อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (31/85) > >>

sithiphong:
“ฟักข้าว” ผักพื้นบ้าน สรรพคุณเยี่ยม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 กรกฎาคม 2556 16:43 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088241-



ไปกิน “ฟักข้าว” กัน!!
       
       หลายคนยังทำหน้างงๆ อยู่เพราะอาจจะยังไม่รู้จักว่าฟักข้าวนั้นคืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง “108 เคล็ดกิน” ก็เลยจะมาบอกสรรพคุณอันเยี่ยมยอดของ “ฟักข้าว” พืชผักพื้นบ้านของเราว่ามีดีอะไรบ้าง
       
       ก่อนอื่นมาพูดถึงเรื่องหน้าตาของฟักข้าวว่าเป็นอย่างไร ใครที่เคยไปเดินตลาดแล้วสังเกตเห็นผักที่ลักษณะเป็นผลทรงกลมๆ หรือรีๆ มีตุ่มแหลมๆ อยู่ทั่วทั้งผล มีทั้งแบบสีเขียวอ่อนที่ยังเป็นผลอ่อน และผลที่สุกแล้วเป็นสีแดง หรือแดงอมส้ม นั่นแหละ “ฟักข้าว” ที่เรากำลังพูดถึงกัน
       
       สำหรับฟักข้าวนั้นเป็นผักพื้นบ้านที่คนไทยกินกันมานานแล้ว กินกันตั้งแต่ยอดอ่อนของฟักข้าว นำมาลวกจิ้มน้ำพริก ผัด ต้ม หรือแกง ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ส่วนผลอ่อนนั้นก็นำมาต้มจิ้มน้ำพริก หรือจะใส่แกงต่างๆ ก็ได้ เพราะเนื้อของฟักข้าวผลอ่อนนั้นละม้ายกับเนื้อมะละกอดิบ แต่เนียนและแน่นกว่า
       
       ซึ่งใบของฟักข้าวตามตำราแพทย์แผนไทยก็มีสรรพคุณแก้ไข้ตัวร้อน ถอนพิษอักเสบ เนื่องจากเป็นผักรสขมเย็น และยังสามารถนำมาตำแล้วพอกแก้ปวดหลัง แก้ฝี แก้พิษ ส่วนผลอ่อนและใบอ่อนของฟักข้าวก็มีการวิจัยออกมาแล้วว่ามีสารที่ช่วยยับยั้งน้ำตาลในเลือด ยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน ทำให้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งวิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก และไฟเบอร์อีกด้วย
       
       และสารอาหารที่พบมากในฟักข้าวก็คือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งพบอยู่ที่เยื่อเมล็ดของฟักข้าว โดยมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าในแครอทถึง 10 เท่า
       
       ส่วนผลสุกของฟักข้าว หากผ่าเข้าไปดูภายในแล้วจะพบกับเมล็ดของฟักข้าวที่เรียงตัวกันและมีเยื่อหุ้มเป็นสีแดง ตามตำราแพทย์แผนไทย เมล็ดฟักข้าวจะมีรสมันเมาเย็น หากกินเมล็ดดิบๆ จะมีพิษ ต้องนำไปทำให้สุกก่อน อาจจะนำไปคั่วก็ได้ กินแล้วช่วยบำรุงปอด แก้ฝีในปอด แก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้ท่อน้ำดีอุดตัน
       
       การศึกษาวิจัยในปัจจุบัน ก็พบสารไลโคปีนในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว ที่มีมากกว่าในมะเขือเทศ เป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ด้านอนุมูนอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้วิจัยพบโปรตีนในเมล็ดฟักข้าวที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวี และยับยั้งเซลล์มะเร็ง
       
       และสำหรับคนที่รักสุขภาพ ปัจจุบันก็มีการนำฟักข้าวมาทำเป็น “น้ำฟักข้าว” ซึ่งวิธีการทำก็ไม่ยากนัก เริ่มจากการเลือกใช้ผลฟักข้าวที่สุกแล้ว นำมาปอกเอาเปลือกออก แยกเนื้อฟักข้าวไว้ก่อน ส่วนเมล็ดนั้นจะมีเยื่อหุ้มสีแดงหุ้มอยู่ ให้นำไปขยำกับน้ำเพื่อแยกเอาแต่เยื่อหุ้มเมล็ดมาใช้ จากนั้นนำเยื่อหุ้มเมล็ดที่ได้กับเนื้อฟักข้าวมาปั่นรวมกันให้ละเอียด
       
       จากนั้นนำเนื้อและเยื่อหุ้มเมล็ดที่ปั่นแล้วมาผสมกับน้ำแล้วนำไปตั้งไฟ เคี่ยวด้วยไฟปานกลาง ประมาณ 15-20 นาที ระหว่างนั้นก็ลองชิมแล้วปรุงรสเพิ่มเติมตามชอบด้วยเกลือ น้ำตาล หรืออาจะใส่น้ำมะขามหรือน้ำเสาวรสเพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อเสร็จแล้วสามารถดื่มน้ำฟักข้าวได้ทั้งตอนที่ยังอุ่นอยู่ หรือจะแช่ให้เย็นแล้วค่อยดื่มเพิ่มความสดชื่นก็ได้


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088241

.

sithiphong:
ปลาดอรี่ ที่โด่งดังไปทั่วโลกที่จริงคือ ปลาสวายเวียดนาม
-http://world.kapook.com/pin/51e8be6738217a5348000000-


GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius

GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius

GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius

-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=bXGAgYw4JZk-

คลิปนี้เป็นความจริงชวนอึ้ง ของ "ปลาดอรี่" ปลาเนื้อนุ่ม ที่ใครหลายๆ คนยกให้เป็นอาหารจานโปรด ในเมนูปลา ด้วยมันถูกเรียกว่า ปลาดอลี่ ชื่อก็ออกจะฝรั่งจ๋าขนาดนี้ ทำให้คนต่างเข้าใจผิดกันไปว่า มันเป็นปลาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งจริงๆ แล้วนั้น ปลาดอรี่ ที่เรากินกันอยู่ตามร้านอาหารนั้น เป็น ปลาสวายเวียดนาม หรือ ปลา Cream Dory เอง ไม่ใช่ว่า ปลาดอรี่ ต้นตำรับของจริงที่ชื่อ จอห์น ดอลี่ (John Dory) แต่อย่างใด ส่วนทำไมคนถึงเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่ขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า ชื่อปลาภาษาอังกฤษ มันมีคำว่า ดอรี่ เหมือนกัน ซ้ำร้ายพอนำเข้ามาจากเวียดนาม ไม่มีการระบุในฉลากสินค้าว่า เป็นปลาสวายด้วย ซึ่งผิดกับต่างประเทศ ที่มีการระบุชัดเจนว่ามันคือ ปลาสวาย นั่นเอง


sithiphong:
ปลาดอลลี่....พี่ไทยโดนต้มจนสุก
-http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083-

 ปลาดอลลี่.......พี่ไทยโดนต้มจนสุก ขึ้นโต๊ะจีนราคาแพงๆที่แท้ "ปลาสวายธรรมดา" จากเวียดนาม....อย่างไรก็ตามจะไปโทษเอกชนผู้ขายก็ไม่ได้เพราะเขาเขียนชื่อการค้าเป็นภาษาอังกฤษ Pangasius Fillet แถมมีชื่อวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าเป็นปลา Pangasius Hypophthalmus



ผู้ขายระบุชื่อว่าเป็น "ปลาดอร์ลี่แล่" กำกับภาษาอังกฤษว่า Pangasius Fillet (Pangasius Hypophthalmus) เป็นการให้ข้อมูล "ถูกต้องแต่ไม่ครบถ้วน" อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นปลาทะเล หรือปลาชนิดใหม่ เพราะผู้บริโภคทั่วๆไปไม่ได้จบการศึกษาวิชา Fisheries หรือ Zoology แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นค้าชนิดเดียวกันที่อเมริกา (ภาพข้างล่าง) เขาระบุรายละเอียดชัดเจนว่าเป็นปลาเลี้ยงจากฟาร์มในประเทศเวียดนาม ใช้ชื่อการค้าว่า Swai เพื่อให้ผู้บริโภคชาวมะกันทั่วๆไปได้ทราบ

จริงๆแล้วคนขายเขาก็ไม่ได้หลอกเพราะเขียนภาษาอังกฤษ พร้อมกำกับด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์ไว้เห็นชัดๆว่า Pangasius hypophthalmus แต่ผู้บริโภคทั่วไปไม่ทราบว่านี่คือ "ปลาสวายธรรมดา" ในฐานะที่ผมเรียนจบปริญญาวิทยาศาสตร์สาขาเกษตร และทำงานด้านนี้มา 35 ปี จนเกษียณอายุราชการในตำแหน่งเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสกลนคร และเมื่อครั้งที่เป็นเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนม ระหว่างปี 2545 - 2550 ก็คุ้นเคยกับโครงการส่งเสริมเลี้ยงปลาชนิดเดียวกันนี้ที่แม่น้ำโขง โดยใช้งบประมาณยุทธศาสตร์จังหวัด หรือเรียกเล่นๆในสมัยนั้นว่างบผู้ว่าราชการจังหวัด ซีอีโอ

         ด้วยความที่ผมถูกสอนมาตลอดอายุราชการให้ทำหน้าที่รับใช้พี่น้องประชาชน จึงจำเป็นต้องเอาข้อมูลที่เป็นจริงมาเผยแพร่ให้เราๆท่านๆได้รับทราบ ถือว่าเป็นการตอบแทนและขอบคุณสังคมไทยที่ผมเคยได้รับทุนรัฐบาลที่มาจากภาษีของพี่น้องร่วมชาติ ไปฝึกอบรมและดูงานในต่างประเทศหลายครั้ง อีกทั้งบำนาญที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากภาษีของท่านทั้งหลาย



ผมซื้อปลาที่ว่านี้ในห้าง WalMart ที่อเมริกา เขาใช้ชื่อการค้าตรงไปตรงมาว่า Swai มีชื่อวิทยาศาสตร์กำกับว่า Pangasius Hypopthalmus และระบุชัดเจนว่าเป็น "ปลาเลี้ยงจากฟาร์ม" (Farm Raised) และส่งมาจากเวียดนาม (Product of Vietnam) เพื่อให้ผู้บริโภครู้ข้อมูลที่แท้จริง



ปลานิลแล่เนื้อขายในห้าง WalMart ที่อเมริกา ต้องระบุว่า "เป็นปลาที่เลี้ยงจากฟาร์ม"



ขณะเดียวกันปลานิลตัวนี้ก็ต้องระบุว่าเป็นผลผลิตจากการเลี้ยงในฟาร์ม (Farm Raised) ประเทศชิลี



ถ้าเป็นปลาแซลม่อนที่จับมาจากทะเลก็ต้องระบุว่า "จับจากธรรมชาติ" (Wild Caught)



เปรียบเทียบระหว่างปลาดอร์ลี่ ฟีเลย์ (John Dory Fillets) ของฝรั่ง กับปลาดอร์ลี่แบบไทยๆ 

คนไทยโดยทั่วไปรังเกียจปลาสวายเพราะเนื้อเหลืองไม่น่ากิน แต่พอไปเห็นปลาที่ใช้ชื่อว่า "ดอลลี่" เนื้อออกสีขาวอมชมพู ดูสวยงามน่ากิน ก็ยอมจ่ายเงินราคาแพงๆเพราะคิดว่านี่แหละของดี

ผมเคยไปดูงานที่เมือง Can Tho ประเทศเวียดนาม ในคราวประชุม 17th Annual Meeting of MRC Fisheries Program 25-26 November 2010 มีผู้เชี่ยวชาญด้าประมงจากหลายประเทศไปประชุมกัน ฝ่ายไทยก็มีผู้เชี่ยวชาญจากกรมประมง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทุกคนยืนยันนั่งยันว่าที่เขาเลี้ยงในบ่อดินริมแม่น้ำ และเข้าโรงงานแร่เป็นชิ้นเนื้อสีขาวอมชมพู คือ "ปลาสวายธรรมดา" ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasius Hypophthalmus แต่พี่น้องชาวเวียดนามมีวิธีทำให้ปลาสวายมีเนื้อสีขาวด้วยเทคนิค 2 ข้อ คือ

1.เลือกอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดสีเหลืองเข้าไปแทรกในใขมัน เช่น อย่าให้มีอาหารที่เป็นข้าวโพด และเนื่องจากเมืองนี้อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ (ใกล้ทะเล) จึงมีสามารถหาซื้ออาหารโปรตีนจำพวกปลาป่นราคาถูกๆ 

2.มีการถ่ายเทน้ำให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา พวกเขาโชคดีที่เมืองนี้อยู่ใกล้ทะเลทำให้มีน้ำขึ้นและน้ำลง จึงสามารถถ่ายน้ำเข้าและออกจากบ่อดินได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำให้สิ้นเปลืองพลังงาน



ด้วยเหตุผลที่ว่าทำให้ปลาสวายธรรมดามีเนื้อสีขาวอมชมพู ในต้นทุนที่ต่ำ สามารถส่งออกตีตลาดได้ทั่วโลก เฉพาะตลาดอเมริกาแห่งเดียวพี่แกก็รับทรัพย์ไปแบบเต็มๆ 



อาหารที่ใช้เป็นวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นราคาถูกๆ แรงงานก็ราคาถูก ไม่ใช่ 300 บาทเหมือนบ้านเรา



บ่อดินที่ใช้เลี้ยงปลาสวายก็ติดกับแม่น้ำโขง ทำให้สามารถถ่ายน้ำเข้าออกได้ตลอดเวลา เพราะมีน้ำขึ้นน้ำลงทุกวัน



ภาพนี้ผมถ่ายด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าบ่อเลี้ยงปลาสวายอยู่ติดแม่น้ำโขง สามารถระบายน้ำเข้าออกได้ตลอดเวลาโดยอาศัยน้ำขึ้นน้ำลง (ไม่ต้องใช้พลังงานเครื่องสูบน้ำ) ทำให้บ่อสะอาด



ผมถ่ายภาพขณะนั่งรถยนต์มองเห็นชัดเจนว่าบ่อเลี้ยงปลาที่ "เมืองเกิ่นเถอ" ประเทศเวียดนามอยู่ติดแม่น้ำโขง

 


เมือง Can Tho (เกิ่น เถอ) อยู่ใกล้ทะเลจึงหาอาหารปลาได้ในราคาถูก แถมยังมีน้ำขึ้นน้ำลงช่วยให้ถ่ายน้ำเข้าออกจากบ่อเลี้ยงปลาได้อย่างสบายๆ





อุตสาหกรรมของเขาครบวงจรตั้งแต่เพาะลูกปลา เลี้ยงให้โต และแปรรูปเป็นเนื้อชิ้นที่สวยงาม และส่งออก



ผมไปร่วมประชุม MRC Fisheries Programme ที่เมือง Can Tho Vietnam ได้สัมผัสกับวิธีการเลี้ยงปลาสวายให้มีเนื้อสีขาวอมชมพู เกษตรกรที่นั่นขายปลาสวายที่ปากบ่อได้ราคากิโลกรัมละ 1 USD ก็ดีใจแล้ว เพราะต้นทุนเขาต่ำเมื่อเทียบกับประเทศไทยทั้งค่าอาหาร และค่าแรงงาน



บรรยากาศในห้องประชุม



ดูกันชัดๆว่านี่คือ "ปลาสวายธรรมดา" แต่เวียดนามเขาสามารถเลี้ยงให้มีเนื้อสีขาวอมชมพู ผมถ่ายภาพนี้กับมือตัวเองที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขงที่เมือง Can Tho ประเทศเวียดนาม



ทำอาหารต้มยำอร่อยมาก ภาษาเวียดนามพูดว่า "อันก้า งอนหลำ"

จากปลาสวายธรรมดากลายเป็นอาหารชั้นดี ดูไฮโซ ขึ้นเหลา ขึ้นโต๊ะอาหารฝรั่ง

พ่อค้าไทยบางกลุ่มหัวใสครับ สั่งปลาสวายเวียดนามเข้ามาตั้งชื่อใหม่ซะสวยหรูว่า "ดอร์ลี่" คนไทยอย่างเราๆท่านๆเห็นอาหารแบบนี้แล้วน้ำลายไหล ดูน่ากิน แพงเท่าไหร่ก็สู้เพราะเชื่อว่าเป็นปลาชั้นเลิศ













ผมอยู่บ้านในเมืองทัลซ่า รัฐโอคลาโฮม่า สหรัฐอเมริกาไปซื้อปลาสวายที่ห้าง WalMart ราคาไม่แพงเหมือนปลาดอร์ลี่บ้านเรามาทอดให้หลานกิน ที่อเมริกาปลาสวายคือสวาย ไม่มีการแหกตาตั้งชื่อใหม่ๆให้สับสน แถมยังระบุด้วยว่าเจ้านี่คือปลาเลี้ยงในฟาร์มนำเข้่าจากประเทศเวียดนาม







ท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ปิ้งไอเดียการเลี้ยงปลาสวายเนื้อขาว (โดยคิดว่านั่นคือปลาเผาะ) เลยเอามาส่งเสริมที่จังหวัดนครพนมภายใต้แผนยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดผู้ว่าซีอีโอ เมื่อปี 2547 - 49 เพื่อการส่งออกไปประเทศสเปนส์

      ยอมรับว่าตอนนั้นพวกเราเข้าใจผิดว่าปลาสวายเนื้อขาวที่พี่น้องชาวเวียดนามเลี้ยงคือ "ปลาเผาะ" (Pangasius bocourti) ซึ่งเป็นปลาธรรมชาติอยู่ในแม่น้ำโขง ปลาชนิดนี้ชาวนครพนมรู้จักดีมีเนื้อสีขาวอมชมพู เพราะจับมากินเป็นอาหารชั้นเลิศ เช่นผัดฉ่า ต้มยำ ขายราคาแพงๆในร้านอาหารดังๆ


      ผมเป็นเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สนับสนุนในนามของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีสถานีประมงน้ำจืดนครพนมเป็นตัวจักรในการผลิตลูกปลาเผาะที่ว่า และสถาบันอาหารของกระทรวงอุตสาหกรรมรับผิดชอบในส่วนการจัดหาอาหารปลาและการตลาด องค์การบริหารส่วนจังหวัดรับผิดชอบส่งเสริมการเลี้ยงในกระชังตามริมแม่น้ำโขง โครงการนี้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่โดย ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีเป็นโต้โผ มีการติดต่อกับฑูตประเทศสเปนส์ให้นำบริษัทเอกชนมาลงนามรับซื้อปลาเผาะอย่างเป็นทางการ มีการนำเอกอัคราชฑูตหลายประเทศมาดูงานที่นครพนม








บรรดาท่านฑูตร่วมกันช้อนปลาเผาะที่เลี้ยงในกระชังอย่างสนุกสนาน 


      แต่พอดำเนินโครงการเข้าจริงๆมารู้ตอนหลังว่า "ขาดทุน" เพราะเหตุผลปลาเผาะโตช้ามากกินอาหารหมดตามโควต้าแล้วก็ยังไม่ได้ขนาด ทำให้เกษตรกรต้องเลิกเลี้ยงไปในที่สุด เพราะราคาของการขายส่งออกต่างประเทศเป็นราคาเชิงอุตสาหกรรมกิโลกรัมละ 50 บาท อีกทั้งการเพาะเลี้ยงให้ออกลูกก็ยากทำให้ได้ลูกปลาน้อยเกินไปที่จะเป็นเชิงอุตสาหกรรม และยิ่งมารู้ตอนหลังว่าที่เวียดนามเขาเลี้ยงกันคือปลาสวายธรรมดา "ไม่ใช่ปลาเผาะอย่างที่เราเข้าใจ" แต่ใช้วิธีบริหารจัดการอาหารและวิธีการถ่ายน้ำในบ่อทำให้มีเนื้อเป็นสีขาวอมชมพู ก็ยิ่งเสียความรู้สึกไปเยอะ


 

ภาพปลาเผาะที่เกษตรกรเลี้ยงในกระชังริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม


ทำความรู้จัก "ปลาดอร์ลี่" ตัวจริง กับ ย้อมแมว



ปลาดอร์ลี่ตัวจริงอยู่ในทะเลลึกที่มหาสมุทแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื้อแน่น น่ากิน มีชื่อเล่นว่า "จอห์น ดอร์ลี่" (John Dory) ชื่อวิทยาศาสตร์ Zenopsis conchifera



ภาพเปรียบเทียบระหว่างปลาดอร์ลี่ ตัวจริงกับ ปลาดอร์ลี่ย้อมแมว



ภาพปลาดอร์ลี่ กับปลาทะเลที่มีชื่อเสียงชนิดต่างๆ









เปรียบเทียบสเต็กปลาดอร์ลี่ตัวจริง รูปร่างกลมๆป้อมๆ กับสเต็กปลาดอร์ลีย้อมแมว รูปร่างยาวๆ (ก็ปลาสวายนี่หว่า) ผู้บริโภคสเต็กถูกแหกตามาตลอดครับพ้ม






 

ปลาดอร์ลี่ตัวจริงเสียงจริงเป็นปลาทะเล ส่วนปลาดอร์ลี่แบบไทยๆคือปลาสวายอยู่ในน้ำจืดเลี้ยงในบ่อตามริมแม่น้ำโขงที่ประเทศเวียดนาม

เป็นยังไงครับเมื่อทราบข้อมูลที่แท้จริงเช่นนี้แล้ว ก็ต้องเริ่มคิดใหม่แล้วครับอย่าให้ถูกต้มถูกหลอกอีกต่อไป.........ความจริงกรมประมงก็ออกข่าวนี้อย่างเป็นทางการแต่สื่อมวลชนยังไม่ค่อยตีข่าวมากนัก

http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083

.

sithiphong:
"ตักบาตร" คิดถึงพระ(บ้าง) ลดหวาน มัน เค็ม!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2556 14:33 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087077-


ร่วมทำบุญตักบาตรในวันเข้าพรรษา


       "วันอาสาฬหบูชา"และ "วันเข้าพรรษา" เป็น 2 วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่พุทธศาสนิกชนต่างให้ความสำคัญกันเป็นจำนวนมาก
       
       และในช่วงวัน 2 วันพระใหญ่นี้ ก็จะมีการทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งตามความเชื่อของชาวพุทธมักจะทำบุญตักบาตรด้วยสิ่งของหรืออาหารที่ดีที่สุด เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว



“ข้าวกล้อง” อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร


       แต่ในทางกลับกันการทำบุญหรือการถวายอาหาร ที่มีแต่ความน่ากิน และความอร่อย โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ หรือโทษของอาหารที่นำมาถวายนั้น อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์ได้
       
       จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ที่สำรวจด้านการเจ็บป่วยของพระสงฆ์ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ พบว่า มีพระภิกษุสงฆ์อาพาธด้วยโรคเบาหวาน ร้อยละ 7.17 โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 7.70 ภาวะไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 10.30 และนอกจากนี้แล้วยังพบว่าพระภิกษุสงฆ์ มีภาวะเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งภาวะอ้วนและอ้วนลงพุง ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดได้



ถวายผัก-ผลไม้ ช่วยเพิ่มสารอาหารให้ร่างกาย


       ในช่วงเข้าพรรษานี้จึงมีข้อแนะนำดีๆ สำหรับผู้ที่ต้องการทำบุญด้วยการใส่บาตรพระ โดยการหันมาทำบุญตักบาตรด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ลด หวาน มัน เค็ม งดอาหารหมักดอง เปลี่ยนเป็นถวายอาหารที่มีกากใยสูง และไขมันต่ำ เช่น ข้าวกล้อง เพราะในข้าวกล้องอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร รวมถึงเกลือแร่ต่างๆ ประกอบไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง เป็นต้น และถ้าหากกินข้าวกล้องเป็นประจำ ก็จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา หรือโรคปากนกกระจอกได้
       
       นอกจากนี้แล้วยังมีอาหารประเภทอื่นที่ควรถวายอีกมากมาย อาทิ ผักและผลไม้สดที่มีรสไม่หวาน หรือปลา เพราะในเนื้อปลาจะมีโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต และไขมันต่ำกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ หรือถ้าถวายเนื้อสัตว์ก็ไม่ควรให้ติดส่วนมันหรือหนัง และควรมีผัก-ผลไม้สด ในการใส่บาตรด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มประโยชน์แก่ร่างกาย และเพิ่มกากใยอาหารอีกด้วย
       
       สำหรับในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ หรือวันพระอื่นๆ หรือการตักบาตรตามปกติทั่วไป รวมไปถึงการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแนะนำให้เลือกอาหารที่มีประโยชน์ และลดไขมันไปถวายพระ(บ้าง) เพราะนอกจากจะได้ทำบุญแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ให้กับพระภิษุสงฆ์อีกทางหนึ่งด้วย


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087077

.

sithiphong:
ดอกรัก - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/220116-







รักเป็นไม้ดอกต้นสูง 1.5–3 เมตร ทุกส่วนมียางขาวเหมือนน้ำนม ตามกิ่งมีขน ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน ปลายแหลมโคนเว้า กว้าง 6–8 เซนติเมตร ยาว 10–14 เซนติเมตร เนื้อใบหนา ใต้ใบมีขนนุ่ม ก้านสั้น ดอกสีขาวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2–3 เซนติเมตร มีรยางค์เป็นคล้ายมงกุฎ 5 สัน มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนนี้เองที่นำมาใช้ร้อยมาลัย ผลเป็นฝักคู่ รูปรีปลายแหลมกว้าง 3–4 เซนติเมตร ยาว 6–8 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกและปล่อยเมล็ดแบนสีน้ำตาลจำนวนมาก ที่มีขนสีขาวเป็นพู่กระจุกอยู่ที่ตรงกลางปลายด้านหนึ่ง ให้ปลิวไปตามลม

ในตำราแพทย์แผนไทยมีการใช้ดอกรัก รักษาอาการไอ หอบหืด และหวัด ช่วยให้เจริญอาหาร เปลือกและราก ใช้รักษาโรคบิด ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับน้ำเหลืองเสีย และทำให้อาเจียน ยางถ้าถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง แต่ก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย สามารถบรรเทาอาการปวดฟัน ปวดหู ขับพยาธิ รักษากลากเกลื้อน และใช้เป็นยาขับเลือด.



----------------------------------------------------




หอยขม - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/219932-



หอยขมเป็นหอยน้ำจืดขนาดเล็ก มีเปลือกเป็นเกลียวกลมยอดแหลม เปลือกหนาและแข็ง ผิวชั้นนอกเป็นสีเขียวแก่ ฝาปิดเปลือกเป็นแผ่นกลม ตีนใหญ่ จะงอยปากสั้นทู่ ตามีสีดำอยู่ตรงกลางระหว่างโคนหนวด ตัวผู้มีหนวดข้างขวาพองโตกว่าเส้นข้างซ้าย ลักษณะพิเศษของหอยชนิดนี้จะมีอวัยวะเพศทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในตัวเดียวกัน ออกลูกเป็นตัว และผสมพันธุ์ได้ด้วยตัวเอง

ในตำราแพทย์แผนไทยใช้เข้าตำราทั้งเนื้อ เปลือก และใช้ทั้งตัว สรรพคุณแก้กระษัยปวดเมื่อยตามร่างกาย กระษัยท้องมาน กระษัยลิ้นกระบือ อัมพาต แก้ธาตุดินพิการ บำรุงกระดูก รักษาอาการปวดกระดูก ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงถุงน้ำดี บำรุงลำไส้ แก้ต้อต่าง ๆ แก้ริดสีดวงทวาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับนิ่ว ขับนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาลาย ชาตามมือตามเท้า รักษาอาการอยู่ไฟไม่ได้ เล็บขบ บำรุงกำลัง แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้กามโรค แก้บิด แก้ปวดมวนท้องหรือถ่ายเป็นมูกเลือด ไฟลามทุ่ง เริม งูสวัด แก้ขี้ทูดกุดถัง กลากเกลื้อน แก้ตานซาง แก้พยาธิอกหัก หายใจหอบหืด หายใจเร็ว เจ็บหน้าอก แก้ตาแดง ตาต้อ ใช้เป็นยาถ่ายของไก่ แก้ช้ำใน เป็นต้น.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version