อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (5/85) > >>

sithiphong:
‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!



อย่าเข้าใจว่า ‘ใบบัวบก’ มีไว้ ‘แก้ช้ำใน’ อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ‘ใบบัวบก’ ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบและราก

ศุกร์นี้ ‘กินดี’ จึงหยิบเมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

เมนูอร่อยเพื่อสุขภาพ ท้าให้ลอง
takecaredd@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=68247

"บัวบก-ตะไคร้"ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง


Matichon Online: ˹ѧ

"บัวบก-ตะไคร้"ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง


http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=04

ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะนักวิจัยโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ถึงงานวิจัยบัวบกและตะไคร้พืชสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ว่า จากการทดสอบการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้ต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูขาว พบว่าสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้มีฤทธิ์ป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างดี โดยกลุ่มหนูขาวที่ถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หลังจากการได้รับสารก่อมะเร็งปนเปื้อนในอาหารประเภทปิ้งย่าง ตรวจพบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งขนาดใหญ่และมีเซลล์มะเร็งที่มีลักษณะเป็นเซลล์ร้ายและลุกลาม ขณะที่กลุ่มหนูขาวซึ่งได้รับสารสกัดจากใบบัวบกหรือตะไคร้ไม่ว่าก่อนหรือหลังถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งลดลงถึงร้อยละ 60 โดยเซลล์มีขนาดเล็กกว่าและไม่เกิดการลุกลาม

ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าวว่า ในสารสกัดบัวบกมีกรดอะเซียติก (Asiatic acid) ที่เป็นสารออกฤทธิ์ทำให้เซลล์มะเร็งเกิดการทำลายตัวเอง ส่วนสารสกัดจากตะไคร้นั้นพบสารสำคัญ คือ ซิทรอล (citral) ที่มีฤทธิ์หยุดวงจรการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกสำหรับคุณสมบัติข้อนี้ของตะไคร้ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังใช้เทคนิค HPLC fingerprint ในการกำหนดและควบคุมสารที่สกัดจากบัวบกหรือตะไคร้ให้มีปริมาณความเข้มข้นของสารสำคัญที่แน่นอน สม่ำเสมอ ปลอดภัย และได้มาตรฐานจึงเหมาะต่อการนำไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เนื่องจากสมุนไพรส่วนใหญ่โดยธรรมชาติมักจะมีปริมาณสารสำคัญเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล

"เพื่อให้สามารถกำหนดปริมาณในการบริโภคสารสกัดจากบัวบกหรือตะไคร้สำหรับป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิผล ทีมวิจัยยังได้เจาะเลือดหนูขาวมาทำการศึกษา วัดอัตราและขอบเขตการออกฤทธิ์ของสารออกฤทธิ์ภายหลังการป้อนสารสกัดมาตรฐานจากบัวบกหรือตะไคร้ โดยพบว่า หนูขาวสามารถดูดซึมสารสำคัญได้ในเวลา 10 นาที และเพิ่มปริมาณสูงสุดที่เวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นสารสกัดจะค่อยๆ ลดลงจนระทั่งหายไปจากซีรั่มภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้คำนวณสำหรับวางแผนวิจัยเชิงคลินิกในอาสาสมัคร สำหรับหาปริมาณการบริโภคที่เหมาะสมในมนุษย์ต่อไป" ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าว


ส้มโอมือ ผลไม้เก่าแก่ตระกูลส้ม
Travel - Manager Online

 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2553 15:31 น.
 
 
 
 
คนไทยสมัยก่อนคุ้นเคยกับส้มมือที่นำมาใช้ทำเป็นยาดม เรียกกันว่า 'ยาดมส้มโอมือ' ที่มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ใช้สูดดมบรรเทาอาการเป็นลม หน้ามืดตาลาย แต่เชื่อว่าคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้ว่ายาดมส้มโอมือทำมาจาก "ผลส้มโอมือ" ซึ่งเป็นผลไม้หายากในปัจจุบัน วันนี้"108เคล็ดกิน"จึงขอพาไปทำความรู้จักผลไม้ชนิดนี้กัน

ส้มโอมือ หรือ ส้มมือ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกส้ม พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน ผลรูปร่างแปลกกว่าส้มอื่น มีรูปร่างเรียวยาวห้อยลงมาเป็นแฉก ๆ คล้ายนิ้วมือ บ้างก็ว่าคล้ายลำเทียน ขนาดใกล้เคียงกับนิ้วมือผู้ใหญ่ หรือใหญ่กว่า

ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ผลมีผิวขรุขระ มีร่องแฉกคล้าย นิ้วมือกว่า 10 นิ้ว เมื่อสุกผลมีสีเหลืองสด ภายในผลสีขาว ไม่มีเมล็ด เปลือกหนาคล้ายฟองน้ำอย่างส้มโอ เนื้อแห้งไม่ชุ่มน้ำ ผิวเปลือกมีน้ำมันหอมระเหย กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นมะนาว

ส่วนเนื้อแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ มักไม่นิยมนำผลมารับประทานสดเหมือนส้มทั่วไป รสชาติจืดชืดไม่อร่อยแต่จะนำเปลือกไปใช้ประกอบในการปรุงอาหาร และทำยา เพราะมีสรรพคุณในการกระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ บำรุงตับ ทำให้เลือดลมดี ไปสกัดทำน้ำมันหอมระเหย แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลายเครียด ในประเทศจีนและญี่ปุ่นนิยมนำไปไว้ในห้องนอนและห้องน้ำเพื่ออบกลิ่น ขณะที่ในประเทศตะวันตกรู้จักสรรพคุณทางการแพทย์ของส้มโอมือมาช้านาน ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งชื่อส้มชนิดนี้เป็นภาษาละตินว่า medica
 
 

sithiphong:
สารพัดผักแก้ท้องผูก



หากการถ่ายทุกข์หนักหรือขับถ่ายอุจจาระของคุณจะเกิดขึ้นแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานราว 2-3 วัน ก็เข้าข่ายท้องผูก ส่งผลให้อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ขับถ่ายลำบาก เป็นนาน ๆ อาจลุกลามกลายเป็นริดสีดวง สร้างความทุกข์ทรมานให้ลมมันเย็น!...

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สัปดาห์นี้จึงคัดสรรสารพัดผักที่หารับประทานได้ง่าย ๆ เพื่อให้คุณผู้อ่านที่มีอาการท้องผูกซื้อหามารับประทานเพิ่มกากใยเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย

เริ่มจาก ‘มะเขือเทศ’ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ เพราะผักชนิดนี้ช่วยระบายท้อง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลดความดันโลหิต แถมยังรักษาอาการตาพร่ามัว ขณะที่ ‘เกาลัด’ ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารให้ทำงานได้ดี แก้ร้อนใน บำรุงม้าม

ส่วน ‘กะหล่ำปลี’ แก้ท้องผูกบำรุงผิว รักษาแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร ‘กุยช่าย’ ช่วยย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร แถมเสริมกำลังวังชา บำรุงพลังเพศ และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คงเป็น ‘มะละกอ’ เลือกรับประทานแบบค่อนข้างสุกงอมจัด มีสรรพคุณช่วยระบาย

เช่นเคยกับเมนูสุขภาพ ที่ครั้งนี้ขอแนะนำ ‘เครื่องดื่มจากมะขาม’ พืชอีกชนิดที่โดดเด่นในคุณประโยชน์ช่วยขับถ่าย สูตรนี้เลือกใช้มะขามเปียก ต้มกับน้ำ แล้วใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย กลายเป็นน้ำมะขาม ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เพราะถ้าดื่มมากเกินไป จากท้องผูกจะกลายเป็นท้องเสีย จู๊ด...จู๊ด!.

takecareDD@gmail.com
ภาพประกอบจาก www.herbsdetox.com
www.lifestyle.com.pk
www.indo-chine.com
www.odorunara.wordpress.com
www.banana-rite.co.uk
www.esquire.com

.
ที่มา เดลินิวส์
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > สารพัดผักแก้ท้องผูก


ประโยชน์จากโยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก

- เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย

- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

- โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5

- โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

- จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

- แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

- ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก

- เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง.

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ประโยชน์จากโยเกิร์ต

.

sithiphong:
ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง
ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

เอ่ยถึงโรคมะเร็งคงไม่มีใครอยากเป็น ด้วยความรู้สึกที่ว่าเป็นโรคที่น่ากลัว รักษาไม่หาย ใครเป็นแล้วจะต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ไปตลอดชีวิต ความทุกข์ทรมานจากมะเร็งร้ายนี้ ส่วนหนึ่งมาจากขาดการดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน แต่ถ้าหากรู้จักกินอย่างถูกหลักจะสามารถช่วยป้องกันการเกิดของโรคร้ายนี้ได้ 30-40 เปอร์เซ็นต์

นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ นวสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการโภชนาการกับการเกิดของโรคมะเร็งให้ฟังว่า ธรรมชาติที่จะเข้าสู่ร่างกายมีทั้งน้ำ อาหาร อากาศ ทุกอย่างมีทั้งที่เป็นประโยชน์และที่ทำให้เกิดโรคกับร่างกาย ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสมัยก่อนคนเราไม่ค่อยเป็นอะไรกันนัก นานๆ ทีถึงจะเป็นโรคมะเร็งสักคนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าอยู่แบบธรรมชาติ กินแบบธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งมากนัก วัตถุดิบค่อนข้างปลอดภัย แต่ในสมัยนี้อย่างไก่ทอด เราไม่ค่อยมั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงด้วยอะไรหรือปรุงด้วยอะไรบ้าง เพราะโดยทั่วไปเนื้อไก่ไม่ได้มีโทษ แต่สิ่งที่ใส่เข้าไปในเนื้อไก่ต่างหากที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อเกิดโรคได้

จริงๆ แล้วในแหล่งอาหารธรรมชาติที่เจอกันวันนี้จะมี 2 ส่วนด้วยกันที่ทำให้เกิดโทษ อาหารประเภทแรกที่สามารถก่อมะเร็งได้ คือ อาหารที่ราขึ้นได้ง่าย อย่างเช่น ถั่วลิสง กระเทียม แห้ง พริกป่น พริกแห้ง ซึ่งจะสร้างสารอัลฟาท็อกซิน ทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับได้ ต่อมา คือ พยาธิใบไม้ในตับ มาจากวิถีชีวิตที่ชอบกินปลาดิบ ก้อยดิบ ปลาจ่อม ซึ่งพยาธิใบไม้ตับจะชอบอาศัยอยู่ในอาหารเหล่านี้ แต่ถ้าทำให้สุกจะไม่เป็นอะไร เพราะพยาธิเหล่านี้จะตายเมื่อโดนความร้อน แต่คนที่ชอบกินแบบสุกๆ ดิบๆ จะได้รับไข่พยาธิเข้าไปฝังตัวในท่อน้ำดี เมื่อผ่านมาในระยะหนึ่งจะกลายเป็นมะเร็งในท่อน้ำดี

อาหารอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่อาหารธรรมชาติแต่เป็นอาหารที่ปรุงแต่งขึ้น ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้ว อาหารหลัก 5 หมู่ เป็นอาหารที่ดีที่สุด ปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด เริ่มตั้งแต่ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากพวกแหล่งธรรมชาติ เช่น ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัย มาที่ไขมันพบว่าไขมันที่ได้จากน้ำมันพืชจะปลอดภัยกว่าน้ำมันสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าทานอาหารนอกบ้านจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ไม่ค่อยได้
ส่วนโปรตีน อาหารประเภทเนื้อสัตว์พบว่า ในเด็กที่ยังโตไม่เต็มที่สามารถบริโภคโปรตีนได้ในปริมาณมากๆ แต่เมื่ออายุประมาณ 20-25 ปีขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงหรือทานโปรตีนน้อยลง เพราะเมื่อเราโตเต็มที่แล้วถ้ายังทานเหมือนเดิม ในสัดส่วนอาหารที่เท่าเดิม เราจะไม่สูงหรือเจริญเติบโตอีกแล้ว จะมีแต่พอกไว้แล้วออกด้านข้างแทน

"วัยเด็กอาจจะทานโปรตีนประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ แต่พออายุมากขึ้นจะลดลงเหลือ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่หายไปนั้นจะต้องเสริมด้วยผัก ผล ไม้ จะช่วยทำให้ร่างกายได้วิตามินโดยที่ไม่ต้องไปซื้ออาหารเสริม วิตามินเสริมทั้งหลายมาบริโภคเลย เพราะอาหารหรือวิตามินเสริมเหล่านั้นก็มาจากอาหาร 5 หมู่นั่นเอง

ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ลดลง เพราะร่างกายมีความต้องการน้อยลงแต่ยังต้องการโปรตีนอยู่ เพียงแต่โปรตีนที่ต้องการไม่ใช่โปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างเดียว อาจจะเปลี่ยนเป็นสัตว์เนื้อขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา และสัตว์น้ำ เพื่อให้เซลล์ผิวหนังอยู่ได้นาน เพราะเซลล์จะมีการ ซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งโปรตีนจะเป็นวัตถุดิบให้กับร่างกายนำไปสร้างเป็นเซลล์ภูมิต้านทานในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่างๆ รวมทั้งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จะใช้สื่อสารระหว่างเซลล์ในการควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีนจะเข้ามาช่วยในส่วนเหล่านี้"

ในส่วนวิตามินและเกลือแร่จะอยู่ในผักและผลไม้ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายมีเซลล์ที่ไม่แก่ มีความสดชื่น เพราะมีสารอนุมูลอิสระอยู่ในแหล่งผักผลไม้ธรรมชาติเหล่านี้ โดยผักที่มีประโยชน์มากจะอยู่ใน ผักใบเขียว รวมทั้งถั่ว แครอท ตระกูลเบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ รวมทั้งแอปเปิ้ล มะละกอสุก ฟักทอง ผลไม้ที่สีจัดๆ เพราะจะมีสารอนุมูลอิสระและมีวิตามินสูง

อาหารที่ทานกันทุกวันนี้ในท้องตลาดจะมีสิ่งหนึ่งที่ใส่เข้ามา คือ สารปรุงแต่งทั้งหลาย ซึ่งของปรุงแต่งจะมีตั้งแต่น้ำมันหมู น้ำมันพืชที่นำมาประกอบอาหาร

สารปรุงแต่งในส่วนที่เรียกว่า หมัก ดองเค็ม ซึ้งเนื้อปลาโดยธรรมชาตินั้นดีมีประโยชน์ แต่เมื่อมีการนำไปปรุงแต่งขึ้น อย่างปลาเค็มในกระบวนการหมักจะมีการใส่สารไนเตรตที่สามารถเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในร่างกายได้ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ถูกนำมาใช้เป็นสารกันเสียในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ปลาช่อนแห้ง เนื้อเค็ม เนื้อกระป๋อง หมูแฮม เบคอน แหนม จะไปก่อมะเร็งในทางเดินอาหารด้านบนบางส่วนจะมีผลต่อมะเร็งโพรงจมูกได้อีกด้วย

อีกจำพวกหนึ่ง คือ อาหารประเภทปิ้ง ย่าง ที่มีลักษณะเกรียมๆ ดำๆ ซึ่งจะมีสารเฮทเทอโรไซคลิกเอมีนที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่สามารถยับยั้งสารนี้ได้เมื่อนำอาหารไปทอดเสร็จแล้วอย่างกุนเชียง ไส้กรอก ให้ใช้มะนาวบีบลงบนส่วนที่กรอบ ๆ เกรียม ๆ จะช่วยสกัดกั้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้

รวมถึงอาหารประเภทรมควันต่างๆ ซึ่งจะมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงอาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็ง ต่อมลูกหมาก "ซึ่งอาหารที่กล่าวมานั้นนานๆ ทานที่ได้ เพราะร่างกายคนเราเหมือนกับ กทม.ที่มาเก็บขยะได้ทัน แต่ถ้าทานบ่อยครั้งร่างกายก็ขับออกได้ไม่ทัน" นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ แนะนำ

โรคมะเร็งส่วนใหญ่จะเป็นกันเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากมี การสะสมมาเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายรับไม่ได้ ก็จะแสดงอาการออกมา ถ้ายังบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็งต่อจะทำให้อาการทรุด ลง คนที่ไม่ได้เป็นก็ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะปลอดภัยจากโรคมะเร็ง ทุกคนมีสิทธิเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น เพียงแต่ความต้านทาน ของแต่ละคนไม่เท่ากัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ จะต้องระวังและหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวก่อมะเร็ง ทั้งหลาย

นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "อย่ากินเพราะอร่อย ทานให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัยเพราะความต้องการสารอาหารของแต่ละวัยไม่เท่ากัน โดยกินอาหารให้หลากหลาย อย่ากินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นประจำ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ และหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษจากอาหาร อาหารปรุงแต่งทุกชนิดที่เติมเข้าไปให้สีสันน่าทาน รสชาติถูกปากให้ประโยชน์แค่เพียงความอร่อยที่มีแค่บนลิ้นเท่านั้น และถ้ายังสร้างกิเลสไว้บนลิ้นมากๆ เราก็จะไม่ได้คุณค่าอะไรจากอาหารจานนั้น เป็นเพียงความรู้สึกที่อร่อยชั่วครู่เดียว สิ่งที่ปรุงแต่งเหล่านั้นอาจเป็นโทษกับร่างกาย อย่าไปหลงกับรูป รสชาติมากเกินไป"

ถ้าไม่อยากทรมานด้วยโรคมะเร็งร้าย ก่อนทานอะไรคิดสักนิด... แล้วชีวิตจะยืนยาว

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
HYPERLINK "http://www.bangkokhospital.com
HYPERLINK "http://www.bangkokhealth.com

sithiphong:
แก้วนี้ดื่ม ‘แก้หวัด’


คอลัมน์ใส่ใจสุขภาพกับอาหารการกิน อย่าง ‘กินดี’ แลเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังป่วยด้วยโรคหวัด เนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสาช่วงหน้าฝน วันนี้จึงเตรียมเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณแก้โรคหวัด บรรเทาอาการฮัดเช้ย....

เครื่องดื่มสูตรนี้ ประกอบไปด้วย ‘แตงโมเหลือง’ อุดมด้วยเบตาแคโรทีน ช่วยชะล้างของเสียในไต ลดความดันโลหิต ต่อมาเป็น ‘องุ่นเขียว’ เปี่ยมด้วยฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี1 บี2 และวิตามินซี กรดไฟโคเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหาร ช่วยล้างพิษ และขับปัสสาวะ

พระเอกของสูตรนี้ คือ ‘กีวี’ มีแมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ที่รวมพลังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย และควรรับประทานในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง

ส่วนผสมของเครื่องดื่มแก้หวัด ประกอบด้วย...
แตงโมเหลือง 2 ถ้วย
องุ่นเขียว 1 ถ้วย
กีวี 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากนำกีวีไปปอกเปลือกออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นแว่น ๆ ส่วนแตงโมเหลืองหั่นเป็นชิ้น ๆ พอประมาณโดยไม่ต้องทิ้งเมล็ด และองุ่นเขียวผ่าครึ่งใช้ทั้งเมล็ด จากนั้นนำผลไม้ทั้งสามชนิดไปปั่นรวมกันด้วยเครื่องปั่น สกัดเอาแต่น้ำ เมื่อได้แล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็งเพื่อความเย็นสดชื่นได้ หากไม่มีอาการระคายคอหรือไอร่วมด้วย.

takecareDD@gmail.com

ภาพประกอบจาก
www.narenandjacobgotoleblonbeach.com
www.ecvv.com
www.realsimple.com
www.vegetableseed.net


ที่มา Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > แก้วนี้ดื่ม ‘แก้หวัด’


กิน"หมูยอ" ระวังสารกันบูด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กรกฎาคม 2553 15:11 น.
 
 
 
 
เมื่อหลายวันก่อน "108เคล็ดกิน" นั่งดูข่าวทางโทรทัศน์ เรื่องที่ทางสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา ได้เตือนภัยเกี่ยวกับการกินหมูยอดิบ อาจจะมีอันตรายอาจถึงตาย เพราะเสี่ยงรับสารพิษตกค้างจากหมูยอ

เลยถือโอกาสหาข้อมูลมาฝากกันว่า แท้ที่จริงแล้วใน"หมูยอ" แทบทุกยี่ห้อที่เรา ๆท่านๆ บริโภคกันอยู่นี้ใส่ "สารกันบูด" แทบจะทุกยี่ห้อ เพราะหมูยอมีส่วนผสมหลักคือ "เนื้อหมู"และอากาศบ้านเรามีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มาก ดังนั้นจึงเลี่ยงสารกันบูดไม่ได้

สารกันบูดในหมูยอที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายคือ "กรดเบนโซอิค" และ "กรดซอร์บิก" เพื่อถนอมไม่ให้หมูยอเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค การผสมสารกันบูดนี้ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ทำได้ แต่ต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เพราะถ้าใส่มากกว่านั้น จะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค

แต่อย่างไรก็ตามเราอจจะมีโอกาสพบเจอหมูยอที่ไม่ได้มาตราฐานและส่งผลร้ายต่อร่ายกายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหมูยอที่ห่อด้วยพลาสติก และสังเกตวันที่หมดอายุ เพราะในอาหารเหล่านี้จะมีสปอร์ เมื่ออยู่ในภาวะที่ไร้อากาศ และความเป็นด่าง สปอร์จะงอกและผลิตสารพิษ Clostridium botulinum ออกมา หากรับประทานหมูยอที่มีพิษเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากจะรับประทานให้เลือกหมูยอที่ห่อด้วยใบตองจะปลอดภัยกว่า หรือควรนำหมูยอที่ซื้อมาไปลวกก่อนกินทุกครั้ง เพราะสามารถลดปริมาณสารกันบูดได้
 
 

Travel - Manager Online

sithiphong:
วิธีตัดพิษเมื่อกิน "บอน"
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2553 13:29 น.
 
 
 
 
อันว่าน้ำใจหญิงเหมือนดั่งน้ำกลิ้งบนใบบอน หมายถึงใจโลเลไปมา คำกล่าวนี้จะจริงเท็จอย่างไร "108เคล็ดกิน" ไม่รู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆก็เรื่องของ "บอน"

บอน หรือ ต้นบอน เป็นพืชชนิดหัว อยู่ในตระกูลของเผือก มีทั้งบอนหวานและบอนคัน ขึ้นในที่ลุ่มตามห้วย หนอง คลอง บึง ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ส่วนบอนคัน มี Calcium oxalate ทำให้คัน ใบแก่มีมากกว่าใบอ่อน ก่อนการปรุงเป็นอาหารจึงต้องต้มเคี่ยวและคั้นน้ำทิ้งก่อน 2-3 ครั้ง หรือใช้วิธีเผาก่อน แล้วจึงต้มน้ำและคั้นน้ำออก

เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร มักใส่พืชที่มีรสเปรี้ยวลงไปด้วย เพื่อช่วยตัดพิษคันของบอน เช่น ส้มป่อย ยอดมะขาม น้ำมะกรูด เป็นต้น ชาวบ้านทางเหนือมีวิธีสังเกตบอนหวานและบอนคัน คือ ที่ใบและต้นของบอนหวานจะมีสีเขียวสดหรือเขียวคล้ำ ไม่มีนวล ส่วนใบของบอนคันจะมีสีเขียวนวลและมีนวลเกาะอยู่ตามก้านใบ และดอกของบอนหวานจะมีแมลงตอม แต่บอนคันไม่มี

"รากบอน" มีสรรพคุณทางยาโดยให้นำรากบอนมาต้มน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ใครไม่เคยลิ้มรสบอนก็ลองหามาปลูกมากินดู
 
 

Travel - Manager Online


เสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วย “หญ้าปักกิ่ง”
Travel - Manager Online - ��������Ԥ����ѹ�ä���� �˭�һѡ��觔

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์27 กรกฎาคม 2553 17:32 น.

 

หญ้าปักกิ่ง เกิดเป็นต้นหญ้าใครว่าไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ “108เคล็ดกิน” ขอเถียงสุดใจขาดดิ้น เพราะต้นหญ้าที่หลายคนมองข้ามบางทีก็อาจจะเป็นยาวิเศษ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้เช่นกันอย่างเช่น “หญ้าปักกิ่ง” นี่อย่างไร

หญ้าปักกิ่ง หรือในชื่อภาษาจีนว่า เล้งจือเช่า หรือ หญ้าเทวดา เป็นไม้ล้มลุก ใบ หนาเรียวคล้ายใบไผ่ ฉ่ำน้ำดอกเล็ก ๆ ออกที่ปลายต้น สีบานเย็น กลีบขาวแกมม่วง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น

การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสง

ในชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรรักษาโรคมาเป็นเวลาหลายพันปี ใช้บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลย์ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การกินหญ้าปักกิ่งมีหลากหลายวิธีแต่ที่ง่ายสุดก็คือ กินหญ้าปักกิ่งสดๆ หรือปรุงเป็นอาหารจิ้มน้ำพริกกินก็ได้ แต่ต้องล้างให้มั่นใจว่าสะอาดจริงๆและข้อควรระวังไม่ควรกินของแสลง ซึ่งมีผลให้ฤทธิ์การรักษาโรคของหญ้าปักกิ่งอ่อนลง เช่น ฟักแฟง แตงกวา มะระ หัวไชเท้า


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version