อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก
-http://campus.sanook.com/1369994/%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3...%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81/-
ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก อยากสมองดี ความจำดี สุดยอดอาหารชนิดใหม่ล่าสุดอย่าง "ยี่หร่าดำ (Black Cumin)" ช่วยคุณได้ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชพฤกษศาสตร์วิทยา ชี้ว่าการกินแคปซูลบรรจุยี่หร่าดำป่นขนาด 500 มิลลิกรัม 2 แคปซูลทุกเย็นเป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะช่วยให้ความสามารถในการจดจำ สมาธิ และการเรียนรู้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและป้องกันระบบประสาทในเครื่องเทศชนิดนี้มีผลต่อการกระตุ้นสมอง และยังอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ช่วยยับยั้งการเสื่อมของสารสื่อประสาทได้อีกด้วย
ขอบคุณภาพประกอบจาก superhumanfoods.org
sithiphong:
เทียนขาว - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/200604/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
ใช้พอกแผลสด ห้ามเลือด แก้เล็บขบ เล็บเป็นแผลเจ็บ หรือ หนอง ฝี แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก แผลบวมฟกช้ำ ผิวหนังอักเสบ และใช้แก้เจ็บคอ
วันอังคาร 10 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.
เมื่อใช้เป็นเครื่องยาเรียกเทียนขาว เมื่อใช้เป็นเครื่องเทศเรียก ยี่หร่า...ใบ ใช้พอกแผลสด ห้ามเลือด แก้เล็บขบ เล็บเป็นแผลเจ็บ หรือ หนอง ฝี แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก แผลบวมฟกช้ำ ผิวหนังอักเสบ และใช้แก้เจ็บคอ ใบสด หรือ ใบแห้ง ใช้ต้มเอาแต่น้ำอมบ้วนปากและคอ แก้เจ็บคอ ขับประจำเดือน ขับปัสสาวะ รักษาตาเจ็บ แก้สะอึก สมานบาดแผล แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด แก้เจ็บคอ รักษากามโรค แก้ปวดท้อง แก้ผิวหนังอักเสบตำรายาไทยใช้ใบสดแก้เล็บขบหรือเป็นหนอง โดยตำพอกหรือตำกับเหง้าขมิ้นชัน เติมเกลือเล็กน้อยพอก มีรายงานระบุว่าสามารถฆ่าเชื้อหนองและเชื้อราอันเป็นสาเหตุของโรคกลาก วงการเครื่องสำอางใช้ผงใบเทียนกิ่งแห้งเป็นยาย้อมผมให้เป็นสีน้ำตาลแดงหรือแดงปนส้ม และช่วยป้องกันผมจากแสงแดดด้วย สารออกฤทธิ์คือ lawsone ซึ่งพบว่ามีความปลอดภัย ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็ง (ข้อมูลจากฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน).
------------------------------------------------------------------------------------
บุนนาค - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/200378/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
บุนนาค แก้ลมในลำไส้ กระพี้ ขับเสมหะในลำคอ ไม้เหนียวแข็ง ทนทาน
วันจันทร์ 9 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.
บุนนาคขึ้นทั่วไปในป่าดิบทางภาคเหนือและภาคใต้ ที่ระดับน้ำทะเล จนถึง 700 เมตร ราก แก้ลมในลำไส้ กระพี้ ขับเสมหะในลำคอ ไม้เหนียวแข็ง ทนทาน ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ก่อสร้าง ต่อเรือ ทำพานท้าย และรางปืน และด้ามร่ม ใบ พอกแผลสด ดอก ใช้ผสมสี เพื่อช่วยให้สีติดคงทน เมล็ด กลั่นน้ำมันใช้จุดตะเกียง และทำเครื่องสำอาง (ข้อมูลจากองค์การสวนพฤกษศาสตร์).
sithiphong:
ทับทิมผลไม้เพื่อผิวสวย...สุขภาพดี
-http://campus.sanook.com/1370358/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2...%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5/-
แม้ริ้วรอยความเสื่อมแห่งวัยจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา หากเลี่ยงได้ หลายๆ คนคงไม่ขอเจอะเจอ ดังนั้นผู้ที่รักสุขภาพและความสวยความงามจึงพยายามสรรหาหนทางแก้ไขด้วยวิธีการต่างๆ นานาให้กับตัวเอง เพื่อหยุดหรือชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ผิว ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้ศาสตร์แห่งการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จึงเป็นศาสตร์ที่ได้รับ ความสนใจจากคนทั่วทุกมุมโลก และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
อันที่จริงการต้านความเสื่อมและชะลอวัยไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนอื่นจะต้องรู้จักกำจัดและลดจำนวนอนุมูลอิสระในร่างกายให้ได้เสียก่อน เพราะอนุมูลอิสระถือเป็นวายร้ายที่คอยบ่อนทำลายสุขภาพกายรวมทั้งผิวพรรณของเราให้เสื่อมถอยลง และเกิดโรคต่างๆ ซึ่งเจ้าอนุมูลอิสระนี้จะเกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลาจากกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายในขณะที่เราหายใจ เคลื่อนไหว และประกอบกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน หรือแม้กระทั่งช่วงที่เรานอนหลับ โดยร่างกายจะมีกลไกการกำจัดอนุมูลอิสระได้เองเช่นกัน แต่ในภาวะที่มีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากๆ เช่น ความเครียด มลภาวะ แสงแดด อาหารปิ้ง ทอด ย่าง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมากจนร่างกายอาจจะกำจัดไม่ทัน หากปล่อยไว้นานวันอาจจะก่อให้เกิด โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง หรือ แม้กระทั่งทำให้เราแก่ก่อนวัยได้ ซึ่งหากเราหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระได้มากเท่าไหร่ ความอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราได้นานมากขึ้นเท่านั้น
จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าสารอาหารส่วนใหญ่มีความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพผิวพรรณ อย่างมาก ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม สารอาหารที่ผิวหนังต้องการ ได้แก่ กรดอะมิโน กรดไขมันจำเป็นต่างๆ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งได้จากอาหารหลัก 5 หมู่ที่เราสามารถเลือกรับประทาน ในชีวิตประจำวันนั่นเอง สารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญต่อสุขภาพผิว ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีนหรือแคโรทีนอยด์ สังกะสี และซีลีเนียม สารดังกล่าวเหล่านี้ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เราควรที่จะต้องใส่ใจเรื่อง การรับประทานอาหารให้หลากหลายมีคุณภาพ ปริมาณแคลลอรี่ต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น. เลี่ยง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปล่อยวางความเครียด และนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ ก็จะช่วยให้ผิวพรรณและความอ่อนเยาว์ อยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น
sithiphong:
กาแฟขี้ช้าง Black Ivory Coffee
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87_Black_Ivory_Coffee/-
“กาแฟขี้ช้างไทย หรือ Black Ivory Coffee”
เป็นกาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลกขณะนี้มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละประมาณ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 34,000 บาท ราคาแก้วละ 1,200 บาท ซึ่งทำลายสถิติกาแฟที่เคยแพงที่สุดในโลกอย่างกาแฟขี้ชะมด หรือ Kopi Luwak จากประเทศอินโดนีเซียที่กิโลกรัมละประมาณ 600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 16,000-17,000 บาท และผู้ที่สร้างกาแฟขี้ช้างขึ้นมาคือ Mr.Blake Dinkin เป็นชาวแคนาดาผู้หลงเสน่ห์ช้างไทย คุณเบล็คเคยทดลองทำกาแฟขี้ชะมดและได้หันมาลองทำกาแฟขี้ช้างดูบ้าง ซึ่งขั้นตอนการผลิตกาแฟขี้ช้างคือ เริ่มจากการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่สุกกำลังดีสายพันธ์อาราบิก้าที่ปลูกบนความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลมาให้ช้างกิน เมื่อช้างกินเมล็ดกาแฟเข้าไปแล้วกระบวนการย่อยอาหารของช้างจะทำหน้าที่ย่อยเมล็ดกาแฟ จากนั้นควาญช้างจะต้องคอยสังเกตเมื่อช้างขับถ่ายมูลออกมาควาญช้างจะตามเก็บเมล็ดกาแฟที่ย่อยไม่หมดในมูลช้างออกมาล้างทำความสะอาดและตากแดด รวมทั้งผ่านขั้นตอนการผลิตจนคั่วออกมาเป็นเมล็ดกาแฟสำหรับให้คนบริโภค โดยต้องให้ช้างกินเมล็ดกาแฟสดประมาณ 33 กิโลกรัมจึงจะได้กาแฟให้คุณบริโภค 1 กิโลกรัม
ทำให้กาแฟชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงรวมทั้งเป็นกาแฟที่มีเสน่ห์พิเศษซึ่งแตกต่างจากกาแฟที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป และสาเหตุที่คุณเบล็คเลือกช้างเพราะ.. ช้างเป็นสัตว์มังสวิรัติที่กินอาหารสะอาด กินพืชและผลไม้เป็นอาหาร ช้างเป็นสัตว์ที่มีกระเพาะเดียวจึงมีกระบวนการย่อยอาหารที่ไม่ซับซ้อน เอนไซม์ในกระบวนการย่อยอาหารของช้างมีคุณสมบัติช่วยย่อยโปรตีนบางส่วนในเมล็ดกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟที่ถูกย่อยผ่านกระเพาะอาหารของช้างออกมามีความขมจากโปรตีนที่น้อยลง และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีความอร่อยนุ่มนวลเวลาดื่มจะให้รสสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้นไม่แพ้กาแฟชั้นดีชนิดใดในโลก
ซึ่งกาแฟขี้ช้างในชื่อ “กาแฟแบล็คไอวอรี่” (Black Ivory Coffee) นี้ในหนึ่งปีสามารถผลิตออกมาได้เพียง 200 กิโลกรัมเท่านั้น โดยในช่วงแรกนั้นคุณเบล็คได้เปิดให้คอกาแฟสามารถเดินทางไปชิมรสชาติความอร่อยของกาแฟแบล็คไอวอรี่ได้ที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ตอนนี้คุณสามารถไปลิ้มลองรสชาติกาแฟขี้ช้างสายพันธุ์ไทยได้ตามโรงแรมสุดหรูหลายแห่งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ของ blackivorycoffee.com
ข้อมูลและรูปภาพจาก : Bloggang
sithiphong:
“เคพกูสเบอร์รี่” อร่อยดี วิตามินสูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 ธันวาคม 2556 16:49 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153108-
ในบรรดาเบอร์รี่ต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันนั้นก็น่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ เป็นต้น แต่ยังมีไม้ผล หรือผลไม้ที่มีชื่อต่อท้ายว่าเบอร์รี่ที่กำลังเริ่มเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือ “เคพกูสเบอร์รี่”
เดิมนั้นเคพกูสเบอร์รี่มีชื่อภาษาไทยว่า โทงเทงฝรั่ง ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น ระฆังทอง โดยเป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล และอยู่ในตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ และพิทูเนีย
หน้าตาของเคพกูสเบอร์รี่จะเป็นผลกลมๆ เล็กๆ ขนาดประมาณลูกพุทรา เมื่อสุกแล้วจะมีเขียวอมเหลือง หรือเหลืองอมส้ม แต่ผลของเคพกูสเบอร์รี่จะถูกหุ้มด้วยกลีบเลี้ยงบางๆ เมื่อผลด้านในสุกแล้ว กลีบเลี้ยงก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนๆ เหมือนฟางข้าว
หากผ่าเข้าไปดูเนื้อด้านในผลสุก จะเห็นเป็นสีเหลืองสวย ฉ่ำ รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอม เคพกูสเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันไข้หวัด มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เป็นไม้ผลที่เหมาะกับการกินผลสด หรืออาจจะนำไปชุบช็อกโกแลตเป็นฟองดูว์ หรือใส่ผสมในสลัด หรืออาจจะนำไปทำเป็นแยมแคพกูสเบอร์รี่ก็ได้
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version