ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129491 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #220 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2013, 07:59:12 pm »
ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก

-http://campus.sanook.com/1369994/%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3...%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81/-




ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก อยากสมองดี ความจำดี สุดยอดอาหารชนิดใหม่ล่าสุดอย่าง "ยี่หร่าดำ (Black Cumin)" ช่วยคุณได้ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชพฤกษศาสตร์วิทยา ชี้ว่าการกินแคปซูลบรรจุยี่หร่าดำป่นขนาด 500 มิลลิกรัม 2 แคปซูลทุกเย็นเป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะช่วยให้ความสามารถในการจดจำ สมาธิ และการเรียนรู้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและป้องกันระบบประสาทในเครื่องเทศชนิดนี้มีผลต่อการกระตุ้นสมอง และยังอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ช่วยยับยั้งการเสื่อมของสารสื่อประสาทได้อีกด้วย

ขอบคุณภาพประกอบจาก superhumanfoods.org
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #221 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2013, 07:22:36 pm »
เทียนขาว - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/200604/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



ใช้พอกแผลสด ห้ามเลือด แก้เล็บขบ เล็บเป็นแผลเจ็บ หรือ หนอง ฝี แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก แผลบวมฟกช้ำ ผิวหนังอักเสบ และใช้แก้เจ็บคอ
วันอังคาร 10 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

เมื่อใช้เป็นเครื่องยาเรียกเทียนขาว เมื่อใช้เป็นเครื่องเทศเรียก ยี่หร่า...ใบ ใช้พอกแผลสด ห้ามเลือด แก้เล็บขบ เล็บเป็นแผลเจ็บ หรือ หนอง ฝี แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก แผลบวมฟกช้ำ ผิวหนังอักเสบ และใช้แก้เจ็บคอ ใบสด หรือ ใบแห้ง ใช้ต้มเอาแต่น้ำอมบ้วนปากและคอ แก้เจ็บคอ ขับประจำเดือน ขับปัสสาวะ รักษาตาเจ็บ แก้สะอึก สมานบาดแผล แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด แก้เจ็บคอ รักษากามโรค แก้ปวดท้อง แก้ผิวหนังอักเสบตำรายาไทยใช้ใบสดแก้เล็บขบหรือเป็นหนอง โดยตำพอกหรือตำกับเหง้าขมิ้นชัน เติมเกลือเล็กน้อยพอก มีรายงานระบุว่าสามารถฆ่าเชื้อหนองและเชื้อราอันเป็นสาเหตุของโรคกลาก วงการเครื่องสำอางใช้ผงใบเทียนกิ่งแห้งเป็นยาย้อมผมให้เป็นสีน้ำตาลแดงหรือแดงปนส้ม และช่วยป้องกันผมจากแสงแดดด้วย สารออกฤทธิ์คือ lawsone ซึ่งพบว่ามีความปลอดภัย ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็ง (ข้อมูลจากฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน).

------------------------------------------------------------------------------------

บุนนาค - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/200378/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



บุนนาค แก้ลมในลำไส้ กระพี้ ขับเสมหะในลำคอ ไม้เหนียวแข็ง ทนทาน
วันจันทร์ 9 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

บุนนาคขึ้นทั่วไปในป่าดิบทางภาคเหนือและภาคใต้ ที่ระดับน้ำทะเล จนถึง 700 เมตร ราก แก้ลมในลำไส้ กระพี้ ขับเสมหะในลำคอ ไม้เหนียวแข็ง ทนทาน ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ก่อสร้าง ต่อเรือ ทำพานท้าย และรางปืน และด้ามร่ม ใบ พอกแผลสด ดอก ใช้ผสมสี เพื่อช่วยให้สีติดคงทน เมล็ด กลั่นน้ำมันใช้จุดตะเกียง และทำเครื่องสำอาง (ข้อมูลจากองค์การสวนพฤกษศาสตร์).






คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #222 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2013, 04:25:26 am »
ทับทิมผลไม้เพื่อผิวสวย...สุขภาพดี

-http://campus.sanook.com/1370358/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2...%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5/-








แม้ริ้วรอยความเสื่อมแห่งวัยจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา หากเลี่ยงได้ หลายๆ คนคงไม่ขอเจอะเจอ ดังนั้นผู้ที่รักสุขภาพและความสวยความงามจึงพยายามสรรหาหนทางแก้ไขด้วยวิธีการต่างๆ นานาให้กับตัวเอง เพื่อหยุดหรือชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ผิว ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้ศาสตร์แห่งการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จึงเป็นศาสตร์ที่ได้รับ ความสนใจจากคนทั่วทุกมุมโลก และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

อันที่จริงการต้านความเสื่อมและชะลอวัยไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนอื่นจะต้องรู้จักกำจัดและลดจำนวนอนุมูลอิสระในร่างกายให้ได้เสียก่อน เพราะอนุมูลอิสระถือเป็นวายร้ายที่คอยบ่อนทำลายสุขภาพกายรวมทั้งผิวพรรณของเราให้เสื่อมถอยลง และเกิดโรคต่างๆ ซึ่งเจ้าอนุมูลอิสระนี้จะเกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลาจากกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายในขณะที่เราหายใจ เคลื่อนไหว และประกอบกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน หรือแม้กระทั่งช่วงที่เรานอนหลับ โดยร่างกายจะมีกลไกการกำจัดอนุมูลอิสระได้เองเช่นกัน แต่ในภาวะที่มีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากๆ เช่น ความเครียด มลภาวะ แสงแดด อาหารปิ้ง ทอด ย่าง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมากจนร่างกายอาจจะกำจัดไม่ทัน หากปล่อยไว้นานวันอาจจะก่อให้เกิด โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง หรือ แม้กระทั่งทำให้เราแก่ก่อนวัยได้ ซึ่งหากเราหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระได้มากเท่าไหร่ ความอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราได้นานมากขึ้นเท่านั้น

จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าสารอาหารส่วนใหญ่มีความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพผิวพรรณ อย่างมาก ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม สารอาหารที่ผิวหนังต้องการ ได้แก่ กรดอะมิโน กรดไขมันจำเป็นต่างๆ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งได้จากอาหารหลัก 5 หมู่ที่เราสามารถเลือกรับประทาน ในชีวิตประจำวันนั่นเอง สารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญต่อสุขภาพผิว ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีนหรือแคโรทีนอยด์ สังกะสี และซีลีเนียม สารดังกล่าวเหล่านี้ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เราควรที่จะต้องใส่ใจเรื่อง การรับประทานอาหารให้หลากหลายมีคุณภาพ ปริมาณแคลลอรี่ต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น. เลี่ยง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปล่อยวางความเครียด และนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ ก็จะช่วยให้ผิวพรรณและความอ่อนเยาว์ อยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #223 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2013, 04:34:46 am »
กาแฟขี้ช้าง Black Ivory Coffee
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87_Black_Ivory_Coffee/-



“กาแฟขี้ช้างไทย หรือ Black Ivory Coffee”
            เป็นกาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลกขณะนี้มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละประมาณ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ  หรือประมาณ 34,000 บาท  ราคาแก้วละ 1,200 บาท  ซึ่งทำลายสถิติกาแฟที่เคยแพงที่สุดในโลกอย่างกาแฟขี้ชะมด หรือ Kopi Luwak จากประเทศอินโดนีเซียที่กิโลกรัมละประมาณ 600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ  16,000-17,000 บาท และผู้ที่สร้างกาแฟขี้ช้างขึ้นมาคือ  Mr.Blake Dinkin เป็นชาวแคนาดาผู้หลงเสน่ห์ช้างไทย  คุณเบล็คเคยทดลองทำกาแฟขี้ชะมดและได้หันมาลองทำกาแฟขี้ช้างดูบ้าง  ซึ่งขั้นตอนการผลิตกาแฟขี้ช้างคือ  เริ่มจากการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่สุกกำลังดีสายพันธ์อาราบิก้าที่ปลูกบนความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลมาให้ช้างกิน  เมื่อช้างกินเมล็ดกาแฟเข้าไปแล้วกระบวนการย่อยอาหารของช้างจะทำหน้าที่ย่อยเมล็ดกาแฟ  จากนั้นควาญช้างจะต้องคอยสังเกตเมื่อช้างขับถ่ายมูลออกมาควาญช้างจะตามเก็บเมล็ดกาแฟที่ย่อยไม่หมดในมูลช้างออกมาล้างทำความสะอาดและตากแดด  รวมทั้งผ่านขั้นตอนการผลิตจนคั่วออกมาเป็นเมล็ดกาแฟสำหรับให้คนบริโภค  โดยต้องให้ช้างกินเมล็ดกาแฟสดประมาณ 33 กิโลกรัมจึงจะได้กาแฟให้คุณบริโภค 1 กิโลกรัม
            ทำให้กาแฟชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงรวมทั้งเป็นกาแฟที่มีเสน่ห์พิเศษซึ่งแตกต่างจากกาแฟที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป และสาเหตุที่คุณเบล็คเลือกช้างเพราะ.. ช้างเป็นสัตว์มังสวิรัติที่กินอาหารสะอาด กินพืชและผลไม้เป็นอาหาร  ช้างเป็นสัตว์ที่มีกระเพาะเดียวจึงมีกระบวนการย่อยอาหารที่ไม่ซับซ้อน เอนไซม์ในกระบวนการย่อยอาหารของช้างมีคุณสมบัติช่วยย่อยโปรตีนบางส่วนในเมล็ดกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟที่ถูกย่อยผ่านกระเพาะอาหารของช้างออกมามีความขมจากโปรตีนที่น้อยลง และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีความอร่อยนุ่มนวลเวลาดื่มจะให้รสสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้นไม่แพ้กาแฟชั้นดีชนิดใดในโลก
               ซึ่งกาแฟขี้ช้างในชื่อ “กาแฟแบล็คไอวอรี่” (Black Ivory Coffee) นี้ในหนึ่งปีสามารถผลิตออกมาได้เพียง 200 กิโลกรัมเท่านั้น  โดยในช่วงแรกนั้นคุณเบล็คได้เปิดให้คอกาแฟสามารถเดินทางไปชิมรสชาติความอร่อยของกาแฟแบล็คไอวอรี่ได้ที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดเชียงรายเท่านั้น  แต่ตอนนี้คุณสามารถไปลิ้มลองรสชาติกาแฟขี้ช้างสายพันธุ์ไทยได้ตามโรงแรมสุดหรูหลายแห่งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด  โดยสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ของ blackivorycoffee.com

ข้อมูลและรูปภาพจาก : Bloggang
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #224 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 07:32:36 pm »
“เคพกูสเบอร์รี่” อร่อยดี วิตามินสูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 ธันวาคม 2556 16:49 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153108-

  ในบรรดาเบอร์รี่ต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันนั้นก็น่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ เป็นต้น แต่ยังมีไม้ผล หรือผลไม้ที่มีชื่อต่อท้ายว่าเบอร์รี่ที่กำลังเริ่มเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือ “เคพกูสเบอร์รี่”
       
       เดิมนั้นเคพกูสเบอร์รี่มีชื่อภาษาไทยว่า โทงเทงฝรั่ง ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น ระฆังทอง โดยเป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล และอยู่ในตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ และพิทูเนีย
       
       หน้าตาของเคพกูสเบอร์รี่จะเป็นผลกลมๆ เล็กๆ ขนาดประมาณลูกพุทรา เมื่อสุกแล้วจะมีเขียวอมเหลือง หรือเหลืองอมส้ม แต่ผลของเคพกูสเบอร์รี่จะถูกหุ้มด้วยกลีบเลี้ยงบางๆ เมื่อผลด้านในสุกแล้ว กลีบเลี้ยงก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนๆ เหมือนฟางข้าว
       
       หากผ่าเข้าไปดูเนื้อด้านในผลสุก จะเห็นเป็นสีเหลืองสวย ฉ่ำ รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอม เคพกูสเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันไข้หวัด มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เป็นไม้ผลที่เหมาะกับการกินผลสด หรืออาจจะนำไปชุบช็อกโกแลตเป็นฟองดูว์ หรือใส่ผสมในสลัด หรืออาจจะนำไปทำเป็นแยมแคพกูสเบอร์รี่ก็ได้


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #225 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2013, 08:11:55 pm »
ลองกองเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีและฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ ตัวร้อน ลดอาการร้อนในช่องปาก

วันศุกร์ 13 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/201310/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-




ลองกองเป็นผลไม้ที่มีเมล็ดน้อยหรืออาจจะไม่มีเมล็ดเลย ใบมีสีเขียวเข้ม มีร่องใบลึก ผลสุกมีเนื้อในเป็นแก้ว เนื้อแห้ง หวานและมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน เปลือกหนามีสีเหลืองคล้ำและไม่มียาง ส่วนลองกองน้ำ ผลสุกจะมีเนื้อค่อนข้างฉ่ำน้ำ สีเปลือกเหลืองสว่างกว่าลองกองปาลาแมหรือลองกองแปร์แมร์ ผลสุกจะมีเนื้อนิ่ม กลิ่นไม่หอมเหมือนลองกองน้ำ เปลือกบางและมียางบ้าง  ลองกองเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีและฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ ตัวร้อน ลดอาการร้อนในช่องปาก.

-------------------------------------------------------------------



นอกจากต้องให้น้ำและปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอแล้วยังต้องอาศัยเทคนิคในการดูแล เพื่อให้ถั่วฝักยาวฝักดก

วันพฤหัสบดี 12 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/201083/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



ถั่วฝักยาวมีอายุการเก็บเกี่ยวเฉลี่ย 35 วัน ตั้งแต่เริ่มปลูก การปลูกถั่วฝักยาวให้ได้ผลผลิตที่ดีนั้น นอกจากต้องให้น้ำและปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอแล้วยังต้องอาศัยเทคนิคในการดูแล เพื่อให้ถั่วฝักยาวฝักดก เมื่อถั่วฝักยาวเริ่มงอกและแตกใบเป็นลำต้นจะมีการแตกยอดและแขนง ยอดหลักจะขึ้นสูงตามค้าง ในช่วงที่ยอดเริ่มขึ้นค้างสูงประมาณ 1 เมตร ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 20 วันหลังปลูก ให้เด็ดปลายยอดออก 2 คู่ใบหรือประมาณ 1 คืบ จากนั้นยอดจะเริ่มแตกออกอีกประมาณ 3-5 ยอดตรงบริเวณข้อที่เด็ดยอด ดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยตามปกติไม่เกิน 15 วันยอดที่แตกแขนงออกจะเริ่มให้ดอกและให้ผลผลิตถั่วฝักยาวที่มีฝักดกกว่าต้นถั่วฝักยาวที่ไม่ได้ทำการเด็ดยอด นอกจากนั้นยังทำให้ต้นถั่วฝักยาวเป็นพุ่มและไม่สูงจนเกินไปจึงง่ายต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #226 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2013, 08:54:28 am »
อาหารทะเลทำพิษ!!ทำไงดี?

-http://campus.sanook.com/1370386/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5/-

แต่ก่อนไม่แพ้อาหารทะเล แต่ช่วงนี้รู้สึกว่ากินของทะเลหลายอย่างพร้อมกันแล้วมีอาการคัน เป็นผื่นที่ผิวหนังบางครั้ง จะทำให้แพ้ของทะเลไปตลอดมั้ยคะ??

การแพ้อาหารเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายชนิด E (Immunoglobulin E) มากกว่าปกติทำให้เซลล์บางชนิดในร่างกายปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา เช่น ฮิสตามีน (Histamine) จึงเกิดอาการคัน เป็นผื่น บางรายอาการอาจจะรุนแรง เช่นเกิดลมพิษทั้งตัว หลอดลมตีบ หรือช็อกได้ โดยสารอาหารที่แพ้จะไปกระตุ้นร่างกายทีละน้อย ในระยะแรกจึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงระยะเวลาหนึ่งก็จะเกิดอาการจนสังเกตได้

ถ้าอาการแพ้ไม่มากนักอาจรับประทานยาแก้แพ้ (ยาต้านฮีสตามีน) ซึ่งมีหลายชนิด เช่น คลอเฟนิรามีน ไฮดร็อกไซซีน ซึ่งหาซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป หากเป็นมากหรือเป็นๆ หายๆ ควรไปตรวจหาสาเหตุที่แพ้ด้วยการทดสอบผิวหนัง หรือการตรวจทางโลหิตวิทยา หลังจากทราบสาเหตุชนิดของอาหารที่แพ้แล้วควรงดอาหารทะเลอย่างน้อย 3-5 ปี ซึ่งในบางรายก็อาจหายเองได้ แต่ในรายที่แพ้รุนแรงควรให้แพทย์ดูแลใกล้ชิด


-http://lisaguru.com/-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #227 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2013, 07:51:47 am »
ไข่เป็ด ไข่ไก่ ประโยชน์ที่แตกต่าง

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94_%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87/-





            ไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทาน อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยัง รู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชนิดไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน ความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้น ในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใด มีคุณค่ามากกว่ากัน ดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง
สารอาหาร ไข่ไก่ ไข่เป็ด 
        พลังงาน ( แคลอรี )         169      180
        ไขมัน ( กรัม )                11.9     12.6
        คาร์โบไฮเดรต ( กรัม )     1.7       4.1
        โปรตีน ( กรัม )               12.7     11.7
        แคลเซี่ยม ( มิลลิกรัม )     76.0     71.0
        เหล็ก ( มิลลิกรัม )           3.5       2.8
        วิตามิน บี 1 ( มิลลิกรัม )   0.08     0.27
        วิตามิน บี 2 (มิลลิกรัม )    0.48     0.56
       วิตามิน บี 5 (มิลลิกรัม )     0.1       0.1

          คุณค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้าน โปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2
         
         หากเรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 5 0 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชน ใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควร



รูปภาพจาก : thaiahpa
ข้อมูลจาก : http://tankmo.com/
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #228 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2013, 05:51:03 am »
โคล่าทำความสะอาดบ้านได้นะ

-http://campus.sanook.com/1370385/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B0/-




ยาสีฟัน ช่วยทำความสะอาดรองเท้าหนังและรองเท้ากีฬาได้ เมื่อเกิดคราบสกปรกให้ป้ายยาสีฟันลงบนคราบ ขัดแรงๆ ด้วยผ้าแห้งแล้วเช็ดซ้ำอีกครั้งด้วยผ้าชุบน้ำชื้นๆ แค่นี้รองเท้าก็สะอาดและเงาวาวแล้ว

โคล่า คราบอาหารไหม้ติดก้นหม้อเป็นอะไรที่น่าเบื่อและกินแรงในการขัดออกสุดๆหากอาหารไหม้ติดก้นภาชนะ รีบเทโคล่าลงไปเมื่อหม้อหรือกระทะยังอุ่นๆ ตั้งเตาอีกครั้ง เปิดไฟอ่อนๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมง กรดในโคล่าจะจัดการกับรอยไหม้และคราบอาหารติดค้างเหล่านั้นให้คุณขัดออกได้ง่ายๆ เมื่อตั้งไฟเสร็จแล้วก็นำไปขัดคราบออกและล้างตามปกติได้เลย

ยาล้างฟันปลอม ที่เป็นเม็ดฟองฟู่ ช่วยล้างโคมแขวนที่เขรอะไปด้วยฝุ่นเป็นเวลานานให้กลับมาสะอาดเอี่ยม เริ่มจากเตรียมถังขนาดพอดีกับโคมไฟใส่เม็ดยาล้างฟันปลอมลงไปจำนวนหนึ่ง เติมน้ำอุ่นแล้วแช่แก้วครอบโคมไฟลงไป ทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด และยังใช้แช่ทำความสะอาดเครื่องประดับ เช่น เพชร ลูกปัดหิน และสร้อยโลหะได้อีกด้วย

มายองเนส ลบรอยด่างบนโต๊ะไม้ได้ แค่ป้ายมายองเนสลงบนรอยด่าง โปะทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดออกไป


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #229 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2013, 05:55:44 am »
“วิปครีม-วิปปิ้งครีม” อะไรเป็นอะไรกันแน่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ธันวาคม 2556 18:19 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155699-


วิปครีมที่ตกแต่งอยู่ในเมนูเบเกอรี่


       ใครที่ชอบกินไอศกรีม หรือขนมหวาน เบเกอรี่ต่างๆ คงจะคุ้นเคยกันดีกับก้อนครีมสีขาวๆ ที่ตีมาขึ้นฟู เพื่อแต่งหน้าขนมหรือไอศกรีมให้สวยงามขึ้น พร้อมกับช่วยให้มีรสชาติความหอมมันกินแล้วเพลิดเพลินมากขึ้นไปอีก
       
       ซึ่งคำที่ใช้เรียกเจ้าก้อนขาวๆ นี้ บางคนก็เรียก “วิปครีม” บางคนก็เรียก “วิปปิ้งครีม”
       
       ที่จริงแล้วเขาเรียกกันว่าอะไร แล้วสองคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร “108 เคล็ดกิน” จะมากระซิบตอบให้
       
       อย่างแรกเลย เรามารู้จักกันก่อนว่าเจ้าสองคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร เริ่มจาก “วิปปิ้งครีม” เป็นของเหลวสีขาวๆ รสชาติจืดๆ มันๆ ซึ่งจะใช้เป็นส่วนผสมของอาหาร หรือในการทำขนมต่างๆ โดยวิปปิ้งครีม ในท้องตลาดบ้านเราจะมีวางขายอยู่ 3 ประเภท คือ วิปปิ้งครีมสดพาสเจอไรซ์ วิปปิ้งครีมแบบยูเอชที และวิปปิ้งครีมแบบผง
       
       ส่วน “วิปครีม” ก็คือการนำวิปปิ้งครีมมาเปลี่ยนสถานะโดยการตีให้ขึ้นฟู ตีจากของเหลวกลายเป็นครีมข้นๆ จนกระทั่งเนื้อครีมสามารถตั้งตัวขึ้นมาได้ นอกจากจะตีจากวิปปิ้งครีมเปล่าๆ แล้ว ก็อาจจะใส่น้ำตาล ใส่กลิ่นวนิลาเพิ่มเข้าไปด้วยให้มีรสชาติหวานและมีกลิ่นหอม เพื่อนำมาแต่งหน้าเค้ก หรือทำเป็นไส้เค้กโรล
       
       มีความรู้กันแล้ว ครั้งหน้าถ้าจะไปซื้อของหรือซื้อขนมเบเกอรี่ต่างๆ จะได้เรียกชื่อถูกว่า ที่ต้องการจริงๆ แล้วคือ “วิปปิ้งครีม” หรือ “วิปครีม” กันแน่



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)