อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
"มหิดล"วิจัยพบ"น้ำพริกตาแดง" มีสารต้าน"มะเร็ง-เบาหวาน-ความดัน-หัวใจ"
-http://campus.sanook.com/1369210/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88/-
นักโภชนาการมหิดลเผยวิจัยพบสารต้านอนุมูลอิสระใน "น้ำพริกตาแดง" ชี้กินเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็น "มะเร็ง-เบาหวาน-หัวใจ-ความดันโลหิต"ได้
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายเอกราช เกตวัลห์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า อาหารไทยถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะน้ำพริกประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารติดบ้านเรือนของคนไทย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ได้มีการวิจัยคุณค่าทางอาหารในน้ำพริกตาแดง พบว่าเป็นน้ำพริกที่มีส่วนประกอบจากเครื่องเทศและสมุนไพรสดหลายชนิด ซึ่งล้วนมีสารสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ
"จากการวิจัยได้ใช้น้ำพริกตาแดงที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ศึกษาปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง โดยใช้ 3 วิธีทดสอบทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่มีหลักการแตกต่างกัน พบว่าน้ำพริกตาแดงตำรับสุขภาพมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และลูทีน (Lutein) อยู่ในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้สามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้นำไปทดสอบฤทธิ์ต้านออกซิเดทีพ สเตรส (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้ และฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกายของหนูทดลองที่ได้รับการเหนี่ยวนำด้วยควันบุหรี่ เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่และได้รับอาหารผสมน้ำพริกตาแดง 1 หน่วย และ 2 หน่วย เทียบกับหน่วยบริโภคของคนน้ำหนัก 50 กิโลกรัม และน้ำหนักหนู สามารถต้านสารอนุมูลอิสระ และการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายมีค่าเพิ่มขึ้น เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างเดียว และกลุ่มควบคุม" นายเอกราชกล่าว
จากผลการวิจัยดังกล่าว นายเอกราชกล่าวว่า สรุปได้ว่าน้ำพริกตาแดงประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถต้านอนุมูลอิสระทั้งในหลอดทดลอง และในร่างกายของหนู นอกจากนี้ ยังสามารถลดการอักเสบจากการได้รับควันบุหรี่อีกด้วย ดังนั้น หากมีการบริโภคน้ำพริกตาแดงเป็นประจำ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระได้ อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ ด้าน รศ.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหิดล กล่าวว่า อาหารไทยมักมีส่วนประกอบพวกเครื่องแกง พริกต่างๆ ซึ่งล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น พริก มีคุณสมบัติช่วยระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้า ป้องกันการเกิดมะเร็ง กระเทียม มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ตะไคร้ มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด หอมแดง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ข่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย และยีสต์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกมะเร็ง ผิวมะกรูด ลดความดันโลหิต เป็นต้น จึงแนะนำให้ทุกบ้านบริโภคน้ำพริกเป็นอาหารหลัก
(ที่มา:มติชนรายวัน 5 มิ.ย.2556)
sithiphong:
สาวๆควรรู้ ผิวสวยเด้ง ด้วย “คอลลาเจน” ในอาหาร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2556 17:10 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000090304-
สาวๆ (และหนุ่มๆ บางคน) สมัยนี้ หันมาสนใจเรื่องของสุขภาพและการกินอาหารกันมากขึ้น เพราะเมื่อมีสุขภาพดี มีการกินอาหารที่เหมาะสมแล้ว เชื่อกันว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสดั่งวัยแรกรุ่น
แต่พออายุเริ่มมากขึ้น ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงอาจจะเริ่มมีริ้วรอยเข้ามาทดแทน ฉะนั้นก็เลยต้องสรรหาอาหารที่จะมาช่วยเสริมความงามของผิวพรรณ โดยเฉพาะ “คอลลาเจน” ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง พอเรามีอายุมากขึ้น เจ้าคอลลาเจนเหล้านี้ก็เริ่มเสื่อมสลายลงไปเรื่อยๆ ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอย และเหี่ยวย่น นี่จึงเป็นที่มาของการสรรหาคอลลาเจนมาเสริมให้กับผิวหนังของเรา
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคอลลาเจนที่สกัดออกมาเป็นเม็ดแคปซูลที่วางขายตามท้องตลาด แต่ “108 เคล็ดกิน” อยากจะบอกว่า อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นยอดของเราเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะให้คอลลาเจนแล้ว ก็ยังมีอีลาสตินผสมอยู่ด้วย โดยอีลาสตินนั้นก็จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นนั่นเอง
สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจนอยู่เยอะและหากินได้ง่ายก็คือ เนื้อสัตว์สีขาวทั้งหลาย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา โดยคอลลาเจนจะซ่อนตัวอยู่ในโปรตีนในเนื้อสัตว์เหล่านี้ และยังมีในพวกกระดูกอ่อนหมู กระดูกอ่อนไก่ ซึ่งอาหารที่สังเกตได้ง่ายๆ ว่ามีคอลลาเจนอยู่ อย่างเช่น ต้มยำไก่ น้ำซุปกระดูกหมู เมื่อต้มจนสุกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำซุปก็จะมีลักษณะคล้ายกับวุ้น นี่แหละคือคอลลาเจนที่เราจะได้กินเข้าไป แต่หากว่าใครกลัวอ้วนจากไขมันที่ได้ผสมมา เวลาที่ต้มก็สามารถช้อนฟองไขมันที่อยู่ด้านบนออกทิ้งไป ก็จะช่วยลดไขมันลงไปได้
นอกจากจะพบคอลลาเจนในเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้ว ก็ยังสามารถพบได้อีกในอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก, ปลาทู, ปลากระเบน, กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือพบบริเวณตาปลาที่มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้นใส และยังพบในผักผลไม้ต่างๆ อาทิ สาหร่ายทะเล, เห็ดทุกชนิด, หัวบุก, ถั่วเหลือง, แตงกวา, ขึ้นฉ่าย, มะกอก, ส้มโอ, แก้วมังกร, แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะมีปริมาณน้อยกว่าที่พบในเนื้อสัตว์
ที่สำคัญ การจะกินคอลลาเจนพวกนี้ให้ได้ผลดี จะต้องกินควบคู่ไปกับวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าไปในร่างกาย ให้ร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีคอลลาเจน และมีวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น ต้มยำขาไก่ หรือ ต้มซุปเปอร์ขาไก่ ที่จะได้คอลลาเจนจากน้ำซุปไก่และกระดูกอ่อนของไก่ ผสมกับวิตามินซีจากมะนาวที่บีบลงไปเพิ่มรสชาติเปรี้ยว แถมยังได้คุณประโยชน์เพิ่มเติมจากสมุนไพรและผักอื่นๆ ที่ใส่ลงไปด้วย
sithiphong:
ผักกระเฉด - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221749-
ผักกระเฉดถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดิน เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เป็นพืชพื้นเมืองของไทยและพบได้ที่ประเทศมาเลเซีย สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในน้ำ และบนบก แต่ถ้าเจริญเติบโตในน้ำจะมีส่วนทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้ลอยน้ำได้เป็นเหมือนทุ่นลอยน้ำ มีวิตามินซีสูง มีวิตามินเอ ผักกระเฉดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยในระบบสืบพันธุ์ มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ ในตำราสมุนไพรไทย ผักกระเฉดเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ ในสูตรยาโบราณจะนำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฟันที่ปวด เชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้.
หมากแดง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221508-
หมากแดงเป็นปาล์มตระกูลเดียวที่มีสีแดงสด มีกอสูงถึงประมาณ 15 ฟุต ลำต้นตั้งตรงมีข้อปล้องเห็นได้ชัด กาบใบมีสีแดงทางใบก็มีสีแดงสด และโค้งงอลงด้านล่าง ใบรูปขนนก มีใบย่อย 25 คู่ ใบย่อยยาวประมาณ 18 นิ้ว ด้านบนสีเขียวแก่ ด้านล่างสีเขียวอ่อน มีสีเหลือบเงินเล็กน้อย ก้านใบจะสั้นยาวประมาณ 6 นิ้ว หมากแดงที่ปลูกกันอยู่ทั่วไป 2 ชนิด คือชนิดสีส้มและชนิดสีแดง หมากแดงนี้ทางภาคใต้เรียกว่า หมากก้นแดงหรือกาบแดง
ดอก สีเขียวอ่อน ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ช่อดอกยาว ประมาณ 50 เซนติเมตร ผล มีเนื้อเมล็ดเดียว ติดผลจำนวนมาก ทรงกลมรี ขนาด 0.8 เซนติเมตร ผลแก่สีดำ เมล็ดกลมรี คนภาคใต้สมัยก่อนนิยมนำใบหมากแดงมาใช้ประโยชน์ในทางสมุนไพรรักษาอาการ ร้อนใน.
พลา - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221239-
พลา เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงถึง 15 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กลับ กว้าง 4-8 ซม. ยาว 8-17 ซม. ใบเรียบ ปลายใบแหลมหยักคอดเป็นติ่งสั้นหรือเว้าแหว่งเป็นริ้ว ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบมี 3 เส้น จากฐานเดิม มีขนสากทั่วไป ช่อดอกออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ เกสรเพศผู้มีจำนวนมากและล้อมรอบรังไข่ ผล รูปไข่ กลับ มีก้านยาวโค้ง ผิวของผลมีขนทั่วไป เมื่อแก่สีเหลือง สุกสีเขียวคล้ำถึงดำ พลาออกดอก ตั้งแต่เดือนเมษายน พฤษภาคม ในภาคกลางเรียกว่าพลับพลา ขี้เถ้า ภาคเหนือเรียกว่า กะปกกะปู สากกะเบือ พลา คอม กอม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า คอมส้ม ก้อมส้ม ภาคตะวันออกเฉียงใต้เรียกว่า พลองส้ม คอมเกลี้ยง มลาย ภาคใต้เรียก พลา ผลพลา สุกกินได้ ในตำราแพทย์แผนไทยใช้ เนื้อไม้ แก่น ต้มน้ำดื่ม แก้หืด.
ยอดมะม่วงหิมพานต์ - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/220771-
มะม่วงหิมพานต์ตระกูลเดียวกับมะม่วง เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 6-12 เมตร เนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน มียางสีเหลืองและเหนียวใสเปลือกต้นสีน้ำตาลใบเป็นใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม หนา ออกใบแบบสลับใบรูปร่างรูปไข่กลับ ปลายใบมนป้านและฐานใบแหลม ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีกลิ่นอ่อน ๆ เมื่อดอกบานจะกลายเป็นสีชมพู ส่วนของฐานรองดอกจะเจริญค่อย ๆ กลายเป็นผลโดยจะขยายใหญ่พองโตคล้ายกับผลชมพู่
ยอดอ่อนใบอ่อนใช้รับประทาน ชาวใต้รับประทานยอดอ่อนและใบอ่อนสดเป็นผักร่วมกับน้ำพริก แกงเผ็ดขนมจีนน้ำยาเช่นเดียวกับชาวอิสานที่นำยอดอ่อนและใบอ่อนสดรับประทานกับลาบก้อยป่นปลาและน้ำพริก ในตำราแพทย์แผนไทย ใบ มีสรรพคุณเป็นยาสมานลำไส้บรรเทาอาการท้องร่วง ใบแก่ใช้บดใส่แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก และใบสดนำมาเผาไฟ สูดดมควันเพื่อรักษาอาการ ไอ เจ็บคอ.
sithiphong:
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อ่อน - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222472-
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มีแร่ธาตุและวิตามินหลายอย่าง เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินอี ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีเส้นใยช่วยการทำงานของลำไส้ คนไทยในอดีตนิยมนำใบมาบดละเอียดใช้พอกแผลไฟไหม้ ยอดอ่อน กินแก้ท้องร่วง ยาง นำไปทำน้ำหมึก น้ำมันขัดเงา ลำต้น ใช้ทำหีบใส่ของ ลังไม้ ดุมล้อเกวียน รากที่อยู่ใต้ดินนำมาเป็นยาสมานแผล น้ำมันในเมล็ด รักษากลาก เกลื้อน และโรคผิวหนังอื่น ๆ ส่วนลูกอ่อนจะใช้รับประทานกับน้ำพริกกะปิ หรือใช้เป็นผักเครื่องเคียงในการรับประทานกับขนมจีน น้ำมันที่สกัดจากเปลือกเมล็ด มีสรรพคุณใช้เป็นพิษต้านเชื้อจุลินทรีย์โดยเฉพาะเชื้อหนองชนิด บางรายงานระบุว่า น้ำมันที่สกัดได้จากเปลือกเมล็ด เคยใช้รักษาโรคเรื้อน เกลื้อนและหูดได้ ขณะเดียวกันก็มีโทษ คือน้ำมันที่สกัดจากเปลือกเมล็ดหากสูดดมอาจจะเกิดการระคายเคือง และมีพิษรุนแรงต่อระบบหายใจ.
ข้าวโอ๊ต - เรื่องน่ารู้
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:03 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222246-
ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูงแต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่าง ๆ ได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้รู้สึกอิ่มนาน ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจ องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก (code:33012 คัดลอกข้อมูลมาจาก www.n3k.in.th/).
ผักกระเฉด - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221749-
ผักกระเฉดถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดิน เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เป็นพืชพื้นเมืองของไทยและพบได้ที่ประเทศมาเลเซีย สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในน้ำ และบนบก แต่ถ้าเจริญเติบโตในน้ำจะมีส่วนทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้ลอยน้ำได้เป็นเหมือนทุ่นลอยน้ำ มีวิตามินซีสูง มีวิตามินเอ ผักกระเฉดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยในระบบสืบพันธุ์ มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ ในตำราสมุนไพรไทย ผักกระเฉดเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ ในสูตรยาโบราณจะนำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฟันที่ปวด เชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้.
sithiphong:
มะเกลือ - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223399-
มะเกลือเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ลำต้นเปลา โคนต้นมักเป็นพูพอน ผิวเปลือกเป็นรอยแตกสะเก็ดเล็กๆ สีดำ เปลือกในสีเหลือง กระพี้สีขาว กิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นประปราย ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็กรูปไข่หรือรีเรียงตัวแบบสลับ ปลายใบสอบเข้าหากัน โคนใบกลม หรือมน ผิวใบเกลี้ยง ใบที่ยังอ่อนจะมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกแยกเพศต่างต้น ดอกตัวผู้มีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน หนึ่งช่อมี 3 ดอก ดอกตัวเมียเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะดอกเหมือนกัน คือ กลีบรอง ตรงกลางดอกมีเกสร ผล กลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีดำ ผลแก่จัดจะแห้ง มีกลีบเลี้ยงติดบนผล 4 กลีบ ผลแก่ราวเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เมล็ด แบน สีเหลือง 4-5 เมล็ด ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ในทางสมุนไพรไทยจะนำรากและ ผลสด โตเต็มที่และสีเขียวจัด ฝนกับน้ำซาวข้าว รับประทานแก้อาเจียน แก้ลม ผลมะเกลือสดที่เขียวจัด จะใช้ในการถ่ายพยาธิ กำจัดตัวตืด หรือไส้เดือนตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิเข็มหมุด เป็นต้น
ตะลิงปลิง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223252-
ตะลิงปลิงเป็นไม้ผลที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายประการ ทุกส่วนของต้นไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ดอก และผล สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด โดยทั่วไปจะนิยมปลูกตะลิงปลิงไว้รับประทานผล โดยผลอ่อนจะนำมาใส่อาหารที่ต้องการความเปรี้ยว เช่น ต้มยำ แกงส้ม สามารถนำไปใช้ทำส้มตำได้เช่นกัน หรือหากต้องการรับประทานผลดิบ มักจะจิ้มกับน้ำปลาหวาน หรือกะปิ
ส่วนสรรพคุณทางสมุนไพรคนไทยเมื่อครั้งอดีตจะใช้ใบนำไปบดชงกับน้ำร้อนหรือนำไปต้ม ดื่มแก้ลำไส้ใหญ่อักเสบและรักษาโรคซิฟิลิส นำใบมาตำพอกรักษาสิว คางทูม ดอกตะลิงปลิง มีรสเปรี้ยวฝาด สามารถนำมาชงเป็นน้ำชา ดื่มบรรเทาอาการไอ รากตะลิงปลิง นำไปตากแห้ง ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยลดไข้ บำรุงกระเพาะอาหาร แก้โลหิตออกตามกระเพาะอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้คัน แก้คางทูม แก้ไขข้ออักเสบ รักษาสิว ผลตะลิงปลิง ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร ลดไข้ ฟอกโลหิต ยาบำรุงแก้ปวดมดลูก แก้ไอบรรเทาโรคริดสีดวงทวารแก้ลักปิดลักเปิดเป็นต้น.
จิก - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223000-
จิกเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 4-8 เมตรลำต้นมีปุ่มปมเปลือก แผ่นเปลือกชั้นในสีเหลืองแกมน้ำตาล ถึงชมพู มีเส้นใยเหนียว ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนรอบกิ่ง เป็นกระจุกที่ปลายกิ่งแผ่นใบคล้ายกระดาษ ไม่นุ่ม ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ ถึงรูปหอกแกมรูปไข่กลับ เกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนเป็นมัน ปลายเรียวแหลม ฐานสอบแคบ ขอบหยักละเอียด ก้านใบอวบสั้น ดอกออกที่ปลายกิ่ง เป็นช่อกระจะ ช่อดอกห้อยลง ดอกใหญ่ ผล สีเขียวถึงสีเขียวอมม่วง รูปไข่ถึงรูปรี ปลายผลแหลมทั้งสองด้านมีกลีบเลี้ยงสองด้าน มีกลีบเลี้ยง 2-4 กลีบ
จิกที่ชาวไทยรู้จักคุ้นเคยมากเป็นพิเศษมี 3 ชนิด คือ จิกนา จิกบ้านหรือจิกสวน และจิกน้ำ ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ใบอ่อนกินเป็นผักสด มีรสชาติ ค่อนข้างฝาดเล็กน้อย ดอกจิกมีความงดงามเป็นที่นิยมในหลายท้องถิ่น นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ในตำรายาไทยสรรพคุณสมุนไพร ใบ รสฝาด สมานบาดแผล ชัก ธาตุแก้อุจจาระพิการ แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ต้นแก้ปวดศีรษะ เลือดออกตามไรฟัน แก้เสมหะพิการ เนื้อไม้ ขับระดูขาว รากเป็นยาระบาย เมล็ดแก้เยื่อตาอักเสบ แก้อาเจียน แก้ไอ แก้แน่น แก้ไข้ตัวร้อน เป็นต้น.
ส้มโอ - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222743-
ส้มโอ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่อยู่มากมาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ เช่น วิตามินซี ฟอสฟอรัส กรดอินทรีย์ โมโนเทอร์ มีแคลเซียมบำรุงส่วนที่สึกหรอในร่างกายและมีสารต้านมะเร็ง ส้มโอยังมีสรรพคุณทางยา ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นหน้าอก ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้เปลือกส้มโอแก้โรคผิวหนัง โดยการเอาไปต้มจนได้ที่แล้วนำน้ำมาทาบริเวณผิวหนัง ใบใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ ท้องอืดแน่น แก้ปวดหัวโดยการตำพอกที่ศีรษะ ดอกใช้แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระบังลม ขับเสมหะ ขับลมผลแก้เมาสุรา ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหารเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์เบื่ออาหาร ปากไม่รู้รสอาหาร เปลือกผลใช้เป็นยาขับลม ช่วยขับเสมหะ แก้อึดอัด แน่นหน้าอก ไอ จุกแน่น ปวดท้องน้อย ไส้เลื่อน หรือต้มน้ำอาบแก้คัน ใช้ตำพอกฝี เมล็ดแก้ไส้เลื่อน แก้ปวดท้อง ลำไส้เล็กหดตัวผิดปกติ รากแก้หวัด แก้ไอ แก้ปวด ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหาร ไส้เลื่อน.
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version