อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (43/85) > >>

sithiphong:
“ครีมเทียม” ครีมไม่แท้ มาจากไหน?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 พฤศจิกายน 2556 14:38 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147709-





    คนที่ชื่นชอบการกินกาแฟซอง (กาแฟชง/กาแฟทรีอินวัน) ย่อมรู้จัก “ครีมเทียม” กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหอมมันให้กับกาแฟถ้วยโปรด แต่รู้กันบ้างไหมว่าครีมเทียมนั้นทำมาจากอะไร “108 เคล็ดกิน” มีคำตอบมาเฉลย
       
       “ครีมเทียม” เป็นผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากน้ำนมโค ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีราคาถูกกว่าครีมแท้ (ครีมแท้คือครีมที่ทำมาจากนมโคแท้ๆ และมีมันเนยเป็นส่วนประกอบ) ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข “ครีมเทียม” หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ทำจากนมและมีไขมันอื่นนอกจากมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ หรือมีมันเนยผสมอยู่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด
       
       ครีมเทียมจะมีส่วนประกอบหลักเป็นไขมัน โปรตีน และน้ำตาล ครีมเทียมทำเลียนแบบครีมแท้โดยการนำส่วนประกอบไขมันจากน้ำมันปาล์ม โปรตีนนมที่แยกออกจากน้ำนมโค น้ำตาลทรายและน้ำ กลับมาผสมรวมกัน โดยต้องมีส่วนประกอบอื่นอีก ในการทำส่วนผสมหลักดังกล่าวสามารถรวมเป็นเนื้อเดียวคล้ายคลึงกับครีมแท้ แล้วจึงนำไปทำให้แห้งเป็นผง
       
       ซึ่งไขมันในครีมเทียมส่วนใหญ่ก็จะได้มาจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูง (ประมาณร้อยละ 20-50) และในครีมเทียมก็ยังพบไขมันทรานส์ในปริมาณมาก ซึ่งการบริโภคไขมันทรายส์เข้าไปมากๆ ก็จะมีผลให้คอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มระดับขึ้น เป็นผลให้มีน้ำหนักตัวลำขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ฉะนั้น การบริโภคครีมเทียมในปริมาณที่มากเกินไปจึงทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
       
       แต่ล่าสุด ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทำการทดลองผลิตครีมเทียมผงจากน้ำมันรำข้าวบีบเย็น โดยใช้วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการสีข้าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ เนื่องจากในน้ำมันรำข้าวประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยว มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีสารสำคัญอื่นๆ อีกหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
       
       ทั้งนี้ หากใครอยากจะทดลองบริโภคครีมเทียมจากน้ำมันรำข้าวบีบเย็น คงต้องรอไปก่อนสักพักใหญ่ เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดลอง และเตรียมต่อยอดในการผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต

sithiphong:
ขิง สมุนไพรดี ๆ บำรุงธาตุไฟหน้าหนาว
-http://health.kapook.com/view77340.html-




ขิง บำรุงธาตุไฟหน้าหนาว (หมอชาวบ้าน)
โดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปราจีนบุรี

          ฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาของ "วาตะธาตุ" หรือธาตุลมมีลักษณะเย็นและแห้ง ส่งผลกระทบต่อธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของคนเรา ใครที่มีธาตุทั้ง 4 สมดุล ก็อาจจะมีภูมิต้านทานกับการเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูกาลได้มากกว่าคนอื่น ๆ

          สำหรับคนที่มีวาตะธาตุเป็นเจ้าเรือน คือ คนที่ผอมแห้งแรงน้อย หรือคนชราก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น ๆ และรวมทั้งวัยเด็กที่มีเสมหะอันมีลักษณะเย็นขึ้นเป็นเจ้าเรือน ธาตุไฟซึ่งอ่อนแรงอยู่แล้ว ก็จะยิ่งอ่อนแรงลงไป ธาตุน้ำ และธาตุลมก็ยิ่งกำเริบร่วมกัน เสมหะก็จะเหนียวและแห้ง คนจะเจ็บป่วยด้วยอาการหวัด และอาการไอแห้ง ๆ รวมทั้งมีการกำเริบของหอบหืด ซึ่งเป็นผลพวงแห่งการมาเยือนของฤดูหนาว

          ดังนั้น ในเด็กและคนชราจึงเป็นกลุ่มคนที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดในฤดูกาลนี้ และหนึ่งในสมุนไพรที่จะช่วยเพิ่มธาตุไฟในหน้าหนาวก็คือ "ขิง" นั่นเอง

          สำหรับสมุนไพร "ขิง" ได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายอย่างยาวนาน อาทิ จีน ซึ่งเป็นชนชาติเก่าแก่ก็ได้มีการใช้ประโยชน์จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณจัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดคอเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด

          ชาวจีนทั่วไปจะรู้ดีว่าถ้าต้มขิงกับน้ำตาลอ้อยจะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับทั้งสองข้างจะช่วยแก้ปวดหัว และถ้าเอาขิงสดอมไว้ได้ลิ้นจะช่วยแก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้อาเจียนได้ดี ในตำรับเภสัชของสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2528 จึงบรรจุขิงทั้งขิงสด ขิงแห้ง และทิงเจอร์ขิงเป็นยาสมุนไพรแห่งชาติตัวหนึ่ง

          แพทย์จีนโบราณใช้ประโยชน์จากขิงสดและขิงแห้งในแง่มุมที่ต่างกัน โดยใช้ขิงแห้งในภาวะที่ขาดหยาง (ภาวะขาดหยาง คือ ภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็น หนาวง่าย ทนต่อความเย็นได้น้อย การย่อยอาหารไม่ดี เป็นต้น)


ประโยชน์ของขิง



          ขิงสดจะใช้เมื่อต้องการกำจัดพิษที่เกิดจากการติดเชื้อภายในร่างกาย โดยการขับพิษออกมาทางเหงื่อ ขิงสดช่วยทำให้ร่างกายปรับสภาพในภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็นได้เช่นเดียวกับขิงแห้ง ช่วยลดการคลื่นไส้อาเจียน โดยใช้ขิงสด 30 กรัม (3 ขีด) สับให้ละเอียดต้มกินในขณะท้องว่าง นอกจากนี้ ขิงยังช่วยกำจัดพิษโดยการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขับเสมหะ โดยการใช้ขิงสดคั้นเอาแต่น้ำประมารครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 30 กรัม (6 ช้อน) อุ่นให้ร้อนก่อนกิน

          อินเดีย คืออีกชาติหนึ่งที่มีการใช้สมุนไพรขิงอย่างแพร่หลาย ซึ่งการใช้ขิงแห้งและขิงสดไม่แตกต่างกัน โดยจะใช้ขิงทาถูนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ใช้ขิงลดการอักเสบ แก้ปวด ลดอาการบวมน้ำ ใช้เป็นยากระตุ้นการอยากอาหาร เป็นยาช่วยย่อย ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยระงับอาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยกระตุ้นกำหนัด

          ตำรับยาทางอายุรเวทมีการใช้ขิงลดการบวมและการอักเสบของตับ คนพื้นเมืองอินเดียทั่วไปยังนิยมใช้น้ำคั้นจากขิงผสมน้ำผึ้ง และน้ำคั้นจากกระเทียมรักษาอาการหอบหืด ทั้งยังมีการใช้ขิงผงแห้งละลายน้ำอุ่นทาที่หน้าผากรักษาอาการปวดหัว

          แพทย์ชาวอาหรับโบราณก็ใช้ประโยชน์จากขิงคล้าย ๆ กัน แต่ที่แตกต่างคือ จะเน้นการใช้ขิงกระตุ้นความกำหนัด


ขิง สรรพคุณ


          ส่วนคนยุโรปโดยทั่วไปจะใช้ชาขิงช่วยย่อย ช่วยรักษาอาการท้องอืดจากการดื่มเหล้า ช่วยขับลม ทั้งยังใช้รักษาโรคเกาต์ และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

          นักสมุนไพรรุ่นใหม่ของตะวันตก มักแนะนำให้ใช้ขิงช่วยย่อยอาหาร ช่วยการไหลเวียนของโลหิต และลดการคลื่นไส้อาเจียนจากการเคลื่อนไหวที่ไม่สมดุล (motion sickness) รวมทั้งให้ใช้ลดการคลื่นไส้อาเจียนหลังการผ่าตัด และจากการแพ้ท้องได้บ้าง แต่คนท้องไม่ควรกินเป็นประจำ

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนทุกมุมโลกใช้ "ขิง" เหมือน ๆ กันคือ แก้หวัด และแก้ไอ

          "ขิง" มีชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinaie Rosc. มีสารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่

          มีการทดลองพบว่า น้ำขิงต้ม ทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมกโครฟาจ (Macrophage) จับกินไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าภูมิปัญญาอันเก่าแก่ในการการใช้ประโยชน์จากขิง

          "ขิง" จึงเป็นสมุนไพรแนะนำสำหรับการใช้เป็นเครื่องดื่มในฤดูกาลนี้ เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่หาง่าย มีความปลอดภัยสูง ใช้กันมานาน คนทั่วไปคุ้นเคย กินง่าย ทำได้เอง

          ปัจจุบัน ขิงบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และองค์การอนามัยโลกรับรอง "ขิง" รักษาหวัด แต่ก็มีข้อจำกัดการใช้ในคนท้อง และกินยาก ยกเว้นต้องซื้อจากบริษัทผู้ผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีพอ ดังนั้น กรณีเป็นหวัด น้ำขิงต้มเองจะดีที่สุด และเราสามารถตั้งตำรับของเราเองได้ตามใจชอบด้วย


น้ำขิง


เคล็ดลับสุขภาพ

ตำรับ "น้ำขิง" พิชิตหวัด แก้ไอ

          ส่วนผสม : ขิงแก่สด 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 3 ลิตร

          วิธีทำ

          ล้างขิงให้สะอาด แล้วนำมาทุบให้พอบุบ ๆ โดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง

          ต้มขิงกับน้ำให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลตามใจชอบ

          สำหรับคนไทย แน่นอนว่ารู้จักสมุนไพร "ขิง" เป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องเทศที่นำมาปรุงเป็นอาหารได้สารพัด ช่วยทำให้อาหารหอมหวนชวนกิน ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร และอยู่ในตำรับยารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากมายหลายโรค ทั้งช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ขับน้ำนม ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ฯลฯ

          ดังนั้น ก่อนที่จะเจ็บป่วยเป็นอะไรไปในหน้าหนาวนี้ ต้มน้ำขิงกินกันไว้เลยดีกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.doctor.or.th/-


------------------------------------------------------------





4 ประโยชน์ ของดีเกลือ

-http://women.kapook.com/view77170.html-



4 ประโยชน์ ของดีเกลือ (Lisa)

          ดีเกลือที่มีขายตามร้านยาจีนนั้นมีประโยชน์เอนกอนันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความงาม อย่างเช่น

       ขัดผิว โดยโรยดีเกลือลงในเคลนเซอร์สำหรับผิวหน้านิดหน่อยแล้วนำ ไปฟอกหน้าตามปกติ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดกว่าเดิมแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยต่อต้านริ้วรอยบนใบหน้าด้วย

       บำรุงผม โดยผสมดีเกลือกับคอนดิชันเนอร์ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน นำไปนวดบนหนังศีรษะและเส้นผม ปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด คุณจะเห็นว่าเส้นผมดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ทันที

       ขจัดสารพิษ โดยเติมดีเกลือสองถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ (ใช้น้ำร้อน) แล้วลงไปนอนแช่ตัวเป็นเวลา 10 นาที สารซัลเฟตในดีเกลือจะช่วยขจัดสารพิษและโลหะหนักในร่างกายออกไป โดยดีเกลือจะช่วยดึงเกลือในร่างกายออกมาพร้อมๆ กับสารพิษพวกนั้น

       ขัดฟันขาว ดีเกลือคือสารขัดฟันขาวตามธรรมชาติ แถมยังช่วยให้ปากเนียนนุ่มขึ้นด้วย แค่ใช้ดีเกลือแปรงฟันแทนยาสีฟันเท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.lisaguru.com/wp/blog/beauty/v14n40-18112013-03/-

sithiphong:
.



ถั่วฝักยาว มีถิ่นกำเนิด ในประเทศจนี และอินเดีย เป็นฝักที่มีชาวเอเชียนิยมรับประทานลำต้นเป็นไม้เลื้อย เถาเป็นสีเขียวอ่อน
วันศุกร์ 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=198196-

ถั่วฝักยาว มีถิ่นกำเนิด ในประเทศจนี และอินเดีย เป็นฝักที่มีชาวเอเชียนิยมรับประทานลำต้นเป็นไม้เลื้อย เถาเป็นสีเขียวอ่อน เถาจะแข็งและเหนียว ต้นม้วนพันสิ่งยึดเกาะได้ ลักษณะของใบเป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ มี 3 ใบย่อยลักษณะคล้ายรูสามเหลี่ยมยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตรลักษณะของดอกจะออกดอกเป็นช่อตามซอกใบกลีบดอกเป็นสีขาว หรือน้ำเงินอ่อน ฝักมีลักษณะกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1 เซนติเมตรยาวประมาณ 20-80 เซนติเมตร และในฝักมีเมล็ดอยู่หลายเมล็ดคนไทยเมื่ออดีตนิยมใช้ใบสดประมาณ 60-100 กรัมนำมาต้มกับน้ำใช้รักษาโรคหนองในและอาการปัสสาวะเป็นหนอง และใช้บำรุงม้ามและไต ด้วยการนำเมล็ดแห้งหรือสดมาคั้นสดหรือต้มกับน้ำเพื่อดื่ม.

---------------------------------------------------------------


บัวเป็นพืชที่คนไทยใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน นอกจากนำสายบัวเมล็ดบัวมารับประทานและดอกบูชาพระแล้วก็ยังมีการนำใบบัวมาใช้ประโยนชน์
วันเสาร์ 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=198404-




บัวเป็นพืชที่คนไทยใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน นอกจากนำสายบัวเมล็ดบัวมารับประทานและดอกบูชาพระแล้วก็ยังมีการนำใบบัวมาใช้ประโยนชน์ในหลายอย่างอาทิ ห่อผักสดเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาความสดของผักให้ยาวนานขึ้น ทำเป็นข้าวห่อใบบัว ทำให้ข้าวหอมน่ารับประทาน คนไทยเมื่อครั้งอดีตและบางพื้นที่ในปัจจุบัน นำใบบัวมาเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ เช่น นำใบบัว ซึ่งมีสารอัลคาลอยด์หลายชนิด มาปรุงใช้ประโยชน์ทางยา เพื่อลดความดันโลหิตสูง นำใบสด หรือแห้งหั่นเป็นฝอยต้มกับน้ำพอท่วมจนเดือด 10-15 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน ใช้ระงับอาการหวัด และช่วยลดเสมหะ โดยนำใบบัวมาหั่นเป็นฝอยผึ่งแดดให้แห้งทำเป็นมวนสูบบรรเทาอาการหวัดคัดจมูกเป็นต้น.

sithiphong:
น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์
และอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน
วันพฤหัสบดี 28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=197967-



ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ศึกษาวิจัยคุณประโยชน์จากมะพร้าวพบว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ และอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี มีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมใช้ประโยชน์ได้ใน 5 นาที ขับสารพิษมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง อีกด้วย

sithiphong:
เมลอนกีวีสมูทตี้ เปรี้ยวหวานอร่อยกลิ่นหอมชวนดื่ม
-http://cooking.kapook.com/view76985.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เครื่องดื่มสีเขียวสวยวันนี้ที่เรานำมาฝากเป็นสมูทตี้ที่มีกลิ่นหอมชวนดื่มจากเมลอนเขียวหวานฉ่ำ เพิ่มรสชาติเปรี้ยวนิดหน่อยจากกีวีปั่นผสมรวมกันจนเป็นเมนูเมลอนกีวีสมูทตี้ ได้ประโยชน์จากกีวีที่มีไฟเบอร์สูง มีวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความแก่ แถมยังป้องกันความเสื่อมสภาพของเซลล์ได้อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันว่าส่วนผสมและวิธีการทำมีอะไรบ้าง


สิ่งที่ต้องเตรียม

          กีวี ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้น แช่เย็นจัด 1 ผล

          เมลอน หั่นเป็นชิ้น แช่เย็นจัด 100 กรัม

          น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

          น้ำต้มสุก แช่เย็นจัด 1/2 ถ้วย

          เกลือป่นเล็กน้อย

          น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

          เมลอนตักเป็นก้อนกลมสำหรับแต่ง

          กีวี หั่นเป็นชิ้นสำหรับแต่ง

          ใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง


วิธีทำ


           ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด เทใส่แก้ว แต่งด้วยเมลอน กีวี และใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่มขณะเย็น ๆ

           เครื่องดื่มสีสวย กลิ่นหอม รสเปรี้ยวหวานกลมกล่อมอร่อย ๆ แบบนี้อย่าลืมทำดื่มกันนะคะ

-------------------------------------------------------------------

"ประโยชน์ของกีวี" เพื่อสุขภาพที่ดี
-http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B5-



"กีวี" ผลไม้เมืองหนาวหรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "กีวีนิวซีแลนด์ส" ถึงแม้จะเป็นผลไม้เมืองนอกแต่ขอบอกค่ะว่า ประโยชน์ของกีวี มีมากมายนัก ทั้งต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ช่วยลดแคลอรีและเรื่องระบบการเผาผลานที่ดี อีกทั้งยังมีวิตตามินซีสูงมาก นั้นเรามาทำความรู้จักกับ ประโยชน์ของกีวี ให้มากกว่านี้กันดีกว่าค่ะ

 
ประโยชน์ของกีวี
 
แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

นอกจากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคยยังมีกีวีโกลด์หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องวิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่ากีวีหนึ่งผล มีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอีได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทองซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า


เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหารรวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version