
sithiphong:
มะนาวพืชสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/213536-
ข้อมูลทางวิชาการจากมหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์ได้ระบุถึงประโยชน์ของมะนาว ว่า มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมายหลายโรคด้วยกัน โดยเฉพาะประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีมากมาย อาทิ แก้ไอออกเลือด ใช้โดยนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ แก้เสียงแหบแห้ง ด้วยการผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน เสียงจะไม่แหบแห้ง หรือก้างปลาติดคอแก้โดยเอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ หรือแก้ไข้ โดยนำใบมะนาวมาหั่นฝอย ๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคเป็นต้น
และคนไทยในชนบทเมื่อครั้งอดีตจะใช้มะนาวบรรเทาพิษงูเมื่อถูกงูกัด โดยกินน้ำมะนาว ขนาดผลโตสัก 1 ผล ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำมะนาวจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล็กน้อย ซึ่งเชื่อกันว่าพิษงูเริ่มหมดฤทธิ์ แต่ปัจจุบันวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ เนื่องจากระบบการรักษาพยาบาลมีความก้าวหน้าและสามารถเข้าถึงชุมชนได้ค่อนข้างกว้างขวางและรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครั้งอดีต ผู้ถูกงูกัดจึงถูกส่งถึงโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที.
.
มะตูมซาอุ - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/213315-
มะตูมซาอุ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกา ใต้แถบประเทศบราซิล อาร์เจนตินาและปารากวัย เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 10 เมตร มีกิ่งก้านมากจนมองไม่เห็นลำต้น ใบอ่อนมีสีแดง ขอบใบมีลักษณะเป็นหนาม ต้นตัวผู้และต้นตัวเมียแยกกันคนละต้น ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ สีขาว ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน ออกดอกได้ทั้งปี แต่พบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผลเมื่ออ่อนมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อแก่ เนื่องจากผลมีสีสวยสดและออกได้ทั้งปี จึงนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ ผลเมื่อแก่จัดเปลือกจะแห้งติดเมล็ดคล้ายพริกไทย ชาวอเมริกาใต้ใช้ผลมะตูมซาอุแทนพริกไทย
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา สารสกัดของมะตูมซาอุช่วยลดการอักเสบ ควบคุมการเต้นของหัวใจ ช่วยรักษาโรคความดันต่ำ แก้ท้องผูก กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อและรักษาบาดแผลลดอาการปวด ทำลายเซลล์มะเร็ง ลดอาการซึมเศร้า ลดอาการชักกระตุก ทำลายเชื้อไวรัส กระตุ้นการย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ ขับเสมหะและกระตุ้นการขับประจำเดือน.
.
sithiphong:
Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12
-http://www.youtube.com/watch?v=tvezSN72XiU-
Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12
Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12
โพสต์โดย LadyBimbettes
sithiphong:
กล้วยน้ำว้าในทางสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/214520-
กล้วยน้ำว้าเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร ลำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นลำต้นเทียม สีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 25-40 ซม. ยาว 1-2 เมตร ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีนวลสีขาว เส้นใบขนานกันในแนวขวาง ก้านใบเป็นร่องแคบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดห้อยลง เรียกว่า หัวปลี มีใบประดับขนาดใหญ่หุ้มสีแดงเข้ม เมื่อบานจะม้วนงอขึ้น ด้านนอกมีนวล ด้านในเกลี้ยง ผล รูปรี ยาว 11-13 ซม. ผิวเรียบ ปลายเป็นจุก เนื้อในมีสีขาว พอสุกเปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน รับประทานได้ หวีหนึ่งมี 10-16 ผล บางครั้งมีเมล็ด เมล็ดกลม สีดำ ในทางสมุนไพรไทยใช้ราก แก้ขัดเบา ต้น ใช้ห้ามเลือด แก้โรคไส้เลื่อน ใบ ใช้รักษาแผลสุนัขกัด ห้ามเลือด ยางจากใบ ใช้ห้ามเลือด สมานแผล ผล ใช้ รักษาโรคกระเพาะ แก้ท้องเสีย ยาอายุวัฒนะ แก้โรคบิด รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้ริดสีดวง กล้วยน้ำว้าดิบ มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเดิน แก้โรคกระเพาะ และอาหารไม่ย่อย กล้วยน้ำว้าสุกงอม ใช้เป็นอาหาร ยาระบาย สำหรับผู้ที่อุจจาระแข็ง หรือเป็นริดสีดวงทวารขั้นแรกจนกระทั่งถ่ายเป็นเลือด หัวปลี ใช้ขับน้ำนม.
..
พลูสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/214195-
ข้อมูลจากงานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรมฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ระบุว่าพลูเป็นไม้เลื้อย มีข้อและปล้องชัดเจน ที่ข้อมีรากสั้น ๆ ออกรอบข้อ ใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบสลับลักษณะของใบคล้ายใบโพธิ์ ปลายใบแหลม ผิวใบมัน ดอกออกรวมกันเป็นช่อแน่น ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ขึ้นง่าย คนแก่ใช้ทาปูนแดง รับประทานกับหมากซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพลูที่มีใบสีเขียวเข้มมากกว่าพันธุ์ที่มีใบสีออกเหลืองทอง นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในพิธีมงคลเป็นเครื่องเซ่นไหว้ การทำเครื่องบายศรีสู่ขวัญ พลูมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ สารที่เรียกว่า ชาวิคอล ยูจีนอลเบต้าซิโตสเตอรอล และซินีออล เป็นต้น
พลูเป็นสมุนไพรแก้ลมพิษ รักษาอาการคัน ในใบพลูมีสารยูจีนอลและชาวิคอล มีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด จึงมีประโยชน์ในการระงับอาการคันและเจ็บปวดเนื่องจากแมลงกัดต่อย ช่วยฆ่าและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง และมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลาก และพบว่าน้ำมันพลูสามารถฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ สารเบต้าสเตอรอล มีฤทธิ์แก้แพ้ แก้อักเสบ นอกจากนี้ พลูยังมีสรรพคุณใช้แก้การอักเสบของเยื่อจมูกและคอ แก้กลาก แก้ฮ่องกงฟุต แก้คัน แก้ลมพิษ ลนไฟนาบท้องเด็ก แก้ปวดท้องและแก้ลูกอัณฑะยาน เป็นต้น.
sithiphong:
“ทุเรียน” กินดีมีประโยชน์...แต่โทษถึงตายถ้ากินกับเหล้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2556 16:40 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077196-
เห็นทุเรียนสีเหลืองทองอร่าม กลิ่นหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูกพลอยให้อยากลิ้มลองไปเสียทุกครั้ง ยิ่งช่วงนี้ฤดูกาลแห่งทุเรียนมาถึง ใครต่อใครก็พากันไปลิ้มรสหวานมันหอมจากราชาแห่งผลไม้ชนิดนี้
จำได้ว่าเมื่อสมัยก่อน “108 เคล็ดกิน” มักจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ว่าอย่ากินทุเรียนมากเกินไป เพราะว่าเป็นของร้อน กินมากแล้วจะร้อนใน ซึ่งที่จริงแล้วก็เนื่องมาจากว่าทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาล และไขมันสูง หากกินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานมาก ซึ่งกระบวนการย่อยสลายสารต่างๆ ทั้งน้ำตาลและไขมันนั้นจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายและอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ
แต่ต้องบอกว่าทุเรียนนั้นไม่ได้มีแต่โทษเพียงอย่างเดียว ใครที่ยังชอบกินทุเรียนอยู่ก็ยังกินได้อย่างสบายใจ เพราะนอกจากความอร่อยแล้วนั้น ทุเรียนก็ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ซึ่งจากการศึกษาทดลองได้พบประโยชน์จากทุเรียนว่ามีส่วนช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และทุเรียนที่มีความสุกกำลังดี โดยเฉพาะในพันธุ์หมอนทอง จะมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ
สำหรับแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในทุเรียนนั้นก็มีธาตุเหล็กและมีปริมาณเส้นใยอยู่มาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนไขมันที่พบอยู่ในเนื้อทุเรียนนั้นก็เป็นไขมันชนิดดี และมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้ต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งตามปริมาณตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำนั้น แนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี
ในคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้ระวังการกินทุเรียน ยังสามารถกินได้แต่ควรกินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือ ห้ามกินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันอยู่มาก สามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ถ้ากินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ทำให้เมาเร็วและเมาหนัก เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เกิดอาหารร้อนใน แน่นอก ขาดน้ำ และอาจเสียชีวิตได้
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version