อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
“ไข่” ใครว่าไม่ดี
-http://men.sanook.com/1496/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5/-
เรือง: DR. Kris
คุณผู้ชายหลายท่านไม่ถูกกับการทานไข่ โดยเฉพาะคนที่มีไขมัน ความดัน หรือ คลอเรสเตอรอลสูง เพราะต่างก็เข้าใจว่า ไข่เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดปกติเหล่านั้น แต่ไฉนเลย ไม่ว่าจะสูตรลดน้ำหนักไหนๆ ที่ได้ยินมา ก็มักจะมีไข่อยู่ด้วยเสมอ แถมนักกีฬาหุ่นดี ล่ำบึ้ก ยังบอกว่าต้องทานไข่กันแทบทุกมื้อ แล้วมันยังไงกันแน่ ตกลงทานได้ทานไม่ได้ ทานแล้วจะอ้วนมั้ย วันนี้เรามีคำตอบมาให้ครับ
ความเชื่อผิดๆ
ในอดีต เชื่อกันว่า ไข่ เพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางสู่โรคหัวใจ เพราะไข่แดงในไข่ 1 ฟอง มีปริมาณไขมันถึง 5 กรัม จึงไม่แปลกที่บรรดานักโภชนาการจะคิดไปว่าไขมันจำนวนดังกล่าวจะไปอุดตัดหลอดเลือด ซึ่งอันที่จริงแล้วใน 5 กรัมนั้นมีส่วนของไขมันดีรวมอยู่ด้วย และอันที่จริงแล้ว คลอเลสเตอรอล ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ร่างกายคนเราต้องการคลอเลสเตอรอล เพื่อรักษาเซลล์ กระตุ้นการทำงานของเส้นใยประสาท และผลิตวิตามินดี ซึ่งไข่ประกอบด้วย คลอเลสเตอรอล 200 มิลลิกรัม ในแต่ละวัน ร่างกายต้องการคลอเรสเตอรอลจากอาหารวันละ 300 มิลลิกรัม ดังนั้นการกินไข่มีผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดเพียงเล็กน้อย และบางครั้งการกินไข่ อาจไม่มีผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดมากเท่ากับการกินเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันชนิดอิ่มตัวสูงนะครับ
ประโยชน์จากไข่
ไข่ให้คุณค่าทางสารอาหาร ไม่ได้แค่มีไขมัน (ในไข่แดง) และโปรตีน (ในไข่ขาว) เท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ดังนี้
วิตามิน A ดีกับผิวและการเจริญเตอบโตของร่างกาย
วิตามิน D สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกด้วยการเพิ่มการดูดซึมแคลเซี่ยม
วิตามิน E ปกป้องเซลล์จากปฏิกริยาออกซิเดชัน
วิตามิน B1 ช่วยให้การปดปล่อยพลังงานจากคอร์โบไฮเดรตเป็นไปอย่างเหมาะสม
วิตามิน B2 ช่วยปลดปล่อยพลังงานจากโปรตีนและไขมัน
วิตามิน B6 ส่งเสริมกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของโปรตีน
วิตามิน B12 วิตามินที่สำคัญในการสร้างตัวของเส้นใยประสาทและเซลล์เลือด
ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
สังกะสี ดีสำหรับการสร้างความเสถียรของเอนไซม์และการเติบโตทางเพศ
แคลเซี่ยม แร่ธาตุสำคัญในการสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
ไอโอดีน ควบคุมฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์
ทานไข่อย่างไร
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เด็ก ๆ ควรรับประทานไข่วันละ 1 ฟอง วัยหนุ่มสาวควรบริโภคไข่ไก่วันละ 2 ฟอง ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรบริโภคไข่ไก่ไม่เกิน วันละ 1 ฟอง แต่สำหรับชายวัยฉกรรจ์ ไข่ไก่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย ช่วยให้พลังงานกับร่างกายอย่างเต็มที่ และไข่ไก่ยังช่วยทดแทนพลังงานที่ร่างกายสูญเสียไป ควรทานตามปริมาณที่แนะนำ ไม่ควรทานเกินกว่านี้ เพราะถึงแม้ว่าไขมันในไข่แดงจะไม่ได้ส่งผลกับคลอเรสเตอรอลในเลือดโดยตรง แต่อาจสร้างปัญหาอื่นๆได้ และด้วยภาวะในปัจจุบันนี้ ไม่แนะนำให้ทานไข่ดิบ เพราะ เชื้อโรคต่างๆในโลกเราน่ากลัวและรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะไข้หวัดนกสารพัดสายพันธุ์ที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นว่าเล่น ดังนั้นควรทานไข่สุก เพราะเชื่อโรคจะถูกกำจัดที่อุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส
ข้อควรระวัง
การบริโภคไข่ดิบ หรือไข่เน่าเสีย จะทำให้เกิดอาการ อาหารเป็นพิษได้ สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา ดังนั้น ควรปฏิบัติกับไข่ที่จะนำมาบริโภคดังนี้
1. ควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็น เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
2. ควรบริโภคไข่ให้หมดภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากซื้อ
3. ล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังสัมผัสไข่
4. เช็ดเปลือกไข่ที่สกปรกให้สะอาด
5. ไม่ควรบริโภคไข่ที่เปลือกไข่แตก บุบ ร้าว
6. ไม่บริโภคไข่ที่หมดอายุ หากไม่แน่ใจ ให้ทดสอบโดยนำไข่ไปลอยน้ำ หากไข่จมแสดงว่าไข่ยังสดอยู่ แต่ถ้าลอยหรือมีกลิ่นแสดงว่าไข่เน่าเสีย
sithiphong:
จากพืชป่าพื้นบ้าน “หมากเบน-หมากหลอด”สู่ยอดน้ำผลไม้รสอร่อย เพื่อสุขภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤศจิกายน 2556 10:02 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000137828-
น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ ดื่มดีเพื่อสุขภาพ
ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่ามีผู้คนหันมาให้ความสนใจและใส่ใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งเชื่อได้ว่าทุกคนต่างต้องเลือกสรรหาอาหารที่ดี มีประโยชน์ ให้แก่ร่างกายด้วยกันทั้งนั้น
เราจึงอยากขอนำเสนอให้ผู้ที่ใส่ใจและรักสุขภาพทุกคน มาทำความรู้จักกับน้ำผลไม้พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ที่มีชื่อว่า “หมากหลอดเบอร์รี่” และ “หมากเบนเบอร์รี่” ที่ถ้าใครมีโอกาสเดินทางมาเยือนยัง อ.สังคม จ.หนองคาย แนะนำว่าไม่ควรพลาดเครื่องดื่ม 2 ชนิดนี้ ซึ่งกำลังเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ได้ทำออกมาขายเป็นน้ำผลไม้พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ
ดร.อรุณศรี อื้อศรีวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ
ดร.อรุณศรี อื้อศรีวงศ์ ประธานสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี หัวหน้าโครงการวิจัยพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างบูรณาการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนพื้นที่เชิงเขาสู่ชายโขง อ.สังคม จ.หนองคาย ผู้ที่ได้ทำการวิจัยเรื่อง “หมากหลอด” และ “หมากเบน” ให้ข้อมูลว่าพืชทั้งสองชนิด เป็นไม้เถา และเป็นผลไม้พื้นบ้านที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก จะมีแต่ทางภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนเท่านั้น เพราะต้นหมากหลอดและหมากเบน จะเกิดได้เฉพาะพื้นที่ใกล้ภูเขา อากาศร้อนชื้น
ดร.อรุณศรี อธิบายว่า “หมากหลอด” ( ELAEAGNUS LATIFOLIA) เป็นผลไม้พันธุ์พื้นเมือง พบมากบริเวณพื้นที่มีภูเขาล้อมรอบ บริเวณที่มีความชื้นสูง บริเวณที่พบมากคือ อ.สังคม จ.หนองคาย และพื้นที่ภาคเหนือ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ผลหมากหลอดจะเริ่มสุกงอมสังเกตจากสีของผลหมากหลอดจะมีสีเหลืองอมเขียว และพัฒนาสีไปจนกระทั่งผลมีสีแดงอมส้ม ซึ่งหมากหลอดพบในพื้นที่กึ่งป่า ในบริเวณพื้นที่ต.ผาตั้ง ต.นางิ้ว ต.บ้านม่วง และตำบลอื่นๆ
ต้นหมากหลอด
ทั้งนี้จากการสำรวจพื้นที่เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้พบต้นหมากหลอดที่ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมและผลสุกในช่วงเดือนมีนาคม ชุมชนบ้านปากโสมลำภูพานจึงเกิดแนวคิดในการแปรรูปผลผลิตจากผลหมากหลอดที่มีจำนวนมากและผลสุกจะร่วงลงพื้นเกลื่อนพื้นดิน และจากการศึกษาวิจัยได้ค้นพบว่าหมากหลอดและหมากเบน เป็นผลไม้ที่มีสารที่มีคุณค่ามากมาย สามารถนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้พร้อมดื่มได้ จึงได้ทดลองและลงมือทำการแปรรูป ออกมาเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ “หมากหลอดเบอร์รี่” และ “หมากเบนเบอร์รี่” ซึ่งทำให้ชุมชนมีแนวคิดในการพัฒนาสู่การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฐานทรัพยากรเพื่อการท่องเที่ยว ผลผลิตที่ได้ทำให้เกิดมูลค่าทำให้เกิดรายได้ อีกทั้งจากการแปรรูปยังนำไปสู่การเรียนรู้ของชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับคุณประโยชน์ของหมากหลอด นั้นมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย ดร.อรุณศรีบอกว่า หมากหลอดมีสารที่เรียกว่าสารโพลีฟีนอล คือสารที่สามารถช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้ ขับสารที่ไม่พึงประสงค์ และในตัวหมากหลอดยังมีวิตามินเอ มากที่สุด รองลงมาคือ วิตามินอี วิตามินซี และยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะมีประโยชน์ มีผลดีต่อสุขภาพแก่ผู้สูงอายุมาก มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูง มีเกลือแร่ และมีกรดไขมันดูดซับไขมันได้ดี
ผลของหมากหลอด
“หมากหลอดมีวิตามินเออยู่มากที่สุด เรากำลังจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทาหน้าบำรุงผิว ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของการทดลอง โจทย์ของเราก็คือว่า วิตามินเอโดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับผิวพรรณ เราก็เลยเอาน้ำหมากหลอดที่ส่วนหนึ่งที่เราคั้นมาสกัดด้วยไอน้ำ แล้วก็นำมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วก็ใช้สำหรับทาใบหน้า ตอนนี้ก็ได้ผลดี เพราะผิวที่แห้งหยาบๆ ของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เขาทำนาก็มีความชุ่มชื่นขึ้น เพราะฉะนั้นปีหน้าเราก็จะผลิตผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นมาอีกตัว” ดร.อรุณศรี กล่าว
ส่วน“หมากเบน” เป็นผลไม้พันธุ์พื้นเมือง พบในพื้นที่หัวไร่ปลายนาและพื้นที่ป่าโปร่ง ออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคม หมากเบนมีคุณสมบัติที่ดี มีธาตุเหล็กสูง เหมาะสำหรับสุภาพสตรี มีวิตามินซีสูง สามารถป้องกันโรคความดันได้
หมากหลอดเบอร์รี่พร้อมดื่ม
ดร.อรุณศรี อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันนี้ต้นหมากหลอด คือพืชที่อยู่ในป่า แต่ตอนนี้ได้มีการนำเอามาขยายพันธุ์ ให้ชาวบ้านในชุมชนปลูกเอง ทำให้เกิดเป็นธนาคารหมากหลอดขึ้นมา หมายถึงการออกดอกออกผลของต้นหมากหลอด ซึ่งในปีนี้อยู่ในช่วงทำการทอดลองปลูก สามารถขยายพันธุ์ได้ 100 กว่าต้นแล้ว และในปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ไว้ว่าในปีหน้าจะมีต้องมีการปลูกต้นหมากหลอดได้ทุกหลังคาเรือน
“ตอนนี้ชาวบ้านในชุมชน มีความภาคภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น เขาสามารถปลูกมันให้มีลูก และนำมันมาแปรรูป สามารถนำมาขายได้ ได้รายได้เพิ่มขึ้น แล้วชาวบ้านเขาก็ดื่มเองด้วย เพราะว่าเขาถือว่ามันมีคุณค่า ที่ผ่านมาเขาอาจจะไม่ค่อยใส่ใจ แต่ตอนนี้เขาบอกว่ามันดูแลสุขภาพได้”
“ในปีหน้าเรามีเป้าหมายคือ บ้านปากโสม-ลำภูพาน จะต้องมีต้นหมากหลอดทุกหลังคาเรือน อันนี้คือเป้าหมายของกลุ่มที่ตั้งไว้ เพราะว่าจะมีโฮมสเตย์ท่องเที่ยวด้วย เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจะได้รู้จักต้นหมากหลอด ได้มาเรียนรู้วิธีการทำหมากหลอด แปรรูปหมากหลอด ว่าเป็นอะไรอย่างไร” ดร.อรุณศรี บอก
น้ำหมากเบนเบอร์รี่ดื่มดีต่อสุขภาพ
สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ได้ดำเนินการทำการแปรรูปน้ำหมากหลอดเบอร์รี่และหมากเบนเบอร์รี่ นี้มาได้ 1 ปีแล้วปัจจุบันนี้มีสมาชิกอยู่ในกลุ่มจำนวน 50 คน
โดยหนึ่งในสมาชิก คือ นวลละออง วิภูษณะ ได้อธิบายให้ฟังถึงการทำน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ ว่า ทางกลุ่มวิสาหกิจฯ จะติดต่อกับชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนที่มีต้นหมากหลอดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ และจะรับซื้อหมากหลอดที่สุกแล้วจากชาวบ้านมา ในกิโลกรัมละ 10 บาท เมื่อได้หลมากหลอดมาแล้วก็จะนำมาผ่านขั้นตอนการแปรรูป โดยนำหมากหลอดมาล้างน้ำทำความสะอาดผสมกับเกลือ 3 - 4 ครั้ง จนสะอาด แล้วใส่ตะแกรงพักไว้ จากนั้นนำมาใส่เครื่องปั่นหรือเครื่องบดขนาดใหญ่ ปั่นให้ละเอียด
ต่อจากนั้นจึงนำมาต้มกับน้ำในอัตราส่วนที่กำหนดไว้ ต้มจนเดือดในอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เมื่อเดือดได้ที่แล้วก็ยกลงนำมากรอง แยกน้ำและกากออกจากกัน แล้วก็นำน้ำที่ได้นั้นมาต้มต่ออีกรอบ ใส่ส่วนผสมอย่างน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้ แล้วก็คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ต้มจนเดือดอีกครั้ง ก็เป็นอันว่าได้น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ หมากเบนเบอร์รี่ ที่พร้อมกรอกใส่ขวดแก้วที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว
ผลของหมากเบน
“การทำน้ำหลากหลอด ส่วนที่เป็นกากของมัน เราก็ไม่ได้ทิ้ง ยังนำมาทำเป็นแยมหมากหลอด ทอฟฟี่หมากหลอด ส่วนของเมล็ดหมากหลอดนำมาทำเป็นชา โดยการนำเมล็ดมาคั่วและบด และยังมีหมากหลอดไซเดอร์ การทำก็เหมือนหมากหลอดเบอร์รี่ แต่จะใส่น้ำผึ้งเพิ่มเติมด้วย มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม คนสูงอายุชอบดื่ม และหมักนาน 1 ปี ได้หมากหลอดไซเดอร์มีความเข้มข้นมากกว่าหมากหลอดเบอร์รี่ แล้วที่นี่ยังมียังมีน้ำมะขามป้อมอีกตัวก็เป็นที่นิยม เพราะเป็นผลไม้ที่เป็นสมุนไพรจากธรรมชาติ” นวลละออง บอก
สำหรับราคาขายของน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี้ ที่ชาวบ้านทำออกมาขายตอนนี้อยู่ในช่วงโปรโมชั่น ราคา 3 ขวด 100 บาท ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ที่พร้อมดื่มได้เลย หรืออย่างน้ำหมากเบนเบอร์รี่หากใครจะนำไปผสมกับโซดาดื่มก็ได้ เพราะโซดาจะช่วยลดความเฝื่อน และทำให้มีความซ่าอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากใครสนใจตอนนี้ชาวบ้านยังไม่ได้นำออกมาวางขายตามท้องตลาดทั่วไป จะมีไปฝากขายไว้ที่รีสอร์ทบ้านไม้ริมโขง หรือถ้าใครอยากซื้อก็สามารถติดต่อไปได้ที่ศูนย์วิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน
ต้นหมากเบน
“เราอยากชวนให้พี่น้องคนไทยที่รักสุขภาพและรักธรรมชาติ มาเที่ยวสัมผัสกับความเงียบสงบและความบริสุทธิ์ของ อ. สังคม จ.หนองคาย เมื่อมาแล้วก็จะได้มาดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะสุภาพสตรี มาดูแลสุขภาพผิวพรรณ ด้วยวิตามินเอสกัดจากหมากหลอด มาดื่มน้ำผลไม้ น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ น้ำหมากเบนเบอร์รี่ เพื่อสุขภาพที่ดี” ดร.อรุณศรี กล่าวทิ้งท้าย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สำหรับผู้ที่สนใจน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ สามารถติดต่อไปได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ซึ่งในอนาคตทางกลุ่มยังได้รวมตัวกันจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างบูรณาการ “จากเชิงเขาสู่ชายโขง” ด้วย โทร. 08-4742-0461, 08-9245-4219
sithiphong:
ลองลดน้ำหนักด้วยเต้าหู้ดูสิ
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B4/-
หนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า เต้าหู้ (TOFU) คือถั่วเหลืองที่โม่เป็นแป้งแล้วทำเป็นแผ่น ๆ ใช้เป็นอาหาร มี 2 ชนิด คือ เต้าหู้ขาวและเต้าหู้เหลือง เต้าหู้มีเนื้อนิ่ม รสจืด เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน ซึ่งอยู่ระหว่าง 206 ปี ก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 220
ปัจจุบันเต้าหู้เป็นอาหารโปรตีนสำคัญในการทำอาหารของผู้คนแถบเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต้าหู้ทำจากถั่วเหลือง เริ่มด้วยการแช่เมล็ดถั่วเหลืองในน้ำ นำไปบดแล้วต้มเพื่อทำเป็นนมถั่วเหลืองและน้ำเต้าหู้ข้น ๆ จากนั้นเติมสารที่ทำให้แข็งตัว ซึ่งจะแยกเอาส่วนที่เป็นเนื้อออกจากกัน เนื้อเต้าหู้ที่ได้จะตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหล่อน้ำไว้
คุณประโยชน์มากมายของเต้าหู้ อาทิ ช่วยบำรุงกำลังและช่วยให้อวัยวะในระบบย่อยอาหารแข็งแรงขึ้น ช่วยถอนพิษ ลดไข้ ขจัดอาการกระหายน้ำ ป้องกันความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัวและป้องกันการสะสมไขมันบริเวณตับ ที่สำคัญ เต้าหู้ยังช่วยป้องกันโรคอ้วนได้อีกด้วย เนื่องจากมีแคลอรีน้อย
เต้าหู้นอกจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีแล้ว ในเต้าหู้ยังมีสารเลซิทิน (LECITHIN) เป็นสารชนิดหนึ่งในประเภทฟอสฟอลิพิด (PHOSPHLIPID) มีความสำคัญในโครงสร้างเซลล์และเมแทบอลิซึม ประกอบด้วย ฟอสเฟต โคลีน กลีเซอรอล ในฐานะเอสเตอร์และกรดไขมันสองชนิด คู่กรดไขมันต่าง ๆ ทำให้แบ่งแยกเลซิทินต่าง ๆ กันได้ ซึ่งเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกย่อยเป็นโคลีน
โคลีน (CHOLINE) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่สัมพันธ์กับวิตามินในแง่กิจกรรม พบอยู่ในตับและลำไส้ เยื่อบุผิวลำไส้ ต่อมหมวกไตชั้นนอก โคลีนมีความสำคัญในเมแทบอลิซึม โดยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของลิพิดที่ประกอบขึ้นเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ และยังสำคัญในแง่เป็นแหล่งวัตถุดิบทางเคมีสำหรับเซลล์ และในการลำเลียงไขมันจากตับ มักถูกจัดเป็นประเภทเดียวกับวิตามินบี เพราะมีหน้าที่และกระจายตัวในอาหารคล้ายกัน
เต้าหู้ กินได้ทุกเพศทุกวัย แต่จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ เช่น เด็ก คนชรา
ที่มาข้อมูลและรูปภาพ trueplookpanya.com
sithiphong:
แนะกิน “ไข่ต้ม” ไขมันน้อยกว่า “ไข่ดาว” ยันไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2556 18:55 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000140522-
สธ.ยันไม่มีงานวิจัยชี้ชัดว่า “กินไข่” ทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด แนะควรกินไข่ทุกวันสำหรับเด็กอายุ 7 เดือนขึ้น ผู้ใหญ่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ ชี้กินร่วมกับผักผลไม้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เตือนเลี่ยงกินกับเบคอน ไส้กรอก ชูไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไขมันน้อยกว่า ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่า หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย เพราะนอกจากจะให้โปรตีนที่สมบูรณ์แล้ว ยังมีไขมัน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินดี และเลซิตินที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งการปรุงอาหารประเภทไข่สามารถทำได้ง่ายและสารพัดเมนู หากให้เด็กอายุตั้งแต่ 7 เดือนเต็มขึ้นไปจนถึงวัยเรียนกินไข่วันละ 1 ฟอง ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรกินไข่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ ส่วนกลุ่มคอเลสเตอรอลสูง อาจกินสัปดาห์ละ 1-2 ฟอง หรือกินแต่ไข่ขาว หรือตามคำแนะนำของแพทย์ ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดี
นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ผู้บริโภคควรกินไข่ควบคู่กับอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อ โดยให้มีอาหารประเภทแป้ง ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผักและผลไม้สด จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันส่วนเกินให้เป็นปกติ ซึ่งกากใยอาหารที่ได้รับจากการกินผักและผลไม้จะช่วยดูดซับสารที่ช่วยทำให้ไขมันมีขนาดเล็กลงบางส่วนที่อยู่ในทางเดินอาหารออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำไขมันไปใช้ได้ ทำให้ลดการส่งผลที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่พ่อแม่ต้องการให้เด็กได้กินไข่ทุกวัน และไม่เบื่อนั้นควรใช้วิธีการประกอบอาหารที่มีการใส่ผักลงไปในไข่ ยังเป็นการจูงใจให้เด็กกินผักได้อีกทางหนึ่ง แทนที่จะเป็นผักล้วนๆ ก็ควรปรุงไปกับไข่ เช่น ไข่เจียว หรือไข่ตุ๋นใส่ผักสับละเอียด โดยจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายแก่เด็ก
“ที่สำคัญควรเลี่ยงการกินไข่ดิบ เพราะถ้าไข่ไม่สุกอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และไข่ขาวที่ไม่สุกจะขัดขวางการดูดซึมไบโอติน ทำให้ย่อยยากจึงได้รับประโยชน์ ไม่เต็มที่ การบริโภคไข่ควรบริโภคในรูปแบบไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ จะมีประมาณไขมันน้อยกว่าไข่ดาว ไข่เจียว และไข่ลูกเขย การปรุงอาหารควรใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว อาจกินเป็นสลัดไข่ ยำไข่ เพราะจะทำให้ได้สารจากไข่ และได้ไฟเบอร์และวิตามินซีจากผัก และผลไม้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ขนมปังไข่ดาวใส่เบคอน หรือไส้กรอก เพราะจะได้รับปริมาณไขมันสูงมากจากเบคอน น้ำมันที่ใช้ทอด และเนยที่ทาขนมปัง สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันที่ไม่สามารถทานอาหารโปรตีนอื่นได้ โดยแนะนำให้ให้กินไข่เป็นแหล่งของโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ ในคนสูงอายุถ้ามีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูงในบางมื้ออาจหลีกเลี่ยงการกินไข่แดง
“สำหรับความเชื่อที่ว่าไข่มีคอเลสเตอรอลสูง ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น โรคหัวใจ ซึ่งการหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายมีคอเลสเตอรอลสูงไม่ได้อยู่ที่การลดหรืองดกินไข่ แต่ผู้บริโภคต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดไขมันส่วนเกินและควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ และควรตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อควบคุมและป้องกันปริมาณส่วนเกินของไขมันในเลือด ที่สำคัญยังไม่มีงานวิจัยใดที่ระบุว่าไข่คือสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น การกินไข่ร่วมกับอาหารชนิดอื่น อย่างเหมาะสม จะช่วยเสริมคุณค่าสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
sithiphong:
เป็ดเทศกบินทร์บุรี
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=194800-
ลูกเป็ดแรกเกิดจะมีขนลำตัวสีเหลือง ดวงตากลมดำ ปากสีชมพูอ่อน แข้งและเท้าสีเหลือง บางตัวจะมีจุดดำกลางหั
เป็ดเทศกบินทร์บุรี เป็นเป็ดที่เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ได้ดี เติบโตเร็ว ต้านทานโรค และปรับตัวเข้ากับภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยได้ดี ลูกเป็ดแรกเกิดจะมีขนลำตัวสีเหลือง ดวงตากลมดำ ปากสีชมพูอ่อน แข้งและเท้าสีเหลือง บางตัวจะมีจุดดำกลางหัว เมื่อโตจะมีขนสีขาวตลอดลำตัว และมีจุดสีดำเด่นอยู่กลางหัว ปากสีชมพู แข้งและเท้าสีเหลือง ใบหน้ามีผิวขรุขระนูนสีชมพูอมแดง โดยเฉพาะเพศผู้ผิวขรุขระเด่นชัดเต็มใบหน้า ส่วนเพศเมียจะมีผิวขรุขระบ้างเล็กน้อย เป็นสีชมพูอ่อน บริเวณริมขอบปากด้านบน เพศผู้ จะมีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย
เป็นเป็ดที่ได้รับการวิจัยและพัฒนามาจาก เป็ดเทศบาร์บาร์รีซึ่งมาจากประเทศ ฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2533 ให้ไข่ดกตกปีละ 160 ฟอง แม่เป็ดเริ่มไข่เมื่ออายุ 6-7 เดือน เพศผู้โตเต็มที่ 4-5 กิโลกรัม เพศเมีย 2.5-3 กิโลกรัม อัตราแลกเนื้อ 3:5:1: คุณภาพเนื้อสีแดงคล้ายเนื้อโคไขมันต่ำ.
เนื้อโคทาจิมะภูพาน
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=194992-
โคทาจิมะภูพาน เป็นโคสายพันธุ์หนึ่งของพันธุ์หวากิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักในชื่อ โกเบ บีฟ และ มัตซึซากะ บีฟ เข้ามาสู่ประเทศไทยในปี 2531
วันเสาร์ 16 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.
โคทาจิมะภูพาน เป็นโคสายพันธุ์หนึ่งของพันธุ์หวากิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักในชื่อ โกเบ บีฟ และ มัตซึซากะ บีฟ เข้ามาสู่ประเทศไทยในปี 2531 โดยสมาคมผู้เลี้ยงโคหวากิว เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น น้อมเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 1 คู่ ต่อมาศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร ได้นำน้ำเชื้อผสมกับแม่พันธุ์เรดซินดี้ แล้วให้ชื่อว่า โคเนื้อทาจิมะภูพาน นับเป็นสายพันธุ์ใหม่ของประเทศไทย ขุน 12–18 เดือน ใช้อาหารข้นที่ผสมหญ้าสดกับข้าวหมัก (สาโท) เปิดเพลงหมอลำกล่อม ทำให้ได้เนื้อโคขุนในระดับคุณภาพเกรด 3.5 –4.5 มีสัดส่วนของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง และมีไขมันแทรกสูง ทำให้สามารถกำจัดไฮโดรเจนอะตอมในร่างกายได้ง่าย ซึ่งในขบวนการเมตาโบลิซึมภายในร่างกายทำให้ย่อย และใช้ประโยชน์จากกรดไขมันไม่อิ่มตัวได้ดีกว่ากรดไขมันอิ่มตัว ทำให้ขบวนการเผาผลาญในร่างกายผู้บริโภคสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version