ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129488 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #160 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2013, 09:32:34 am »
สมอดีงู - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224920-



สมอดีงูเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาแผ่ออกกว้าง เปลือกต้นสีน้ำตาลแกมเทา เรียบ สูงประมาณ 20-30 เมตร ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ใบเป็นรูปมนรี ปลายแหลม โคนใบสอบหรือมน ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่ออยู่ตรงง่ามใบ และส่วนยอดของต้น ที่โคนของดอกย่อยจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกออกเป็นรูปถ้วยตื้นๆ ผลเป็นรูปมนรี ผิวเกลี้ยง มีสันอยู่ 5 สัน เมื่อผลแห้งจะทำให้มองเห็นสันได้ชัด ในทางการแพทย์แผนไทยจะใช้ผลซึ่งมีรสขมและฝาด แก้พิษดี พิษโลหิต แก้ไอ ขับโลหิตระดู ถ่ายพิษไข้ พิษเสมหะและโลหิต ถ่ายอุจจาระธาตุ ระบายแรงกว่าสมอชนิดอื่น ๆ.


จาวตาล - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224787-



จาวตาลเกิดจากผลแก่จัดของต้นตาลตัวเมีย เมื่อหล่นลงมาชาวบ้านจะเก็บรวบรวมกองไว้ ต่อมาเมล็ดตาลจะแทงส่วนที่คล้ายรากงอกออกมาลงสู่พื้นดิน เรียกว่า งอกตาล ส่วนปลายของงอกตาลมีคัพภะที่จะกลายเป็นต้นอ่อนของต้นตาลซึ่งจะเจริญเติบโตขึ้นและค่อย ๆ แทงยอดขึ้นมาตาม “งอกตาล” จนโผล่พ้นดินและเจริญเติบโตเป็นต้นตาลต่อไป  งอกตาลนั้นไม่ใช่ราก แต่ทำหน้าที่ส่งคัพภะลงไปในดินและต่อมาทำหน้าที่เป็นปลอกหุ้มยอดอ่อน แล้วก็เปื่อยสลายไป ส่วนรากที่แท้จริงจะออกจากฐานต้นอ่อนที่เจริญมาจากส่วนปลายของ “งอกตาล” ต้นอ่อนของตาลมีลักษณะและขนาดพอ ๆ กับหอมแดงหัวโต ๆ  รากแบบเดียวกับรากหัวหอม ต้นอ่อนจะอยู่ลึกลงไปในดิน จึงมักไม่มีใครเห็น จาวตาลนิยมนำไปเชื่อมรับประทานเป็นของหวาน  2 แบบคือ เชื่อมเปียก จาวตาลจะฉ่ำน้ำตาล หรือเชื่อมแห้ง จาวตาลจะมีเกล็ดน้ำตาลจับแข็ง หรือนำลูกตาลสุกมายีเนื้อสีเหลืองแล้วผสมกับแป้งข้าวเจ้าตากแดด เติมน้ำตาล นำมาใส่ห่อใบตองแล้วนึ่งให้สุก ก็จะได้ขนมเนื้อนุ่มฟูคล้ายขนมเค้ก เรียกว่า ขนมตาล.


มะอึก - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224463-



มะอึกเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1-2 เมตร ทุกส่วนมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่กว้าง 15-25 ซม. ยาว 20-30 ซม. โคนใบเว้าหรือตัด ขอบใบหยักเว้าเป็นพู แผ่นใบสีเขียว มีขนทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแหลม เกสรเพศผู้สีเหลือง เป็นเส้นรวมเป็นยอดแหลม ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.8-2 ซม. ผิวมีขนยาวหนาแน่น ผลสุกสีเหลืองแกมน้ำตาล เมล็ดแบน มีจำนวนมาก เป็นพืชพื้นบ้านของไทย คนไทยนำมะอึกมาใช้ประโยชน์อย่างยาวนาน ทั้งด้านอาหารและยา ในตำราสมุนไพรไทยบรรยายสรรพคุณทางยาของมะอึกไว้ว่า ใน ผลจะมีรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว แก้ไข้สันนิบาต ส่วนของรากรส เปรี้ยว เย็นน้อย แก้ดีฝ่อ ดีกระตุก แก้ไข้สันนิบาต แก้น้ำลายเหนียว กัดฟอกเสมหะ กระทุ้งพิษ ดับพิษร้อนภายใน ในมาเลเซียใช้เมล็ดมะอึกรักษาอาการปวดฟันโดยมวนเมล็ดมะอึกแห้งในใบตองแห้งแล้วจุดสูดควันเข้าไป.


นางแย้ม - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 7 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224268-



นางแย้มเป็นไม้พุ่มล้มลุก ดอกคล้ายดอกมะลิซ้อนหลายดอกอัดรวมกัน แต่เมื่อต้นแก่เมื่อออกดอกแล้วระยะหนึ่งก็จะแห้งตาย สามารถออกดอกได้ตลอดปี แต่จะออกดอกมากในช่วงฤดูฝนและให้กลิ่นหอมแรงตลอดทั้งวัน การขยายพันธุ์นิยมขุดต้นอ่อน ที่เกิดจากรากที่อยู่ใกล้ผิวดินไปปลูกในพื้นที่อื่นที่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด ต้นอ่อนจะเกิดมากตั้งแต่ต้นมีอายุประมาณ 2 ปี หลังจากเริ่มปลูก  ปลูกได้ดีทั้งกลางแจ้งและที่ร่มรำไรปลูกในที่ร่มรำไรจะเหมาะสมที่สุด เนื่องจากใบและดอกจะมีขนาดใหญ่และสวยงาม การปลูกในครั้งแรกควรปลูกเพียงต้นเดียวเนื่อง จากเมื่อเติบโตได้ระยะหนึ่งจะมีการแตกต้นใหม่ออกมา หากต้องการดอกขนาดใหญ่ ควรเด็ดดอกที่อยู่ตามกิ่งแขนงออกเหลือเฉพาะดอกที่อยู่ที่ยอดบนสุดเท่านั้น คล้ายกับวิธีที่ใช้กับต้นดาวเรืองควรตัดกิ่งและต้นที่แก่ออกบ้างเพื่อจะได้ต้นใหม่ที่ให้ดอกขนาดใหญ่ ที่สำคัญระหว่างตัดแต่งกิ่งให้ระวังใบที่อาจจะสัมผัสกับผิวหนังด้วยใบอาจทำให้ผิวหนังของบางคนระคายเคืองได้.


รำข้าว - เรื่องน่ารู้
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223854-



รำข้าว คือ ส่วนที่ได้จากกระบวนการสีข้าว โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ รำหยาบและรำละเอียด รำข้าวมีคุณค่าทางอาหารสูง ได้แก่ โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร เถ้า วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ดังนั้นจึงมีการนำรำข้าวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันสำหรับบริโภคที่มีคุณภาพดี เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลต่ำ(code:33012 ข้อมูลจากสำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว).


ทองพันช่าง - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224074-



ทองพันช่างเป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยว ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากล่างมีประสีม่วงแดง ผลแก่ แตกได้ คนไทยเมื่อครั้งอดีตจะนำใบสด รากสด มาตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคันเรื้อรัง โดยใช้ใบสด หรือราก มาตำแช่เหล้า หรือแอลกอฮอล์ แล้วทาบริเวณที่เป็นโรคผิวหนังบ่อย ๆ ใช้ใบสด ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำมันก๊าด ทาบริเวณที่เป็นกลาก วันละ 1 ครั้ง  3 วัน โรคกลากมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางที่ดีขึ้น และหายในที่สุด  ใช้รากทองประมาณ 6-7 รากและหัวไม้ขีดไฟครึ่งกล่อง นำมาตำเข้ากันให้ละเอียด ผสมน้ำมันใส่ผมหรือวาสลีน ทาบริเวณที่เป็นกลาก หรือโรคผิวหนังบ่อย ๆ  หรือใช้ราก บดละเอียดผสมน้ำมะขามและน้ำมะนาว ชโลมทาบริเวณที่เป็นโรคผิวหนัง อาการจะค่อย ๆ บรรเทาและหายไปในที่สุด.

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #161 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2013, 09:03:56 am »
สับปะรด - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/225797-



สับปะรดเป็นไม้ล้มลุกสูงประมาณ 90-100 ซม. ลำต้นใต้ดิน ปล้องสั้น ไม่แตกกิ่งก้านมีแต่กาบใบห่อหุ้มลำต้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนถี่ ไม่มีก้านใบ ใบเรียวยาว โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ปลายแหลม ขอบใบมีหนาม แผ่นใบสีเขียวเข้มและเป็นทางสีแดง ด้านล่างมีนวลแป้งสีขาว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเรียงอัดกันแน่นรอบแกนช่อดอก ก้านช่อใหญ่แข็งแรง กลีบดอก 3 กลีบ ด้านบนสีชมพูอมม่วง ด้านล่างสีขาว เกสรเพศผู้ 6 อัน เรียงกัน 2 ชั้น ผล เป็นผลรวมรูปรี โคนกว้าง ปลายสอบ มีใบสั้นเป็นกระจุกที่ปลายผล เรียกว่าตะเกียง ผลสุกสีเหลืองสดและฉ่ำน้ำในทางการแพทย์แผนไทยจะนำรากมาใช้ประโยชน์ในการ แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี แก้หนองใน แก้มุตกิดระดูขาว แก้ขัดข้อ หนาม ใช้แก้พิษฝีต่าง ๆ แก้ไข้ ลดความร้อน ไข้พา ไข้กาฬ  ใบสด ใช้เป็นยาถ่าย ฆ่าพยาธิในท้อง ยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย  ผลดิบ  ใช้ห้ามโลหิต แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ฆ่าพยาธิ และขับระดู  ผลสุก ใช้ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบำรุงกำลัง ช่วยย่อยอาหาร แก้หนองใน มุตกิด กัดเสมหะในลำคอ ไส้กลางสับปะรด ใช้แก้ขัดเบา  เปลือก ใช้ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี จุก ใช้ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้หนองใน มุตกิดระดูขาว  และแขนง ใช้แก้โรคนิ่ว.



ว่านหางช้าง - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/225986-



ว่านหางช้างเป็นไม้ขนาดเล็ก โคนลำต้นอยู่ใต้ดิน เมื่อพ้นจากใต้ดิน จะมีใบแตกออกข้างเป็นแผงยาวรี ประมาณ 40-50 เซนติเมตร ต้นสูงประมาณ 50 เซนติเมตรถึง 1 เมตร ใบสีเขียว มีคราบขาวนวล ใบเรียบปลายใบแหลม ดอกมีสีเข้ม สลับเหลือง ขยายพันธ์ุด้วยหน่อ ในทางการแพทย์แผนไทยใช้ใบว่าน จำนวน 3 ใบ ปรุงเป็นยาต้ม กินเป็นยาระบาย และแก้ระดูพิการในผู้หญิง ในตำราแผนโบราณใช้แก้โรคที่เกิดจากคุณทางไสยศาสตร์ โดย ต้น แก้คุณอันบุคคลที่ถูกกระทำทางหนัง ใบแก้คุณอันบุคคลถูกกระทำทางเนื้อ ดอก แก้คุณอันบุคคลถูกกระทำทางผม ราก แก้คุณอันบุคคลที่ถูกกระทำทางกระดูก สามารถปลูกได้ดีในดินร่วนปนทรายชอบแดด ตามความเชื่อปลูกในสถานที่ไม่มีคนเดินข้าม นิยมปลูกวันอังคาร วันครูวันพฤหัสบดี.



ว่านธรณีสาร - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/226485-



ว่านธรณีสารเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นตรง สูงประมาณ 0.5–1 เมตร ลำต้นสีเขียว ตรงปลายยอดเป็นสีอ่อน ต้นแก่โคนต้นสีน้ำตาล ใบมีลักษณะกลมเล็กคล้ายใบมะขาม ก้านใบสีเขียว ออกทั้ง 2 ข้างของก้านใบคู่กันไปจนสุดปลายก้าน ก้านใบจะแตกออกจากลำต้นโดยรอบ ๆ เป็นพุ่ม ปลูกได้ดีในดินร่วนหรือดินปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดีมีแสงแดดปานกลาง ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แล้วแยกต้นกล้าไปปลูก ตามความเชื่อของคนไทยมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคล มีการนำเข้าพิธีประพรมน้ำมนต์ เชื่อว่าเมื่อปลูกในบริเวณบ้านแล้วจะดีต่อผู้อยู่อาศัย และจะปลูกในวันพฤหัสบดีข้างขึ้น ในทางการแพทย์แผนไทย นิยมนำใบแห้งป่นเป็นผง ผสมกับพิมเสน ใช้กวาดคอเด็ก แก้เด็กตัวร้อน และขับลมในลำไส้.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #162 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2013, 08:37:00 pm »

ประโยชน์ของทุเรียน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/-




ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ครับ นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน

ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก

คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถัน ในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย

ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ

เนื้อ: เนื้อ ทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรค ผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย

เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ

ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้

ราก: ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี
แต่ที่สำคัญที่ขาด ไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้

วิธีการ
1.นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว
2.ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น

อย่าลืม หาทุเรียน มาทานกันนะค่ะ

 

ที่มาข้อมูลและภาพ sakid.com
ที่มารูปภาพ xn--22c6buahm7b6c3b8g.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #163 เมื่อ: สิงหาคม 22, 2013, 08:44:41 pm »
“น้ำมันพืช” เลือกยังไง ใช้ยังไง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 สิงหาคม 2556 15:25 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000104556-

 เวลาไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วต้องเลือกซื้อน้ำมันพืชกลับบ้านสักขวดสองขวด มีใครบ้างที่ต้องยืนเลือกอยู่นานเพราะน้ำมันพืชนั้นมีหลากหลายประเภท ไม่รู้จะเลือกน้ำมันแบบไหนไปใช้ดี “108 เคล็ดกิน” เลยมีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกัน เผื่อไปซื้อน้ำมันพืชคราวหน้าจะได้เลือกได้ถูกชนิดเสียที
       
       ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกันก่อนว่าน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารนั้นมีอะไรบ้าง จากข้อมูลของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งประเภทน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารออกเป็น 2 ชนิด คือ
       
       น้ำมันพืช จะมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (ยกเว้นน้ำในมะพร้าว และน้ำมันเมล็ดปาล์ม) ไม่ค่อยเป็นไขแม้จะแช่ในตู้เย็น แต่จะทำปฏิกิริยากับความร้อนและออกซิเจนได้ง่าย ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนภายหลังจากใช้ประกอบอาหารแล้ว
       
       น้ำมันสัตว์ มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันอิ่มตัว เป็นไขง่าย และมีกลิ่นเหม็นหืนได้ง่ายแม้จะทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง และนอกจากจะมีกรดไขมันอิ่มตัวมากแล้ว ก็ยังมีคอเลสเตอรอลมากด้วย
       
       ทีนี้มาทำความรู้จักกับน้ำมันพืชที่เราใช้ประกอบอาหารกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เริ่มจาก “น้ำมันมะกอก” เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในร่างกาย อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ที่จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ลดรอยเหี่ยวย่นได้ น้ำมันมะกอกมีจุดเกิดควันต่ำ (หมายถึง เกิดควันได้ง่าย) จึงไม่เหมาะกับการปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อน นิยมนำมาทำเป็นน้ำสลัด หรือเป็นส่วนประกอบของน้ำสลัด
       
       “น้ำมันถั่วเหลือง”, “น้ำมันเมล็ดทานตะวัน”, “น้ำมันข้าวโพด” มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง ไม่เป็นไขที่อุณหภูมิต่ำ แต่ถ้าผ่านความร้อนอุณหภูมิสูงมากจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย จึงเหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนปานกลาง เช่น การผัด หรืออาจนำมาทำน้ำสลัด และมาการีน
       
       “น้ำมันรำข้าว”, “น้ำมันเมล็ดฝ้าย”, “น้ำมันปาล์ม” เป็นน้ำมันที่ไม่กรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง แต่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง จึงทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงได้ แต่ก็เป็นน้ำมันที่เป็นแหล่งวิตามินอี และสามารถทดความร้อนได้สูง จึงนิยมใช้สำหรับทอด
       
       แต่นอกเหนือจากน้ำมันที่กล่าวถึงมาข้างต้นแล้ว ก็ยังมีน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ที่ปัจจุบันนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายอีก อาทิ “น้ำมันเมล็ดคำฝอย” เป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงที่สุดในบรรดาน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร และยังมีกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติและอาหารเพื่อสุขภาพ
       
       “น้ำมันมะพร้าว” เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก และเป็นไขได้ง่ายเมื่อมีอุณหภูมิต่ำ จึงไม่ค่อยนิยมนำมาปรุงอาหาร แต่จะใช้เพื่อผลิตมาการีนและสบู่
       
       “น้ำมันงา” เป็นน้ำมันที่มีหลักฐานว่ามีการใช้มาอย่างยาวนานแล้ว ซึ่งการสกัดน้ำมันงานั้นทำได้ง่ายโดยการบดธรรมดา ไม่ต้องผ่านความร้อนเหมือนการทำน้ำมันชนิดอื่น สำหรับการใช้น้ำมันงานั้น ไม่ได้นำมาใช้ผัดหรือทอดโดยตรง แต่จะใช้ผสมเพื่อแต่งกลิ่นและรสของอาหาร โดยเฉพาะในอาหารจีน เนื่องจากน้ำมันงามีกลิ่นและรสเฉพาะตัว
       
       หลังจากรู้คุณสมบัติของน้ำมันพืชชนิดต่างๆ แล้ว คราวหลังถ้าจะต้องไปเลือกซื้อน้ำมันพืช ก็ลองสำรวจดูก่อนว่าต้องการจะซื้อมาทำอะไร จะได้เลือกชนิดของน้ำมันได้ถูกต้อง


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #164 เมื่อ: สิงหาคม 25, 2013, 07:27:41 am »
สมุนไพรต้านหวัด

-http://campus.sanook.com/1369703/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94/-



แนะนำพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน

การชื้นแฉะ อาจทำให้เราเป็นหวัดหรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจกันได้ง่ายๆ โดยทั่วไปเมื่อเป็นไข้หวัดแล้ว อาการจะหายได้เองประมาณ 1 สัปดาห์ โดยหมั่นจิบน้ำอุ่นอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้มากๆ โดยสิ่งที่เป็นเรื่องน่ารำคาญของโรคนี้คือ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอและหายใจลำบาก เรามีพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน

ต้นหอม โดยนำต้นหอมสดๆล้างน้ำให้สะอาด กินร่วมกับอาหารทุกมื้อ มื้อละ 2 - 3ต้น หรือต้มจนเดือด สูดไอระเหยจะช่วยให้หายหวัดได้เร็ว



ขิง มีรสหวานและเผ็ดร้อน กลิ่นหอมแหลมของขิงมีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหย และสารธรรมชาติอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์เป็น "ยา" ส่วนคนที่กำลังไอ ขิงก็ช่วยได้ โดยเอามาฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเท่าเบาบาง


วิธีใช้ก็ง่ายๆคือใช้ขิงแก่ขนาดเท่านิ้วมือทุบให้แตก ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยคั้นน้ำ 2 ช้อนแกงใส่น้ำผึ้ง 2 ช้อนแกง ผสมเข้ากันแล้วจิบบ่อยๆ ระวังอย่าจิบมากเกินไป อาจทำให้แสบคอได้

กระเทียม มีคุณสมบัติเป็นยาขับเสมหะ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่ และยังมีผลต่อเชื้อร้ายในทางเดินหายใจ จึงช่วยลดอาการไอ หรือหากรับประทานสดๆได้จะดีเพราะกระเทียมสดๆออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด




ฟ้าทะลายโจร จัดอยู่ในจำพวกยาปฎิชีวนะ เหมือนพวกเพนนิซิลินและเตตราซัยคลิน ซึ่งรักษาได้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว แต่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีพิษต่อตับ และไม่ตกค้างในร่างกาย ซ้ำยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโดยโรคบางอย่างดีกว่ายาแผนปัจจุบันเสียอีก




มะขาม มีรสเปรี้ยวเพราะมีกรดอินทรีย์ มะขามช่วยให้หายคัดจมูกและขับเหงื่อ สูดจนหมดไอแล้วผสมน้ำเย็นลงไปพออุ่นแล้วอาบ ทำวันละ 1 - 2 ครั้ง ประมาณ 3-4 วัน




เพกา ส่วนที่นำมาใช้คือ เมล็ด ซึ่งเมล็ดเพกานี้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำจับเลี้ยงที่คนจีนใช้ดิ่มแก้ร้อนใน มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ โดยใช้เมล็ดประมาณ 1 กำมือ หนักประมาณ 3 กรัม ใส่น้ำประมาณ 300 มล. ต้มไฟ่อ่อนๆ พอเดือด เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง ดื่มวันละ 3 ครั้ง




นอกจากนี้แล้ว การที่เราหมั่นรักษาสุขภาพของตัวเองในหน้าฝนนี้ ด้วยการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำอุ่นๆ ก็จะช่วยให้หายจากอาการหวัดได้เร็วขึ้นได้

ที่มา:หนังสือสมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #165 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 09:12:15 pm »
หนุมานนั่งแท่น - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228961-



หนุมานนั่งแท่นเป็นไม้พุ่มสูงถึง 2.5 ม. ผิวเกลี้ยง เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากอเมริกากลาง เป็นยาแพทย์แผนไทยของคนไทยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยใช้น้ำยางทา รักษาแผลมีดบาด ห้ามเลือด บางพื้นที่ใช้น้ำยางทารักษาฝี ส่วนเมล็ดมีสารกลุ่มที่เป็นพิษ เช่นเดียวกับสบู่ดำ สารสกัดมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา.



พัดนางชี - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228063-



พัดนางชีเป็นไม้คลุมดิน ลำต้นอวบน้ำ เป็นข้อสั้น ๆ ทอดเลื้อยแนบไปกับพื้นดินและชูยอดสูงประมาณ 50-100 ซม. เกิดรากและแตกกิ่งใหม่ตามส่วนที่แนบกับพื้นดิน เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบรูป ใบหอก ยาวแกมรูปเคียวแบนขนาดประมาณ 6 x 50 ซม. สันใบอยู่ด้านล่าง ขอบใบอยู่ด้านบน ปลายใบเรียวแหลมคล้ายหาง เส้นใบเป็นเส้นขนานกับความยาวของใบ ดอกเกิดที่ปลายยอด ออกเป็นช่อแยกแขนงแบบช่อกระจุกด้านเดียว ดอกย่อยสีขาวบานเต็มที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.50 ซม. มี 6 กลีบแบ่งเป็น 2 ชั้น เกาะติดสลับกัน แต่ละกลีบเป็นอิสระจากกัน เกสรเพศผู้ มี 3 อัน เกาะติดที่ฐานรองดอก เกสรเพศเมีย แบบรังไข่เหนือวงกลีบ ก้านชูยอดเกสรสีขาว รังไข่สีเขียว แบ่งเป็น 3 พู สันแต่ละพูมีขนยาวสีขาวใสเกาะติด ไข่มีจำนวนมาก เกาะติดที่รอบแกนกลางร่วม นิยมปลูกเป็นไม้ประดับโดยการปักชำ ใช้กิ่งแก่ กิ่งอ่อนที่ดึงใบออกหมด หรือยอดอ่อนที่มีใบติดอยู่ โดยตัดกิ่งเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ 10-15 ซม. นำไปปักในถุงเพาะชำ หรือในแปลงปลูก นำส่วนโคนของกิ่งปักเฉียงประมาณ 40 องศา ลึกครึ่งหนึ่งของความยาว ถ้าเป็นแปลงปลูกปักกิ่งให้ห่างกันประมาณหนึ่งฝ่ามือ เพื่อให้ต้นที่เกิดใหม่เบียดกันแน่นต้นจะตั้งตรงเป็นพุ่มสวยงาม.


หนุมานนั่งแท่น - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228961-



หนุมานนั่งแท่นเป็นไม้พุ่มสูงถึง 2.5 ม. ผิวเกลี้ยง เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากอเมริกากลาง เป็นยาแพทย์แผนไทยของคนไทยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยใช้น้ำยางทา รักษาแผลมีดบาด ห้ามเลือด บางพื้นที่ใช้น้ำยางทารักษาฝี ส่วนเมล็ดมีสารกลุ่มที่เป็นพิษ เช่นเดียวกับสบู่ดำ สารสกัดมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา



ว่านชักมดลูก - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228693-



ว่านชักมดลูกเป็นพืชที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน อยู่ในวงศ์ขิง ในตำรายาไทย จะใช้เหง้ารักษาอาการของสตรี เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวารและไส้เลื่อน มีสารออกฤทธิ์เป็นกลุ่มไดแอริลเฮปตานอยด์ ที่มีศักยภาพสำหรับรักษาสุขภาพของสตรีวัยทอง และจากผลการวิจัยในสัตว์ทดลองและหลอดทดลองของนักวิจัยไทยพบว่า สารกลุ่มไดแอริลเฮปตานอยด์ มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นเทียบเท่าไวตามินซี มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ  ซึ่งเป็นผลดีกับโรคในระบบประสาทและซ่อมแซมระบบหลอดเลือดและหัวใจ สำหรับความเป็นพิษ มีการทดลองพิษเฉียบพลันและกึ่งเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง พบว่ามีความเป็นพิษต่ำ.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #166 เมื่อ: กันยายน 01, 2013, 08:28:44 am »

ดื่มซะให้สวย กับ 5 เครื่องดื่มเพื่อผิวสวยใส สุขภาพดี
-http://women.kapook.com/view68658.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          น้ำ เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายและเราจำเป็นต้องดื่มน้ำทุก ๆ วัน น้ำที่ดีสำหรับสุขภาพร่างกายและผิวพรรณเรามากที่สุดก็คือน้ำเปล่า แต่รู้ไหมเอ่ยว่ายังมีเครื่องดื่มอื่นที่ไม่ใช่น้ำเปล่า แต่ก็ช่วยให้ผิวสวยใสสุขภาพดีได้เหมือนกันนะคะ ถ้าอยากรู้ว่าต้องดื่มอะไรดริ๊งค์ยังไงให้ผิวสวย ตามมาดูทางนี้เลยจ้า

1. ชาเขียว

          ถ้าต้องการได้ประโยชน์จากชาเขียวแบบเต็ม ๆ ต้องดื่มตอนมันร้อน ๆ เพราะสารแอนตี้ออกซิแดนท์จากใบชาจะขับออกมาได้ดีที่สุดในน้ำอุณหภูมิสูง และปริมาณที่แนะนำคือ 2-6 ถ้วยต่อวันค่ะ ซึ่งสารแอนตี้ออกซิแดนท์นี่เองที่ป้องกันการอักเสบของผิว ป้องกันการก่อตัวของมะเร็ง รวมทั้งมะเร็งเม็ดสีที่เกิดจากการปะทะแสงแดดจัดจ้าด้วย

2. น้ำนมข้าวโอ๊ต

          ใครที่ชอบดื่มนมลองเปลี่ยนจากน้ำนมวัวมาเป็นน้ำนมข้าวโอ๊ตดูสิคะ คุณจะได้รับประโยชน์แบบเต็ม ๆ จากวิตามินอี และโฟลิกแอซิด ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการเกิดใหม่ของผิวเลยล่ะ

3. ชาเนทเทิล

          ชาเนทเทิล (Nettle tea) มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์อยู่สูง เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะที่สุดหากว่าคุณกำลังเผชิญปัญหาผิวเริ่มจะนำหน้าไปก่อนอายุ เพราะสารแอนตี้ออกซิแดนท์จะช่วยต่อต้านพิษและสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ ไม่ให้มาทำร้ายผิวได้ ทำให้ผิวยังดูอ่อนเยาว์อยู่ได้นานนั่นเอง

4. น้ำผักและผลไม้คั้นสด

          ผักและผลไม้มีประโยชน์กับผิวอยู่แล้วแน่ ๆ โดยไม่ต้องสงสัย และเมื่อกลายร่างเป็นน้ำผักและผลไม้คั้นสด ๆ คุณค่าของมันก็ไม่ได้ลดลงไปมากนัก โดยเฉพาะในเรื่องของวิตามินซี ในแง่ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและสว่างสดใสขึ้น หากยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นดื่มน้ำอะไรดี แนะนำให้ลองน้ำแตงกวาดูดีไหมคะ เพราะอุดมไปด้วยโพแทสเซียม แมกนีเซียม และซิลิกา ที่สำคัญแตงกวายังมีน้ำมากถึง 90% จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีสุด ๆ หรือจะลองเป็นน้ำมะเขือเทศที่มีวิตามินซีสูง แถมยังมีไลโคปีนที่ช่วยในเรื่องการไหลเวียนโลหิตด้วย

5. ชาเปบเปอร์มิ้นต์

          ความเครียดคือศัตรูตัวฉกาจของผิวพรรณ และคู่ต่อสู้ที่จะมาต่อกรกับมันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก็คือชาเปบเปอร์มิ้นต์กลิ่นหอมสดชื่น ดื่มแล้วผ่อนคลายช่วยสลายความเครียดได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้โล่งจมูก บรรเทาอาการปวดจมูกจากโรคไซนัส บรรเทาอาการปวดศีรษะ และช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารด้วยนะคะ

          ใครอยากมีผิวที่แข็งแรงแถมสวยสุขภาพดีลองเพิ่มเครื่องดื่มเหล่านี้ลงในชีวิตประจำวันดูสิคะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้มากพอกับความต้องการของร่างกายเสมอด้วยนะจ๊ะ ถ้าดื่มทั้งสองแบบควบคู่กันไปในปริมาณที่พอดี รับรองคราวนี้ผิวสวยผิวใสก็จะอยู่ไม่ไกลกเดเอื้อมเลยจ้า

http://women.kapook.com/view68658.html
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #167 เมื่อ: กันยายน 01, 2013, 08:46:20 am »
เจตพังคี - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/229250-



เจตพังคีเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 20-40 เซนติเมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปวงรีหรือรูปไข่แกมรูปหอก กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร ผิวใบมีขน ใบหนา ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศอยู่ในช่อดอกเดียวกัน กลีบดอกสีขาวนวล ผลแห้ง แตกได้ รูปทรงกลม มี 3 พูในทางแพทย์แผนไทยจะใช้ราก ต้มน้ำดื่ม หรือฝนทา แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ในเด็ก หรือตำประคบ แก้ปวด รากมีรสเผ็ด ขื่น เฝื่อนเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม แก้ท้องขึ้น ปวดแน่นท้อง หรือใช้ภายนอกโดยฝนกับน้ำปูนใส ผสมกับมหาหิงคุ์และการบูรทาท้องเด็กอ่อน เพื่อให้ผายลม แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ปวดท้อง มีการนำรากมาผสมกับรากส่องฟ้าดง ต้มน้ำดื่ม เพื่อแก้จุกเสียด แก้ท้องอืด เป็นต้น.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #168 เมื่อ: กันยายน 01, 2013, 09:05:38 am »
"ธีรภัทร เจริญสุข"เขียน"สำราญโภชนากับปลาน้ำโขง"
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1377825985&grpid=&catid=02&subcatid=0200-


ที่มา : คอลัมน์ เดือนหงายที่ชายโขง มติชนรายวัน
 
โดย ธีรภัทร เจริญสุข

 
แม่น้ำโขง แม่น้ำนานาชาติที่ไหลผ่านหกประเทศ เป็นแหล่งที่อยู่ของฝูงปลานานาพันธุ์ และมีพันธุ์ปลาท้องถิ่นที่มีอยู่เฉพาะในแม่น้ำโขงหลายชนิด สภาพแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวเกือบตลอดทั้งปี ทำให้ปลาในแม่น้ำโขงมีลักษณะของเนื้อที่แตกต่างจากปลาในแม่น้ำอื่น จนเกือบคล้ายกับปลาทะเล เนื่องจากปลาต้องว่ายต้านกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากจนทำให้เนื้อแน่น ไขมันน้อย หนังปลานุ่มเหนียว ไม่ค่อยมีพยาธิคล้ายปลาทะเล เหมาะจะนำมาทำเป็นอาหารต่างๆ

 
ปลาชนิดที่เป็นที่นิยมขึ้นโต๊ะอาหารหลักๆ ได้แก่ ปลาคัง ปลาแค้ ปลาเผาะ ปลาเนื้ออ่อน ปลานาง ปลาตอง และที่เป็นจุดเด่นเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งปลาน้ำโขง คือ ปลาบึก ด้วยขนาดที่ใหญ่ยักษ์เกินปลาชนิดใดๆ และรสชาติกับรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ปลาบึกเป็นที่ต้องการของทั้งชาวประมงและนักชิมลิ้นทองทั้งหลาย ยิ่งยุคนี้ปลาบึกลดจำนวนลงจากการจับปลาเกินขนาดจนช่วงหนึ่งปลาบึกในประเทศไทยเกือบถึงขั้นสูญพันธุ์ แต่ด้วยความทุ่มเทของนักวิชาการกรมประมง ได้คิดค้นวิธีเพาะพันธุ์ปลาบึกโดยผสมไข่กับน้ำเชื้อของปลาบึกที่จับมาเลี้ยงไว้ในบ่อประมง จนประสบความสำเร็จสามารถกระจายพันธุ์ปลาบึกไปยังแหล่งน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ
 

จนทุกวันนี้ปลาบึกสามารถหากินได้ตามเขื่อนใหญ่ๆ ทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม ปลาบึกน้ำโขงก็ยังถือเป็นสุดยอดของปลาบึกที่แตกต่างจากปลาบึกเขื่อน ถ้าชาวประมงบ้านไหนจับปลาบึกตัวใหญ่ได้ในฤดูอนุญาตจับ ถือว่าถูกหวยรางวัลใหญ่ เพราะร้านอาหารจะรอประมูลแย่งซื้อกันพุ่งไปตัวละหลายหมื่นบาท คล้ายกับการประมูลปลาทูน่ามากุโร่ราคาแพงในตลาดญี่ปุ่นก็ว่าได้
 
ปลาบึก และปลามีหนังชั้นรองลงมาอย่างปลาแค้และปลาคัง นิยมนำมาทำเป็นต้มยำปลาแบบอีสานใส่ใบแมงลักและมะเขือเทศ หรือทำเป็นลาบปลารสชาติดีกว่าเนื้อไก่เนื้อหมู ทั้งยังมีไขมันน้อยกว่า ส่วนปลานาง และปลาเนื้ออ่อน นิยมนำมาทอดกระเทียมพริกไทยกรอบกินได้ทั้งก้าง หรือผัดกับเครื่องแกงกะทิเป็นฉู่ฉี่รสอร่อย ปลาตองทำเป็นลาบปลาตอง อาหารพื้นบ้านที่เรียกว่าลาบแต่เป็นเหมือนซุปปลาเหนียวข้น ปลาน้ำโขงตัวเล็กตัวน้อยอื่นๆ ทำเป็นน้ำพริกเรียกว่าป่นปลาน้อย หาได้ตามตลาดท้องถิ่นราคาไม่แพง จ้ำกินกับข้าวเหนียวเพลินจนลืมอิ่ม
 
น้ำโขงที่ไหลเชี่ยวนี้เช่นกันที่ทำให้ปลาน้ำจืดธรรมดาอย่างปลานิลหรือปลาทับทิมในกระชัง ตัวโต เนื้อแน่นและอร่อยกว่าที่เลี้ยงในบ่อปลาหรือแม่น้ำปกติ ชนิดที่ว่าถ้าได้ลองกินปลานิลกระชังน้ำโขงแล้วจะไม่อยากกินปลานิลเลี้ยงในบ่ออีก
 
ปลาอีกชนิดหนึ่งที่เรากินกันจนไม่รู้ว่าเป็นปลาน้ำโขง คือปลาที่แพ็คขายตามร้านสะดวกซื้อและร้านขายส่ง ติดป้ายตราว่า ปลาแพนกาเชียสดอรี่ แต่งภาพเติมชื่อใหม่จนคล้ายกับปลาทะเลจอห์นดอรี่ราคาแพง แต่ที่แท้แล้วคือปลาในตระกูลปลาสวายที่มีถิ่นอาศัยในแม่น้ำโขง (Pangacius Boucorti) เลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม เรียกว่า ปลาบาซา (C? ba sa) ซึ่งชาวประมงอีสานเรียกว่า ปลาเผาะ หรือปลาโมง เนื้อปลาแพนกาเชียสดอรี่ที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมแพ็คแช่แข็งขายในราคาชิ้นละสิบบาทหน่อยๆ สามารถนำมาตั้งชื่อเพราะๆ ในร้านกลายเป็นเมนูราคาแพงหลักหลายร้อยบาทได้เหมือนหลอกผู้บริโภคอยู่กลายๆ
 
ใครที่มาถึงจังหวัดริมน้ำโขง หรือข้ามไปฝั่งลาว ถ้าไม่กินปลาน้ำโขงก็เหมือนยังมาไม่ถึง กินแล้วทั้งอร่อยลิ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นแท้ๆ ถึงแหล่งผู้ผลิต ถ้าใครไม่เคยกินก็อยากขอเชิญให้มาลองชิมดูว่า ปลาน้ำโขงมีดีอย่างไร

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #169 เมื่อ: กันยายน 06, 2013, 10:29:38 pm »
ถั่วงอก - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/230988-



ถั่วงอกเป็นแหล่งวิตามินซีโดยถั่วงอก 100 กรัม จะมีวิตามินซี 5 มิลลิกรัม มีโปรตีนมากกว่าถั่วธรรมดา มีวิตามินบี 12 มีธาตุเหล็ก มีวิตามินบี 17 และมีสารเลซิธิน ช่วยบำรุงประสาทและการทำงานของสมอง มีออซินอน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายมีความสดชื่นมากขึ้น ชาวจีนโบราณจะนำถั่วงอกมารับประทานเพื่อช่วยขับเสมหะ ทำให้ปอดโล่ง ขับปัสสาวะ และช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีน แป้ง เป็นคาร์โบไฮเดรตธรรมดาหรือกลูโคส และไขมันเป็นกรดไขมัน ลดของเสียและสิ่งตกค้างในร่างกาย ในฤดูหนาวที่ผักและผลไม้หายาก ชาวกะลาสีเรือชาวจีนจะเพาะถั่วงอกกินในเรือเพื่อป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด.




ดีปลี - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 4 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/230471-



ดีปลีเป็นพืชเดียวกับชะพลูและพลูมีน้ำมันหอมระเหยนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศส่วนประกอบของอาหาร ชอบพื้นที่ที่มีฝนตกชุก มีความชื้นสูง เติบโตได้ดีในทุกภาค ของประเทศไทย ผลอ่อนนิยมรับประทานเป็นผัก ผลสุกนำมาตากแห้งใช้ประกอบเครื่องแกงคั่ว แกงเผ็ด เพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหารมีรากออกตามข้อสำหรับเกาะ และเลื้อยพัน เถาค่อนข้างเหนียวและแข็งมีข้อนูน แตกกิ่งก้านมาก ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับใบเป็นรูปไข่แกมขอบขนานปลายใบแหลมโคนใบมนใบเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อตรงข้ามกัน ลักษณะเป็นแท่ง ปลายเรียวมน ผลเล็กกลมฝังตัวกับช่อดอกผลอ่อนสีเขียวรสเผ็ดเมื่อสุกเป็นสีแดง ผลสุกมีน้ำมันหอมระเหย การวิจัยของสถาบันการแพทย์แผนไทยพบว่ามีฤทธิ์ฆ่าแมลงด้วงงวงและด้วงถั่ว คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำลำต้นหรือเถาซึ่งมีรสเผ็ดร้อนใช้แก้ปวดฟัน จุกเสียดแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยเจริญอาหาร ดอกรสเผ็ดร้อนขม ใช้แก้ท้องร่วง ขับลมในลำไส้ แก้หืดหอบแก้ลมวิงเวียนปรุงเป็นยาธาตุ แก้ตับพิการ รากมีรสเผ็ดร้อนขม จะใช้แก้หืดหอบ แก้ลมวิงเวียน แก้เสมหะ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ แก้เส้นอัมพฤกษ์ อัมพาต ดอกแก่ต้มน้ำดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อและช่วยให้หายวิงเวียน เป็นต้น.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)