อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (42/85) > >>

sithiphong:
กินผลไม้อย่างไรให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

-http://campus.sanook.com/1370235/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/-


หลายคนชอบกินผลไม้ แต่ทราบหรือไม่ว่ากินอย่างไรให้ได้คุณประโยชน์สูงสุด

ผลไม้ เป็นสิ่งจำเป็นที่คนเราควรรับประทาน เพราะในผลไม้มีกากใยอาหาร และวิตามิน เกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย อีกทั้งน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือ

การกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่


เหตุผลที่ห้ามกินผลไม้หลังอาหาร

เมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้

คุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดีแต่คุณอาจไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้


คำแนะนำการกินผลไม้

-หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง

-หากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง

-หากกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

**ดังนั้น เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยงเนื่องจากร่างกายจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งช่วยให้สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ **






แตงกวามีดีกว่าที่คุณคิด

-http://campus.sanook.com/1370238/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94/-



ผักที่ดูธรรมด๊า..ธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างแตงกวา ใครจะรู้ว่าจะมีประโยชน์มากมายและถือเป็น "super food" อีกชนิดที่แนะนำให้รับประทาน ลองมาดูคุณประโยชน์ของแตงกวาว่ามีดีอะไร ทำไมเราควรรับประทาน...

- หากคุณดื่มน้ำน้อยการรับประทานแตงกวาช่วยคุณได้เพราะแตงกว่าประกอบด้วยน้ำถึง 90 เปอร์เซ็นต์ มันสามารถชดเชยน้ำที่คุณขาดได้

-แตงกวานั้นช่วยลดความร้อนหากมีอาการร้อนในการรับประทานแตงกว่าจะช่วยลดความร้อนภายในร่างกายได้ หรือเมื่อเกิดอาการผิวหนังโดนแดดเผา นำแตงกวาฝานเป็นแว่นบางๆมาวางบริณผิวหนังที่ถูกแดดเผาจะช่วยบรรเทาอาการได้

-แตงกวาช่วยขับสารพิษ น้ำในแตงกว่าจะช่วยขับสารพิษในร่างกายแล้ว การกินแตงกวายังจะช่วยละลายนิวในไตได้ด้วย

-แตงกวามีวิตมินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแตงกวาจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ทั้งยังมีวิตมินซีช่วยเรื่องผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง

-แตงกวามีโพสแทสเซียมสูง และมีแมกนีเซียม โพสเตสเซียม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสปาหลายแห่งจึงนิยมใช้แตงกวาเป็นทรีตเมนต์พื้นฐาน

-แตงกวาช่วยในการเผาผลาญและลดน้ำหนักได้ เพราะแตงกว่าประกอบด้วยน้ำซะส่วนใหญ่ทำให้มันมีแคลอรี่ต่ำ สำหรับผู้กำลังลดน้ำหนักการรับประทานเมนูแตงกวา อย่างนำมาประกอบสลัดหรือจะรับประทานแทนขนม โดยนำมาหั่นเป็นแท่งจิ้มโยเกิร์ตหรือโรยเกลือแล้วแช่เย็นก่อนรับประทานก็เป็นเมนูที่ดีไม่ใช่น้อย ทั้งแตงกวายังมีกากใยช่วยปัญหาท้องผูกได้อีกด้วย

-แตงกวาช่วยลดการอักเสบ ผู้ที่มีถุงใต้ตาบวมนำแตงกว่าฝานเป็นแว่นว่างไว้บริเวณที่ถุงใต้ตาจะช่วยลดอาการบวมได้

-แตงกวายังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้

-แตงกว่าช่วยผู้เป็นโรคเบาหวาน ลดคอเลสเตอรอลและควบคุมความดันโลหิต โดยแตงกวามีฮอโมนที่เซลล์ตับอ่อนใช้ในการผลิตอินซูลินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผลวิจัยพบว่าสารประกอบในแตงกวาสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งยังมีไฟเบอร์ โพแทสเซียม และแมกนีเซียม เป็นส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ แตงกวาจึงส่งผลดีแก่ผู้ที่มีความดันสูงหรือความดันต่ำ

-น้ำแตงกวาช่วยรักษาโรคเหงือกได้ นำแตงกวาฝานเป็นแว่นใช้ลิ้นดันไว้บนเพดานปากครึ่งนาที ช่วยฆ่าแบคทีเรียในปากที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้

-แตงกวาช่วยรักษาอาการเมาค้าง แนะนำหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ให้กินแตงกวาก่อนเข้านอน ลดอาการปวดหัวในตอนเช้า เพราะแตงกวามีวิตมินบีและน้ำตาลช่วยลดอาการเมาค้างได้

ข้อมูลจาก fitnea.com

sithiphong:
ผิวสวยเต็มที่ ด้วย 7 คุณประโยชน์จากเมล็ดเจีย
-http://women.kapook.com/view75779.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เดี๋ยวนี้หากไปตามร้านขายอาหารสำหรับคนรักสุขภาพ คุณอาจได้เห็นเมล็ดพืชเล็ก ๆ ดูคล้ายเมล็ดงาแต่กลับไม่มีกลิ่นงา ดูไปดูมาอีกทีก็เหมือนเมล็ดแมงลักแต่ก็ยังไม่ใช่ เช่นนี้แล้ว เมล็ดเจ้าปัญหาที่คุณเจอนั้นคงจะเป็น "เมล็ดเจีย" (chia seeds) แน่ ๆ เลยค่ะ เจีย เป็นเมล็ดพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย แต่เพิ่งจะเป็นที่รู้จักในไทยเมื่อไม่นานมานี้ด้วยความที่มันไม่ใช่พืชท้องถิ่นของบ้านเรา แต่ในปัจจุบันเราก็เริ่มหาซื้อเมล็ดเจียได้ง่ายขึ้นมากแล้ว มันมีคุณประโยชน์เปี่ยมล้นไม่ว่าจะในด้านสุขภาพ หรือด้านความสวยความงาม และเรายังไปพบว่ามันมีประโยชน์ต่อผิวมาก ๆ ด้วยนะ ลองมาดูกันค่ะว่าเมล็ดเจียนี้ จะมีประโยชน์ช่วยให้ผิวสวยใสอย่างไรได้บ้าง

        1. อุดมด้วยวิตามินอี

          วิตามินอีที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่มนิ่ม และยังช่วยเรื่องความเรียบเนียนเพราะมันต่อต้านการเกิดริ้วรอย แถมเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดี ต้านทานการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ซึ่งวิตามินอีจากเมล็ดเจียก็มีอยู่สูงและอยู่ในรูปที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายด้วยค่ะ

        2. มีกรดโอเมก้า 3

          กรดโอเมก้า 3 ใครว่ามีอยู่แต่ในปลา มันสามารถพบได้ในพืชเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โอเมก้า 3 ที่ได้จากเมล็ดเจีย เป็นต้น แถมโอเมก้าจากเมล็ดเจียยังมีมากกว่าเสียอีก เทียบเมล็ดเจียเพียง 2 ช้อนโต๊ะก็เท่ากับโอเมก้าที่ได้จากเนื้อปลาถึง 4 ออนซ์ (ประมาณ 113 กรัม) เลยทีเดียวค่ะ

          โอเมก้า 3 นี้เป็นกรดไขมันที่ช่วยต่อต้านการเกิดสิว ริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบนุ่ม ผมและเล็บก็สวยด้วยอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย เพราะเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเครียด ก็จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน ส่งผลต่อผิวไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็จะได้กรดโอเมก้า 3 มาช่วยรักษาระดับฮอร์โมนให้คงที่ ซึ่งเมล็ดเจียก็นับเป็นแหล่งโอเมก้า 3 ชั้นเยี่ยมแหล่งหนึ่งเลยล่ะ

        3. ไฟเบอร์เพียบ

          ไปเบอร์จากเมล็ดเจีย ซึ่งสามารถขยายตัวได้กว่าเดิมถึง 10 เท่าเมื่อถูกน้ำ ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน และที่สำคัญคือรักษาระดับอินซูลินไม่ให้ตกลงอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะหากระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง จะกระตุ้นให้รู้สึกโหย อยากของหวานหรืออาหารมีไขมัน ซึ่งเมื่อกินเข้าไปผลก็จะมาปรากฏอยู่ที่ผิว ทั้งเรื่องสิว ผิวอักเสบ และดูหมองคล้ำไม่สดใสก็ถามหา แต่ทั้งหมดนี้ป้องกันได้ง่าย ๆ ด้วยไฟเบอร์ที่ได้จากเมล็ดเจียนี่เอง

        4. สังกะสี

          ในเมล็ดเจียยังมีสังกะสี หรือ ซิงก์ อันเป็นแร่ธาตุที่ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้เอจจิ้ง ทำให้ผิวตึงเรียบ ต่อต้านการอักเสบ นอกจากผิวตึงสวยแล้วสิวจึงลดลงเป็นผลพลอยได้

        5. แมกนีเซียม

          เจียมีธาตุแมกนีเซียมไม่น้อยหน้าไปกว่าพืชชนิดไหน ๆ (ยอมลงให้โกโก้อยู่หนึ่งอันดับ) ซึ่งแมกนีเซียมช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยในเรื่องการไหลเวียนโลหิต ผิวจึงดูเปล่งปลั่งไม่ซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา

        6. โปรตีน

          โปรตีนนอกจากได้จากสัตว์แล้วก็ยังได้จากพืช โดยมีเมล็ดเจียเป็นแหล่งโปรตีนพืชที่ดีเช่นกัน แถมร่างกายยังนำไปใช้ได้ง่ายด้วย แม้จะมีอยู่ในปริมาณไม่มากแต่ก็ช่วยเสริมสร้างให้ผิว ผม และเล็บแข็งแรงได้ เพราะมันช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจนซี่งเป็นโปรตีนรูปหนึ่งที่อยู่ในผิวนั่นเองค่ะ

        7. โพแทสเซียม

          โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุมีอยู่เสมอ ๆ ในอาหารจำพวกถั่วและเมล็ดพืชต่าง ๆ เมล็ดเจียเองก็มีธาตุโพแทสเซียมเช่นกัน ซึ่งมันช่วยรักษาระดับความดันเลือดของร่างกายให้คงที่ และช่วยป้องกันอาการบวมน้ำ จากความเค็มของอาหาร โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อแปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก ซึ่งเป็นอาหารประเภทที่เราบริโภคกันบ่อยในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่ากินเค็มมาก หรือกินอาหารจำพวกนี้เยอะ ก็ควรต้องลดความถี่และปริมาณการกินลง รวมทั้งกินอาหารโพแทสเซียมสูงอย่างเช่นเมล็ดเจียเข้าไปเสริมด้วยนะคะ


          มีประโยชน์ต่อผิวเพียบขนาดนี้ ต้องลองนำเมล็ดเจียมาเป็นมาเสริมในมื้ออาหารดูบ้างแล้วล่ะ ซึ่งสามารถนำมาใช้แทนเมล็ดแมงลักที่เราคุ้นเคยได้ด้วย กินง่ายแถมประโยชน์เพียบอย่างนี้ จะพลาดของดีไปไม่ได้แล้วจ้า


sithiphong:

หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-


ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักน่ะค่ะ


ที่มาข้อมูล myhomeveg.com
ที่มารูปภาพ thaiza.com

sithiphong:
วิธีเก็บมะนาวให้สดนาน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99/-

ด้วย 3 เคล็ดลับจากวัตถุดิบก้นครัว ช่วยชะลออายุมะนาวเน่าเสียช้าลง ทั้งยังคงรสชาติไม่เปลี่ยน

มะนาวที่ซื้อมาแล้วใช้ไม่หมด หากเก็บไว้นาน ๆ ผิวจะเริ่มแห้งกรอบ เมื่อบีบ หรือคั้นก็จะไม่ค่อยได้น้ำ ปัญหานี้มีวิธีแก้โดย

นำลูกมะนาวที่เหลือล้างน้ำให้สะอาด ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง จากนั้น ใช้กระดาษห่อแยกเป็นลูก ๆ ใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น แล้วแช่ตู้เย็นในช่องผัก

หรือ ใช้น้ำมันพืชทาเคลือบผิวมะนาวบาง ๆ ผึ่งให้แห้งก่อนใส่ถุงพลาสติกนำเข้าตู้เย็น จะช่วยเก็บความชื้น และน้ำในผลมะนาวให้ระเหยน้อยลง ทั้งยังยืดอายุให้เน่าเสียช้าด้วย

นอกจากนี้ อาจผ่ามะนาวที่เหลือให้หมด แล้วคั้นน้ำบรรจุภาชนะมีฝาปิดมิดชิด จากนั้น ใส่ตู้เย็นในช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้จึงนำมาละลาย ทำให้เก็บได้นาน และรสชาติไม่เปลี่ยน

ที่มาข้อมูล internet

-----------------------------------------------------------



เปลือกส้ม เปลือกมะนาว อย่า!!เพิ่งทิ้งนะ

-http://campus.sanook.com/1078527/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B0/-


เปลือกผลไม้บางอย่างก็ยังเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเปลือกมะนาวและส้มนั้นคุณสามารถนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นกลิ่นหอมปรับอากาศในบ้านก็ได้ โดยนำเปลือกส้มหรือมะนาวแห้งมาเผาบนเตาหรือนำเข้าเตาอบ เพียงแค่นี้ก็จะได้กลิ่นหอมสดชื่นทั่วบ้านอย่างง่ายๆ ในเวลาเร่งด่วนแล้วล่ะคะ



sithiphong:
ทับทิม : อัญมณีแห่งผลไม้

-http://men.sanook.com/1563/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89/-



ศัพท์บางคำในภาษาไทยนั้น อาจมีความหมายได้หลายอย่าง และความหมายที่ต่างกันนั้นมักมีความเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น คำว่า "ทับทิม" หนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2416 ให้ความหมายไว้ว่า...

"พลอยแดง : เป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่งดอกแดง ลูกกลมๆ กินดี : อนึ่งเป็นชื่อพลอยที่เขาทำหัวแหวนสีแดงๆ นั้น"

ชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยส่วนหนึ่งมีจุดประสงค์เพื่อมาซื้อพลอยแดงน้ำดีจากประเทศไทยที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ทับทิมสยาม" นั่นเอง

เนื่องจากคนไทยคุ้นเคยกับทับทิมที่เป็นพลอยสีแดงมานาน เมื่อมีต้นไม้ต่างประเทศชนิดหนึ่ง ถูกนำเข้ามาปลูกในเมืองไทย และต้นไม้ชนิดนั้นมีเมล็ดซึ่งหุ้มด้วยเนื้อใสสีแดง มีเหลี่ยมมุมคล้ายพลอยสีแดง คนไทยจึงเรียกชื่อต้นไม้ต่างประเทศชนิดนั้นว่า "ทับทิม" ไปด้วย เพราะเป็นลักษณะเด่นที่จำได้ง่าย
หัวนอนปลายเท้าของต้นทับทิม

ต้นทับทิมมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Punica granatum linn. ภาษาอังกฤษเรียก Pomegranate, สเปนเรียก Granada, อินเดียเรียก Darim, ชาวเชียงใหม่และภาคเหนือทั่วไปเรียก มะก้อ ชาวน่านเรียก มะก่องแก้ว ชาวแม่ฮ่องสอนเรียก หมากจัง ชาวหนองคาย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เรียก พิลา ชาวจีนเรียก เซี๊ยะลิ้ว ฯลฯ

สันนิษฐานว่า ทับทิมมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่แถบทวีปเอเชียตะวันตก ติดกับทวีปยุโรปตอนใต้ และคงนิยมปลูกกันมานานหลายพันปีแล้ว จึงแพร่กระจายออกไปมากมาย ทั้งในเขตร้อน (tropical) และกึ่งร้อน (Sub-tropical) ของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป รวมทั้งทวีปแอฟริกา

ทับทิมเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงประมาณ 6-10 ฟุต ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก รูปใบยาวปลายแหลม ยาว 3-4 เซนติเมตร ดอกสีแดงหรือสีขาว ผลค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดงหรือน้ำตาลอมส้ม ผิวมักแตก ออกเห็นเมล็ดใสอยู่ภายในมากมาย เมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือสีชมพูหุ้มอยู่แยกแต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน มีทับทิมอีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กมาก เรียกว่า ทับทิมหนู (Punica granatum Var.nana Pere) สูงเต็มที่ไม่เกิน 4 ฟุต มีดอกสีแดงดกตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

ความเชื่อและตำนาน

ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเกิดจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งปวงและเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ตั้งครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดเทพเจ้าแอตติส (Attis) ขึ้น ดังนั้น ผู้ที่เคารพนับถือเทพแอตติสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็ถือว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระคเณศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่เคารพพระคเณศจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย นอกจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย

ชาวจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล (โดยเฉพาะทับทิมชนิดดอกสีขาว) และถือว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมาย (เนื่องจากผลทับทิมมีเมล็ดมาก) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน (เพื่อให้มีลูกหลานมากๆ) ในพิธีแต่งงานนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานศพ (เพื่อมิให้ปีศาจติดตามมา)

ในญี่ปุ่นคงรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่คอยปกป้องรักษาเด็กๆ ให้ปลอดภัย และเชื่อว่าเมื่อเด็กๆ ได้กินผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง ชาวไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายแห่งในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงจะเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากประเทศจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยทีหลัง

ประโยชน์ด้านต่างๆ ของทับทิม

เมล็ดทับทิมมีเนื้อหุ้มใสสีแดงเข้มเป็นประกายนั้น มองดูคล้ายพลอยแดงน้ำดีที่เจียระไนแล้ว สมกับที่มีผู้ยกย่องทับทิมว่าเป็น "อัญมณีแห่งผลไม้" นอกจากความงดงามแล้ว รสชาติของทับทิมยังดีเยี่ยมอีกด้วย น้ำคั้นจากผลทับทิมดื่มแล้วสดชื่นแก้กระหายน้ำได้ดีมาก เพราะมีทั้งน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี ซึ่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดด้วย เนื่องจากทับทิมเป็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติด้านสมุนไพรที่เด่นมากชนิดหนึ่ง สามารถนำเอาส่วนต่างๆ มาทำยารักษาโรคได้หลายชนิด เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มคนหลายกลุ่มมาแต่โบราณกาล เช่น ชาวอียิปต์ และชาวฟีนีเซี่ยน เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็ใช้ทับทิมเป็นสมุนไพร ต่อเนื่องมาถึงกลุ่มชนอื่นๆ เช่น

ชาวอาหรับ ใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ใช้ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด ใช้เปลือกผลทับทิม (ผสมกานพลูและฝิ่น) รักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย

ชาวฮินดู ใช้น้ำคั้นจากผลทับทิม และดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ แก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมแก้ท้องเสีย ใช้บำรุงหัวใจ

ชาวไทย ทับทิมทั้งต้นหรือทับทิมทั้ง 5 ; ใช้เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด

เปลือก ราก และเปลือกต้น ; ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด, ไส้เดือน, เส้นด้าย และฝาดสมาน
ใบ ; สมานแผล แก้ท้องร่วง อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา
ดอก ; ใช้ห้ามเลือด
เปลือกผล ; สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง (มีแทนนิน) ร้อยละ 22-25
เนื้อหุ้มเมล็ด ; แก้กระหายน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด
น่าสังเกตว่า ชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ และผลทับทิมในประเทศไทยได้รับความนิยมน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อาจเป็นเพราะว่าพันธุ์ทับทิมที่มีอยู่ในประเทศไทยยังมิใช่พันธุ์ที่ให้ผลคุณภาพดีเยี่ยมสำหรับการบริโภคเป็นผลไม้

หากชาวไทยนำพันธุ์ทับทิมคุณภาพดีเข้ามาปลูก หรือปรับปรุงพันธุ์ทับทิมของเราให้ดีเท่าเทียมกับพันธุ์คุณภาพดีที่มีอยู่ในโลก เชื่อว่าคนไทยนิยมปลูกและบริโภคทับทิมไม่น้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เป็นแน่


หมอชาวบ้าน สนับสนุนเนื้อหา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version