อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
อาหารขงจื๊อ
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/4588/235651-
นับตั้งแต่ยุคการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน เอกลักษณ์อันโดดเด่นของอาหารตระกูลขงต้นกำเนิดแห่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีนอย่างขงจื๊อ ก็เกือบจะถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา แต่วันนี้ อาหารสุดพิเศษเหล่านั้นกำลังจะกลับมากลายเป็น อาหารจานหลักบนโต๊ะดินเนอร์ของชาวจีนอีกครั้ง
เมื่ออาหารขงจื๊อถูกนำมาเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังอันนุ่มละมุนของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุคของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
ขงจื๊อเป็นหนึ่งในบุคคลในประวัติศาสตร์ของจีนไม่กี่คนที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่ารวมทั้งคนจีนที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศต่าง ๆ และชาวเอเชียเอง ขณะที่ชื่อของนักปราชญ์อย่างขงจื๊อถูกนำไปตั้งเป็นชื่อสถาบันสอนภาษากว่า 300 แห่ง ใน 90 ประเทศ
“รัฐบาลจีนกำลังพยายามย้อนกลับไปตาม หารากเหง้าของวัฒนธรรมที่สูญหาย และพยายามทำให้ขงจื๊อกลับมาเป็นสัญลักษณ์” ศ.โทมัส วิลสัน มหาวิทยาลัยฮามิลตัน ในนิวยอร์ก ระบุ
ภัตตาคารในเมืองฉู่ฟู่ทางตะวันออกของมณฑลชานตง เมืองที่เป็นบ้านเกิดของขงจื๊อ การปรุงอาหารที่หลอมรวมแบบลู่ของแถบชานตงกับอาหารซูจากตอนใต้ของจีนไว้ด้วยกันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
ไม่ว่าจะเป็นของหวานอย่างแป้งถั่วเหลืองที่ราดหน้าด้วยถั่วและน้ำผึ้ง หรือจานหลักที่มีการแกะสลักหัวไชเท้าอย่างวิจิตรอลังการ พวกเขาบอกว่า อาหารจานนั้นจะไม่ใช่อาหารชั้นเลิศ หากว่าขาดวิธีการอันพิถีพิถัน แต่ความละเอียดอ่อนที่ว่าก็มีลำดับขั้น เพราะสังคมของชาวจีนนั้นลึก ๆ แล้วความเหลื่อมล้ำของชนชั้นยังคงมีอยู่
ย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่ถูกประเทศเล็ก ๆ อย่างญี่ปุ่นรุกราน ก่อนที่ระบบคอมมิวนิสต์จะเข้ามาครอบงำหลังช่วงสงครามเย็น ลูกหลานของขงจื๊อออกจากบ้านเกิดที่ฉู่ฟู่ลี้ภัยไปยังไต้หวันเมื่อลัทธิขงจื๊อกลายเป็นสิ่งต้องห้ามและถูกกวาดล้างพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาปฏิวัติวัฒน ธรรมในช่วงปี ค.ศ. 1966-1976 ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ดาวแดงของเหมาเจ๋อตุงเข้ามาแทนที่ วัดในลัทธิขงจื๊อถูกทำลาย สัญลักษณ์ของขงจื๊อกลายเป็นเพียงอดีต ไม่เว้นแม้แต้เชฟผู้ปรุงอาหารสุดวิจิตรของขงจื๊อเองก็ถูกคุกคาม
หลังจากอาหารขงจื๊อได้รับการฟื้นฟู ผู้สืบทอดที่ยังพอหลงเหลือจากไต้หวันได้รับเชิญให้มาทำ หน้าที่สืบทอดและถ่ายทอด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“การปฏิวัติวัฒนธรรมตัดการสืบทอดวัฒนธรรมอาหารของขงจื๊อไปถึง 4 รุ่น” หวาง ซิงหลาน หนึ่งในผู้สืบทอดได้รับเชิญให้มาร่วมฟื้นฟูอาหารขงจื๊อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 และดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบันวิจัยอาหารแห่งมณฑลชานตง บอกเล่า
ซิงหลาน บอกว่า บางคนอยากจะใช้มันเป็นสัญลักษณ์ โดยที่ไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของอาหารแต่ละจาน วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ จึงแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถปรุงอาหารเช่นนี้ได้
ภาพคู่รักที่ช่วยกันปรุงอาหารขงจื๊อที่ติดอยู่ตามผนังตึกสูงในเมืองฉู่ฟู่นั้นก็เป็นหนึ่งในแผนโปรโมตอาหารขงจื๊อให้เป็นที่รู้จักตามแผนการโฆษณา โดยราคาเมนูเต้าหู้อยู่ที่ราว 30 หยวน หรือ 120 บาท ขณะที่ซุปไข่ถ้วยละ 5 หยวน หรือราว 40 บาท
ขณะที่โรงแรมอย่างแชงกรี-ล่า ซึ่งพยายามรื้อฟื้นอาหารขงจื๊อ ระบุว่า อาหารขงจื้อก็เป็นหนึ่งในสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเกาหลีด้วย.
http://www.dailynews.co.th/article/4588/235651
sithiphong:
กินแต่ไข่ขาว ไม่มีไขมัน ไม่อ้วนด้วยใช่ไหม
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99_%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1/-
ถ้ากินไข่ขาวอย่างเดียวจะแทนโปรตีนได้ทั้งหมดหรือเปล่า กินแต่ไข่ขาวนี่ ไม่มีไขมันและไม่อ้วนด้วยใช่ไหม??
ในไข่ 1 ฟอง ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน มีแต่โปรตีนอย่างเดียว ไข่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาดเดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้ การกินไข่ดิบ หรือไข่ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆเช่น ไข่ดาว ไข่ลวก ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบ ทั้งหมดเป็น “อัลบูลมิน” ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ไม่ค่อยย่อย ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย “อัลบูลมิน”
นอกจากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัว หนึ่ง ชื่อ “อะวิดิน” ไปจับกับ “ไบโอติน” ในร่างกาย ซึ่ง “ไบโอ ติน” เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิว อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียวร่างกายจะไม่ได้ “ไบโอติน” ที่อยู่ในไข่แดง แถม “อะวิดิน” ก็ไปจับกับไบโอตินอีก สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาวและ ไข่แดง ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่
การทานไข่ขาวอย่างเดียวจะทำให้เราได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ครบ และทำให้กระบวนการสร้างเซลล์ใหม่เป็นไปอย่างไม่สมบูรณ์
ในคนที่ไม่มีความเครียด หรือไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหนัก ควรจะได้รับโปรตีนอย่างน้อยวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่น ถ้าคุณหนัก 60 กก. ก็ควรได้รับโปรตีนเข้าไป 60 กรัม เนื้อสัตว์ 1 ขีด (100 กรัม) จะให้โปรตีน 20 กรัม ก็คือควรทานวันละ 3 ขีดเป็นอย่างน้อย และแน่นอนว่า ถ้าคุณออกกำลังกาย หรือว่าเครียดกับการทำงาน คุณก็ต้องทานโปรตีนให้มากกว่านี้อีก
1. โปรตีนสมบูรณ์ หมายความว่า ประกอบด้วย กรดอะมิโนจำเป็น ครบทุกชนิด อันได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งไก่และปลา ไข่ นม แต่อาหารพวกนี้ นอกจากให้โปรตีนแล้ว ก็ยังมีไขมัน และคอเลสเตอรอลสูงด้วย การใช้อาหารเสริมก็เป็นทางหลีกเลี่ยงที่ดีอันหนึ่ง
2. โปรตีนเกือบสมบูรณ์ หมายความว่า มีอะมิโนจำเป็น เกือบจะครบ ขาดเพียงหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้น จะอยู่ในพืชบางอย่าง เช่น ถั่วฝัก หรือถั่วที่มีเมล็ดทั้งหลาย โปรตีนชนิดนี้ใช้ได้กับคนที่โตแล้ว เพราะถึงจะได้กรดอะมิโนไม่ค่อยครบ แต่ก็ไม่มีผลต่อสุขภาพเท่าไร แต่ห้ามให้กับเด็กอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เด็กไม่โตเท่าที่ควร
3. โปรตีนไม่สมบูรณ์ หมายความว่า ไม่มีกรดอะมิโนจำเป็นเลย
sithiphong:
สมุนไพรไทยดี รักษาได้หลายโรค
-http://campus.sanook.com/1369975/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-
นายแพทย์สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยเกี่ยวกับการร่วมอภิปราย ในหัวข้อ "การแพทย์แผนไทยจะเป็นแผนหลักของในชาตินี้" ว่า การแพทย์แผนไทย มีบทบาทในการดูแลสุขภาพของสังคมไทยมายาวนาน ดูแลคนทุกระดับชั้น หลังจากที่มีการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย ก็ส่งผลทำให้การแพทย์แผนไทย ไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างเป็นทางการ และหมดบทบาทในการดูแลสุขภาพในระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ประชาชนมีความสนใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น การที่จะผลักดันให้ประชาชนใช้ยาสมุนไพรให้มากขึ้น ต้องทำให้เกิดการยอมรับและเชื่อมั่นเรื่องประสิทธิภาพการรักษาก่อนพัฒนาระบบการผลิตยาสมุนไพรให้มีมาตรฐาน พัฒนาตำรับยาสมุนไพร และการวิเคราะห์วิจัยยาสมุนไพรให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมการใช้สมุนไพร 5 รายการ อาทิ ใบบัวบก กระชายดำ ลูกประคบ กวาวเครือ และไพล ซึ่งสมุนไพร และยาแผนไทยหลายชนิด ยังไม่สามารถพัฒนารูปแบบให้ทันสมัยได้ ต้องใช้วิธีการเดิม เช่น ยาหม้อ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ถึงการแพทย์แผนไทยในปัจจุบันมีความก้าวหน้ากว่าในอดีตมาก แต่ยังต้องพัฒนาศึกษาวิเคราะห์สรรพคุณด้านตัวยา และติดตามประเมินผลในการรักษาด้วยยาสมุนไพร เพื่อให้เกิดการยอมรับและศรัทธา ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการผสมผสานกับระบบดูแลสุขอนามัย การออกกำลังกายและกายภาพบำบัดร่วมกันด้วย โดยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายจะเร่งส่งเสริมการวิจัย การใช้สมุนไพรให้มากขึ้น และการคุ้มครองอนุรักษ์พืชสมุนไพร เพื่อให้เกิดการยอมรับจากประชาชน
sithiphong:
ประโยชน์ของทุเรียน
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/-
ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ครับ นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน
ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก
คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถัน ในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย
ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ
เนื้อ: เนื้อ ทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรค ผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย
เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ
ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้
ราก: ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี
แต่ที่สำคัญที่ขาด ไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้
วิธีการ
1.นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว
2.ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น
อย่าลืม หาทุเรียน มาทานกันนะค่ะ
ที่มาข้อมูลและภาพ sakid.com
ที่มารูปภาพ xn--22c6buahm7b6c3b8g.com
sithiphong:
รู้จัก ข้าวโพดอัญมณีแก้ว ข้าวโพดที่สวยที่สุดในโลก
-http://hilight.kapook.com/view/91864-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก odditycentral.com, เฟซบุ๊ก สวนครัวของพ่อ(น้องเค๊าน์เตอร์)
ข้าวโพดอัญมณีแก้ว ข้าวโพดที่สวยที่สุดในโลก งดงามแวววาวราวกับทำมาจากแก้วจริง ๆ จากฝีมือการพัฒนาสายพันธุ์โดยชนพื้นเมืองอเมริกัน อยากรู้ว่าต้นกำเนิด ข้าวโพดอัญมณีแก้ว มาจากไหน ไปดูกัน
จะเรียกว่าเป็นข้าวโพดสายพันธุ์ที่สวยที่สุดในโลกก็คงไม่ผิด สำหรับ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว (Glass Gem Corn) ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็เป็นต้องทึ่งกับความงดงามราวกับอัญมณีของมัน จนนึกว่าเป็นข้าวโพดปลอมที่ทำขึ้นจากแก้วหลากสีที่แข่งกันส่องประกายแวววาว จนได้รับชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าเป็น ข้าวโพดสายรุ้ง เลยทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ว่าข้าวโพดอัญมณีแก้วเหล่านี้เป็นข้าวโพดจริง ๆ แถมยังนำมาทานได้จริง ๆ ด้วย
ข้าวโพดอัญมณีแก้ว
สำหรับต้นกำเนิดของ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว นั้นเริ่มขึ้นเมื่อ นายคาร์ล บาร์นส์ เกษตรกรชาวเชอโรคี ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอเมริกัน จากรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐฯ เริ่มสังเกตเห็นว่าบางครั้งข้าวโพดในไร่ของเขาจะมีสีของเมล็ดที่ดูต่างไปจากปกติ เขาจึงได้เริ่มอุทิศชีวิตเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดขึ้น จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จและสามารถเพาะพันธุ์ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว ที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องชื่นชมในความงดงามราวกับงานศิลป์มากกว่าจะเป็นเพียงธัญพืชของมัน
จากนั้น ในปี 2553 ก่อนที่นายคาร์ลจะสิ้นใจ เขาได้ฝากข้าวโพดอัญมณีแก้วที่เขาเคยเก็บไว้แก่ นายเกรก สโคน นักเพาะพันธุ์ข้าวโพดเพื่อฝากภารกิจในการปกป้องสายพันธุ์ข้าวโพดอันงดงามที่เขาค้นพบไม่ให้สูญหายไป ซึ่งความหวังของนายคาร์ลก็เป็นจริง อีกทั้งข้าวโพดอัญมณีแก้วก็ยังได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนมีสีสันที่ตางจากสายพันธุ์ดั้งเดิมออกมาหลากหลายสีด้วยกัน
ข้าวโพดอัญมณีแก้ว
จนกระทั่งในที่สุด เมล็ดพันธุ์ของข้าวโพดอัญมณีแก้วก็ถูกขายต่อให้แก่ นายบิล แม็คดอร์แมน เจ้าของบริษัทเมล็ดพันธุ์ ซีด ทรัส ในรัฐแอริโซนา นายบิลที่รู้สึกประหลาดใจกับชื่อแปลก ๆ ของข้าวโพดสายพันธุ์นี้จึงได้ลองนำเมล็ดบางส่วนมาปลูกดูและต้องทึ่งกับข้าวโพดที่สวยงามไม่ซ้ำใคร เขาจึงนำเมล็ดพันธุ์ที่เหลือออกมาขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัท พร้อมลงรูปของข้าวโพดที่สวยที่สุดสายพันธุ์นี้ไว้ด้วย ไม่ต้องสงสัยว่ามันก่อให้เกิดกระแสฮือฮาอย่างยิ่งในอินเทอร์เน็ต และเมล็ดพันธุ์ที่เหลือก็ถูกขายหมดอย่างรวดเร็ว ในทุกฤดูที่วางขาย
ทั้งนี้ นายบิลซึ่งก่อตั้งองค์กร Native Seeds/SEARCH ขึ้นเพื่อเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งอนุรักษ์มรดกทางการเกษตรจากกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน รวมถึงข้าวโพดอัญมณีแก้วนี้ด้วย ได้เผยว่า ข้าวโพดอัญมณีแก้วนี้เป็นข้าวโพดที่สามารถนำมารับประทานได้ แต่เนื่องจากมันเป็น ข้าวโพดหัวแข็ง (flint corn) จึงมักจะนำมาทำเป็นป๊อปคอร์นและแป้ง ไม่นำมาต้มทานกันเพราะคนไม่นิยมทานจากซังโดยตรง และเขาก็จำหน่ายมันอยู่ที่ราคาแพ็กละ 7.95 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 250 บาท)
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version