อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
เป็นหวัดอีกแล้วล่ะซี่ งั้นต้องกินอาหารพวกนี้เลย !
-http://health.kapook.com/view79365.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ฮัดเช้ยยยย อากาศเปลี่ยนทีไร ไอ จาม น้ำมูกไหลทุกที ถึงจะเป็นแค่หวัดธรรมดา ไม่ได้ป่วยหนักมากมาย แต่เป็นขึ้นมาทีก็กวนใจไม่ใช่เล่น เพราะฉะนั้นถ้าอยากหายจากหวัดเร็ว ๆ หรือไม่อยากป่วยอีก เว็บไซต์ Reader's Digest เขาก็แนะนำให้รีบไปหาอาหารต่อไปนี้มาทานด่วน ๆ
1. ซุปไก่ร้อน ๆ
อากาศเย็น ๆ เหมาะกับการนั่งซดบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยวสุด ๆ แต่ถ้าจะให้ดี ต้มรวมกับน่องไก่และผัก กลายเป็นซุปไก่ร้อน ๆ ด้วยเลยจะเวิร์กมาก เพราะงานวิจัยจาก University of Nebraska ย้ำว่า ซุปไก่นั้นมีสารอาหารที่ช่วยยับยั้งอาการอักเสบ ทำให้อาการไข้หวัดดีขึ้น ส่วนคนที่ไม่ได้ป่วยไข้ก็สามารถกินซุปไก่เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เแข็งแรง ไม่ให้โรคถามหาด้วย
2. ดื่มนมเติมวิตามินดี
เป็นหวัดแบบนี้ต้องดื่มนมให้มาก ๆ แต่ถ้าท้องของเราไม่ถูกกับนม กินทีไรท้องเสียทุกที ก็ให้มองหาอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ซีเรียล มากินสู้หวัดดู เพราะการศึกษาของ Massachusetts General Hospital เขาพบว่า คนที่มีระดับวิตามินดีในร่างกายน้อยจะป่วยเป็นหวัดมากกว่าคนที่ทานอาหารที่มีวิตามินดีมาก สมทบด้วยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Loyola ที่เผยด้วยว่า การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูงจะช่วยบูทอารมณ์ของคุณให้สดชื่นขึ้นในช่วงอากาศหนาว ๆ ที่แสนจะรู้สึกเฉื่อยชาอยากนอนเสียเหลือเกินด้วยล่ะ
3. อย่ามองข้าม "แครอท"
อาหารที่มีวิตามินเอสูง นอกจากจะช่วยปกป้องดวงตาของเราแล้ว ยังช่วยรักษาโรคหวัดได้อีกด้วยนะ เพราะอาหารที่มีวิตามินเอจะช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ถ้าป่วยเป็นหวัดแล้ว ก็จะไปช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัด ทำให้หายป่วยเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นรีบหาแครอท ผักโขม ผักใบเขียว ฟักทองมาทานด่วน ๆ
4. จิบชาเขียวชงน้ำเย็น
รู้กันอยู่แล้วว่า ชาเขียวเปี่ยมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จึงสู้กับอาการป่วยได้ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ชาเขียวนั้นต้องชงกับน้ำเย็นแทนการชงกับน้ำร้อน ๆ จ้า เพราะศึกษาจากต่างประเทศเขาแนะนำมาค่ะว่า การชงชาเขียวกับน้ำเย็น จะทำให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในชาเขียวเหลืออยู่มากกว่าชาเขียวที่ชงกับน้ำเดือด โดยอาจจะใส่ใบชาเขียวเพิ่งลงไป 2 เท่าของการชงชาร้อนก็ได้ แต่ไม่ควรชงกับน้ำร้อนแล้วมาทำให้เย็นนะจ๊ะ เพราะสารแอนตี้ออกซิแดนท์ก็หายไปกับน้ำร้อนอยู่ดี ถูกป่ะ
5. กระเทียมฆ่าเชื้อ
หลายคนอาจจะไม่ชอบกลิ่นฉุน ๆ ของกระเทียม แต่ถ้าเป็นหวัดบ่อย ๆ ก็ควรจะต้องฝืนกินสักหน่อยล่ะค่ะ เพราะการกินกระเทียมสดเป็นประจำจะช่วยปกป้องเราจากโรคหวัด เนื่องจากในกระเทียมมีสารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งเป็นสารมหัศจรรย์ฆ่าเชื้อหวัด แถมยังช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ด้วย
6. บลูเบอร์รีแก้คัดจมูก
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ พบว่า ผลไม้ลูกกลม ๆ สีม่วง ๆ อย่าง "บลูเบอร์รี" นั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สด ๆ หลายชนิด และช่วยปราบอาการคัดจมูกที่เกิดจากอากาศเย็นได้เริ่ดมาก ๆ อาจจะเลือกทานแบบสด ๆ ในช่วงที่คุณเป็นหวัด หรือจะผสมลงในชามซีเรียล หรือถ้วยโยเกิร์ตกินด้วยกันให้อร่อยแบบคูณสองก็ได้ เพราะทั้งในซีเรียลและโยเกิร์ตก็มีวิตามินดีสูงด้วยล่ะ จำได้ไหมเอ่ย...วิตามินดีก็ช่วยป้องกันโรคหวัดนะ
7. ชาเปปเปอร์มินต์ขจัดเสมหะ
ถ้ารู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ เหมือนมีน้ำมูกคั่ง มีเสมหะติดคอ ลองหาชาเปปเปอร์มินต์มาชงดื่มดูหน่อยไหมจ๊ะ จิบบ่อย ๆ วันละ 3 เวลา จะช่วยละลายเสมหะที่แสนอึดอัดในลำคอ และปราบอาการไอค่อกไอแค่กที่น่ารำคาญให้หายเป็นปลิดทิ้ง
8. เติมโอเมก้า-3 จากเนื้อปลา
เว็บไซต์ health.com เขาแนะนำให้คนที่เป็นหวัดทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้มาก ๆ ซึ่งหาได้จากปลาแซลมอน ปลาทูน่า เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย แถมยังปกป้องภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ต่อสู้กับโรคร้ายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
เห็นรายชื่ออาหารต้านโรคหวัดทั้ง 8 ชนิดนี้แล้ว จะว่าไปก็หาซื้อหาทานกันไม่ยากเลยนะ รีบไปบูทระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองด้วยอาหารพวกนี้กันได้เลย
sithiphong:
ผู้ป่วยเบาหวานทานรังนกได้หรือไม่
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1389158869&grpid=&catid=09&subcatid=0902-
คอลัมน์ รู้เฟื่องเรื่องโรคเบาหวานกับโรงพยาบาลศิครินทร์
เป็นปัญหาหนักอกหนักใจที่สำคัญมากในผู้ป่วยเบาหวาน สำหรับเรื่องการรับประทานอาหาร เพราะอยากทานนั่นก็ถูกลูกห้าม จะทานนี่แฟนก็ห้าม หลายคนถึงขนาดต้องแอบทานอาหาร "ต้องห้าม" มาแล้วก็มี ทุกวันนี้ คนที่เป็นเบาหวานโดยทั่วไปแล้ว เกือบ 100% มักจะละเลยเรื่องของการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย โดยคิดว่าเมื่อรับประทานยาแล้วก็คงหาย เหมือนการรักษาโรคทั่วไป ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด การใช้ยาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ต้องรู้จักรับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกายด้วย เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ โดยมากหมอจะแนะนำให้ทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ ไขมันน้อย รวมทั้งผักผลไม้ ที่อาจใช้เป็นยา เช่น มะระขี้นก ฟักทอง แตงกวา เป็นต้น
ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก็คืออาหารหวาน มัน ทั้งหลาย เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน เงาะ สับปะรดกวน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายคนมีข้อสงสัยว่า เป็นเบาหวานแล้วจะสามารถทานรังนก ได้หรือไม่
รังนกคือ น้ำลายและสิ่งที่นกนางแอ่นสำรอกออกมาทำรังเพื่อวางไข่ ประกอบไปด้วยโปรตีน ธาตุเหล็ก และสารอาหารอื่นๆ เป็นสมุนไพรที่มีราคาแพงซึ่งชาวจีนนิยมใช้ สามารถนำรังนกมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน โดยปกติ รังนกสำเร็จรูปที่ขายกันตามท้องตลาดมักจะใส่น้ำตาล หากผู้ป่วยจะรับประทานควรแปลงวิธีการประกอบโดยเลี่ยงการใส่น้ำตาลไปแล้วใช้น้ำตาลเทียมแทน
อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบราคาและคุณค่าทางโภชนาการแล้วอาหารประจำวันอื่นๆ เช่น ซุปไก่ตุ๋น ยังมีราคาถูกกว่ากันมาก ในกรณีที่เจ็บป่วยแล้วรับประทานอาหารไม่ลง ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานรังนกได้เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายในยามฉุกเฉินแต่ในผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเงินไม่จำเป็นที่จะต้องขวนขวายหารังนกมารับประทาน อาหารเหลวธรรมดา เช่น ซุป นม น้ำผลไม้ธรรมชาติ โจ๊กเหลว สามารถให้พลังงานฉุกเฉินแก่ร่างกายได้ทั้งสิ้น
...........
(ที่มา Hospital Healthcare เครือมติชน ปีที่ 7 ฉบับที่ 76 มกราคม 2557)
sithiphong:
เพาะ “ถั่วงอก” ในขวดน้ำดื่มกัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 มกราคม 2557 11:04 น.
-http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000003308-
การเพาะถั่วงอกไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เพียงแค่มีขวดน้ำพลาสติกใบเดียวก็ใช้เป็นอุปกรณ์เพาะถั่วงอกไว้กินได้แล้ว ซึ่งหลายคนที่ติดตามกระแสปลูกผักในเมือง อาจจะเพาะถั่วงอกด้วยวิธีนี้จนเชี่ยวชาญแล้ว แต่เราจะมารีวิวกันอีกรอบ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับการเพาะถั่วงอก คือ ขวดน้ำดื่มพลาสติก คัตเตอร์ หัวแร้งไฟฟ้า ตะแกรงไนลอนหรือตะแกรงเกล็ดปลา และน้ำสะอาด เมื่อได้อุปกรณ์ทั้งหมดแล้วนำมาเจาะรูด้วยหัวแร้งไฟฟ้าเพื่อเป็นรูระบายน้ำ โดยเจาะที่ด้านข้างเพียงด้านเดียวของขวด 2 แถวๆ ละ 5 รู (เว้นระยะจากก้นขวดประมาณ 2 นิ้ว เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับแช่เมล็ดถั่ว) และเจาะที่ฝาปิดขวดอีก 3 รู จากนั้นใช้ตัตเตอร์ตัดขวดด้านตรงข้ามที่เจาะรู เพื่อเป็นช่องสำหรับรดน้ำ
เมื่อได้อุปกรณ์พร้อมแล้วก็มาถึงขั้นตอนเตรียมความพร้อมเมล็ดถั่วเขียว โดยเติมเมล็ดถั่วเขียวลงในขวดที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ใน 4 ของความสูงของขวด (ไม่ให้เกินระดับที่ตัดเปิดช่องรดน้ำและรูระบายน้ำที่เจาะไว้) จากนั้นเติมน้ำอุ่นซึ่งผสมน้ำร้อน 1 ส่วน ต่อน้ำธรรมดา 3 ส่วน แล้วแช่เมล็ดถั่วทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดถั่วพองตัว
หลังจากแช่เมล็ดถั่วแล้ว นำไปล้างน้ำ 1-2 ครั้ง จากนั้นกระจายเมล็ดถั่วให้ทั่วขวดและวางในแนวนอน แล้วใช้ตะแหรงไนลอน หรือตะแกรงเกล็ดปลา หรืออุปกรณ์ชวยพรางแสงอื่นๆ หุ้มขวด จากนั้นรดน้ำทุกๆ 6 ชั่วโมง จนผ่านไป 60 ชั่วโมงก็จะได้ถั่วงอกไว้รับประทาน
การเพาะถั่วงอกในขวดน้ำพลาสติกนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในงานถนนสายวิทยาศาสตร์รับวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2557 ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง 9-11 ม.ค.57 โดยเป็นกิจกรรมร่วมฉลองปีสากลแห่งเกษตรกรรมแบบครอบครัว (International Year for Family Farming) ในปี 2557 ที่กำหนดขึ้นโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมในกิจกรรมจะได้รับอุปกรณ์เพาะถั่วงอกพร้อมเมล็ดถั่วกลับบ้าน
รายละเอียดเพิ่มเติม ที่
http://www.facebook.com/nsmfamilyfarming
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมวิทยาศาสตร์ให้เยาวชนได้ร่วมสนุกอีกกว่า 50 สถานี สำหรับเยาวชน และโรงเรียนที่สนใจสามารถมาเที่ยวชมงานถนนสายวิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถนนพระรามที่ 6 ได้ตั้งแต่วันที่ 9-11 ม.ค.57 เปิดให้เที่ยวชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 9.00-17.00 น.โดยสามารถเดินทางได้ทั้งรถโดยสารประจำทางสาย 8, 44, 67, 97, ปอ.44, ปอ.157, ปอ.171, ปอ.509, ปอ.538 ตลอดจนรถไฟฟ้าบีทีเอส
หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โทร. 0 2577 9999
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000003308
sithiphong:
Detox ด้วยกระเจี๊ยบเขียว
-http://campus.sanook.com/1370489/detox-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/-
หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแลสุขภาพตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส
กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น
สรรพคุณทางยา
กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน
จาก ข้อมูล ของ วิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ ซึ่งแปรรูป กระเจี๊ยบเขียว ให้ข้อมูลว่า
รับประทาน 10 - 15 ฝัก ทุกวันสามารถบำรุงตับ
รับประทาน 3 - 5 ฝัก ก่อนอาหารทุกวันสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
รับประทาน 5 ฝัก ก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกันทุกวันสามารถกำจัดพยาธิตัวจี๊ด
รับประทาน 30 - 40 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถดีท็อกซ์ลำไส้อุจจาระตกค้าง
รับประทานฝักกระเจี๊ยบ 10 -15 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถลดอาการท้องผูก
http://campus.sanook.com/1370489/detox-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/
sithiphong:
กิน “ถั่ว” หลายๆ สี เพิ่มของดีๆ ให้ร่างกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มกราคม 2557 15:15 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000005902-
ถึงจะมีขนาดเล็กๆ แต่ถั่วชนิดต่างๆ กลับมีประโยชน์มากมายเกินตัว จะใช้กินเล่นๆ หรือจะนำไปเป็นส่วนผสมของขนมและอาหารต่างๆ ก็ได้หลากหลายเมนู ที่สำคัญนั้น คุณค่าทางอาหารที่ได้จากถั่วยังล้นเหลือ ซึ่งในถั่วแต่ละชนิดก็มีสารอาหารที่แตกต่างกันไป “108 เคล็ดกิน” มีความรู้ดีๆ มาแนะนำสำหรับคนที่จะหันมาเลือกกินถั่วเพื่อสุขภาพของตัวเอง
เริ่มจากถั่วสารพัดประโยชน์ นั่นก็คือ “ถั่วเหลือง” ที่สามารถนำมาคั่วเป็นถั่วเหลืองกรอบๆ กินเป็นธัญพืช หรือจะแปลงกายมาเป็นเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ หมักซีอิ้วขาว-ซอสถั่วเหลือง ทำมิโซะ สกัดเป็นน้ำมันถั่วเหลือง และอีกมากมาย ซึ่งนอกจากจะมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่างแล้ว ถั่วเหลืองก็ยังมีสารอาหารมากมาย มีโปรตีน วิตามินอี เลซิติน แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ถั่วเหลืองจึงช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันกระดูกขาดแคลเซียม บำรุงระบบประสาท และในถั่วเหลืองยังมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงช่วยในเรื่องการควบคุมอาการในภาวะหมดประจำเดือน นอกจากจี้ หากกินถั่วเหลืองเป็นประจำยังจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดระดับคอเรสเตอรอล และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
“ถั่วเขียว” นอกจากจะเห็นในรูปแบบของถั่วเขียวต้มน้ำตาลแล้ว ก็ยังมีรูปแบบของถั่วเขียวเลาะเปลือก ที่นำมาเป็นส่วนผสมของขนมและอาหารไทยหลายๆ เมนู แถมด้วยถั่วงอก ที่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าเดิมที่เป็นถั่วเขียวด้วยซ้ำ ซึ่งตัวถั่วเขียวนั้นนอกจากจะมีโปรตีนแล้ว ก็ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ลดความดันโลหิต ช่วยกระตุ้นประสาทและทำให้เจริญอาหาร ส่วนเมื่อกลายมาเป็นถั่วงอกแล้วจะมีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
“ถั่วแดง” มีโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีธาตุเห,กช่วยบำรุงโลหิต มีแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบีที่ช่วยบำรุงประสาทและสมอง นอกจากนี้ ถั่วแดงยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเรสเตอรอล ที่สำคัญคือมีสารอาหารที่มีประโยชน์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งแคลเซียม ธาตุเหล็ก และโฟเลต
แต่นอกจากถั่วทั้งสามชนิดนี้แล้ว ถั่วชนิดอื่นๆ ก็ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง ที่มีโปรตีนมาก โซเดียมต่ำ ไขมันอิ่มตัวน้อย และปราศจากคอเรสเตอรอล ถั่วดำ มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย มีกากใยสูง ถั่วขาว ให้พลังงานสูงและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเลือกกินถั่วชนิดไหน ก็ต้องคำนึงไว้เสมอว่า ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะการกินอะไรมากหรือน้อยเกินไปก็ย่อมมีโทษเสมอ ที่สำคัญควรจะกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ร่างกายจึงจะสามารถได้รับประโยชน์จากอาหารอย่างเต็มที่
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version