อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (49/85) > >>

sithiphong:
9 เมนูกินแล้วไม่โง่

-http://club.sanook.com/14266/9-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%87%E0%B9%88-



เคยรู้สึกรำคาญตัวเองกันบ้างไหม เวลาที่นึกอะไรไม่ค่อยจะออก ลืมนั่น ลืมนี่ อยู่บ่อยๆ เชื่อว่าใครๆก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย จึงขอนำสาระดีๆ เรื่องอาหารกลุ่มบำรุงสมองมาให้ได้อ่านกัน ในทางโภชนาการบอกถึงหลักเลือกทานอาหารเพื่อการดูแลสมอง และป้องกันไม่ให้เสื่อมก่อนวัย นอกจากนี้ สมองยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในทุกมื้อ ดังนั้นมาดูกันว่า สารอาหารใดบ้างที่สมองต้องการ

1. พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมองและกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีนจึงช่วยให้ความจำดีขึ้น

2. ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น

3. เนื้อสัตว์ มีสารทอรีนที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้นช่วยบำรุงสมอง

4. ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้

5. ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี

6. มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระซึ่งพบในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์

7. บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

8. ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม

9. เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้นยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี่ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้นและหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น หากต้องการให้สมองของเราดีมีความจำที่เป็นเลิศก็อย่าละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วยสมองก็จะดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก Nestlé







sithiphong:
มะเขือเทศ…เสน่ห์แพรวพราว!

-http://club.sanook.com/21368/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A3-




ถ้านึกถึงมะเขือเทศ เรื่องรสชาติจัดจ้านและสีสันแดงเด่นอันนี้คงไม่ต้องพูดถึง แต่คุณสมบัติในตัวซึ่งซุกซ่อนนี่สิน่าสนใจกว่ากันเยอะ เริ่มตั้งแต่อุดมไปด้วยวิตามินตัวสำคัญไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอที่บำรุงสายตา และผิวพรรณให้สวยสดใสวิตามินบีซึ่งช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในตัวของเราไม่เกเรยอมทำงานได้เป็นปกติ และวิตามินซีช่วยป้องกันต้านโรคร้ายต่างๆ ที่จะมารังแก ทำให้ไม่นอนซมเป็นไข้ไม่สบายบ่อยๆ แถมแคลอรีก็น้อย กินได้คล่องปากสบายใจ ไม่มีเรื่องของไขมันและน้ำหนักตัวมาทำให้หวาดหวั่น

แต่ที่เด็ดกว่านั้นก็คือมีการค้นพบทางการแพทย์ว่า ถ้าหมั่นใช้บริการ กินมะเขือเทศบ่อยๆ เป็นประจำ จะเป็นทางหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกคุกคามของเจ้ามะเร็งตัวร้ายให้ลดน้อยลงได้ เพราะมีสาร “ไลโคฟีน” ตัวแอนตี้ออกซิแดนท์ต้านมะเร็ง เหมือนกับเบต้าแคโรทีนที่เราคุ้นชื่อกันดี แต่ไลโคฟีนซึ่งพบมากที่สุดในมะเขือเทศลูกแดงๆ นี้มีฤทธิ์มากกว่าคุณเบต้าฯ ตั้ง 2 เท่าเลย!

ขอบคุณข้อมูลจาก วิชาการดอทคอม

sithiphong:
สะเดา สรรพคุณของสมุนไพรมหัศจรรย์

-http://board.postjung.com/627873.html-

สะเดา" ด้วยความขมสามารถใช้รักษาโรคหลายชนิด   


โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย

        เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน

 
สรรพคุณด้านยาสมุนไพร

       สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย

"สะเดา" มีชื่อพื้นบ้านว่า สะเดาไทย สะเดาบ้าน กะเดา กาเดา จะดัง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า นีม ทรี (Neem Tree) และโฮลลี ทรี (Holy Tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อะซาดิแรคตา อินดิคา(Azadirachta indica A.Juss.var.siamensis Veleton) จัดอยู่ในวงศ์ มีเลียซีอี้ (Meliaceae)





สะเดาอินเดีย

              สะเดาอินเดีย จะเรียกว่า ควินิน ขี้นิน จะมีรสขมกว่าสะเดา นิยมใช้ใบและแก่นมาต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย ในบางแห่งจะใช้ใบสะเดาเป็นยาฆ่าแมลง หรือต้มดื่มแก้โรคเบาหวาน สำหรับดอกสะเดาอินเดียสามารถใช้แก้กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ ในตำรายาไทยได้มีระบุว่าใช้ก้านอ่อนและใบสะเดา ในการแก้ไข้ทุกชนิดได้ดี

 

คุณค่าทางโภชนาการคือ


           ประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ไนอาซิน ในใบสะเดามีสารที่เรียกว่า ไลโมนอยด์ (Limonoid) และคอร์ซิติน (Quercetin) ที่เปลือกของสะเดามีสารที่เรียกว่า นิมบิน (Nimbin) และในเมล็ดสะเดามีสารที่เรียกว่า อะซาดิแรค-ติน (Azadirachtin) และสารควิโนน (Quinone)


สรรพคุณของสะเดาและวิธีใช้

        ส่วนต่างๆของสะเดามีสรรพคุณในทางเป็นยาได้แก่ ยอดอ่อน ดอกสะเดา ก้านใบ ผล แก่น และราก ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังต่อไปนี้

 


ดอกและใบอ่อน ดอกและใบอ่อนของสะเดามีสรรพคุณในการใช้บำรุงธาตุไฟ คือเรียกน้ำย่อย บำรุงน้ำดี แก้ดีพิการ ทำให้นอนหลับ มีภูมิต้านทานโรค แก้ฝี แก้ไข้
รากและเปลือกต้น รากและเปลือกต้นสะเดาใช้แก้ท้องเสีย แก้บิดมูกเลือด และแก้ไข้มาลาเรีย
         

ราก -รากสะเดามีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ไข้ ทำให้อาเจียน
         

ผล - ผลสะเดาสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ แก้ลมเจริญอาหาร
         

ก้าน - ก้านสะเดาใช้แก้ไข้ บำรุงน้ำดี แก้ดีพิการ แก้ท้องร่วง แก้กระษัย แก้ไข้ลดความร้อนแก้ไข้จับสั่น
         

แก่น -แก่นของสะเดาใช้แก้คลื่นเ...ยน อาเจียน แก้ไข้จับสั่น ไข้ตัวร้อน บำรุงเลือด บำรุงไฟธาตุ

จากการวิจัยในเรื่องของสะเดาพบว่าสามารถเป็นยาฆ่าแมลงที่ได้ผลดีมากและปลอดภัย

 

เห็นมั้ย ค่ะ ว่าถึงสะเดาจะมีรสชาติขมถึงเพื่อนหลายๆคนจะไม่ชอบทาน แต่ว่าก็รสชาติขมนั้นและล้วนเป็นประโยชน์แก่ร่างกายของเรานะค่ะ อย่างที่เขาบอกกันว่า  หวานเป็นลมขมเป็นยา

 

ขอขอบคุณ

http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02biz05241252&sectionid=0214&day=2009-12-24



sithiphong:
“ปูนิ่ม” เนื้อนิ่มๆ กินอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2557 17:29 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008649-




ใครที่ชอบกินปู มักจะมีปัญหากวนใจเรื่องต้องมาคอยนั่งแกะเปลือกปูออกไปให้หมด กว่าจะได้ลิ้มรสชาติหวานๆ ของเนื้อปูสดๆ แน่นๆ ก็เริ่มจะเหนื่อยใจ
       
       แต่ปัญหานี้จะหมดไปถ้าคุณเลือกกิน “ปูนิ่ม”!!!
       
       หลายคนอาจจะรู้จักชื่อปูนิ่ม อาจจะเคยกินกันแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าปูนิ่มมันคือปูอะไรกันแน่ วันนี้ “108 เคล็ดกิน” จะมาเฉลยให้ฟัง
       
       “ปูนิ่ม” เป็นชื่อของปูที่นำมาทำอาหาร ซึ่งไม่ได้ย่อมาจาก “ปูปัญญานิ่ม” แต่อย่างใด
       
       “ปูนิ่ม” ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นปูพันธุ์ใด หรือชนิดใดเป็นพิเศษ จะเป็นปูดำ ปูขาว ปูทะเล ก็สามารถนำมาทำเป็นปูนิ่มได้เช่นกัน สรุปว่าปูนิ่มนั้นหมายถึงปูที่ลอกคราบใหม่ๆ นั่นเอง
       
       ซึ่งปูนิ่มที่เรากินกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากฟาร์มที่เลี้ยงปูนิ่มโดยเฉพาะ ที่มักจะนำปูทะเลมาทำเป็นปูนิ่ม โดยวิธีการทำปูนิ่มจะต้องเลี้ยงปูให้ลอกคราบ ซึ่งปกติแล้วปูก็จะมีการลอกคราบเพื่อขยายขนาดกระดองใหญ่ขึ้นตามอายุของปู คือเมื่อปูเจริญเติบโตจนเต็มพื้นที่กระดองเดิมแล้ว ก็จะลอกคราบโดยมีการสร้างกระดองใหม่ขึ้นมา ช่วงที่ปูลอกคราบใหม่ๆ นั้นกระดองจะนิ่ม ผิวเปลือกย่น ซึ่งจะเรียกระยะนี้ว่า “ปูนิ่ม” นั่นเอง
       
       ระยะที่เป็นปูนิ่ม ปูจะอ่อนแอมากที่สุด โดยจะใช้ระยะเวลาลอกคราบจนกระทั่งกระดองใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน ถ้าอยู่ในสภาพธรรมชาติปูที่ลอกคราบใหม่ๆ จะต้องซ่อนตัวให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจถูกศัตรูจับกินได้
       
       สำหรับการเลี้ยงปูนิ่มนั้น เมื่อปูลอกคราบเสร็จใหม่ๆ ผู้เลี้ยงก็จะจับเอาปูไปแช่น้ำจืดเพื่อป้องกันการแข็งตัว เนื่องจากในน้ำทะเลมีปริมาณแคลเซียมมาก ปูจะใช้แคลเซี่ยมในน้ำทะเลทำให้กระดองแข็งตัวขึ้น เมื่อแช่ในน้ำจืดสักพักก็จะจับมาน็อกในน้ำแข็งเพื่อให้ปูหมดสติ จากนั้นก็นำไปแช่แข็งแล้วนำออกไปจำหน่าย
       
       “ปูนิ่ม” นั้นมีวิธีการเลี้ยงที่ซับซ้อนพอควร อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมาก เนื่องจากกินง่าย ไม่ต้องมาคอยนั่งแกะเปลือกเหมือนปูทั่วไป จึงทำให้ปูนิ่มมีราคาค่อนข้างสูงพอควรในท้องตลาด

sithiphong:
“ขิง” สมุนไพรไทยชั้นดี ช่วยต้านหนาว

-http://club.sanook.com/21982/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%8A%E0%B9%88-


“ขิง” สมุนไพรไทยชั้นดี ช่วยต้านหนาว

พอดีมีโอกาสได้ไปรับลมหนาวที่เชียงใหม่ค่ะ ก็ไปเที่ยวเขา เที่ยวดอย ตามภาษาคนที่อยากไปรับรู้ความหนาวเย็นจัดๆ เป็นยังไงบ้าง ซึ่่งก็ต้องบอกว่าหนาวมาก หนาวเย็นกว่าปกติซะด้วย และก็สังเกตอย่างนึงว่าชาวบ้านท้องถิ่น หรือชาวเขา ที่อยู่ตามดอย จะนิยมเปิดร้านขายมันปิ้ง ไข่ปิ้ง หรือน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่ใส่หม้อดินและตั้งเตาถ่านไว้ ขายกันสดๆร้อนๆ หลากหลายชนิด เช่นน้ำขิงผสมน้ำผึ้ง นมร้อนผสมน้ำผึ้ง น้ำเก็กฮวย อะไรประมาณนั้น ซึ่งเค้าก็จะขายอยู่ตลอดข้างทางที่เดินผ่านไปอ่ะซึ่งก็แอบไปดื่มมา ซึ่งก็อร่อยมากและได้บรรยากาศสุดๆ และที่สังเกตอีกอย่างนึงคือ ในทุกร้านจะต้องมีน้ำขิงขายทุกร้าน..


ซึ่งสิ่งที่เราจะเล่าวันนี้นั้น ก็คือ ใน “ขิง” นั้นก็มีสรรพคุณอย่างนึง คือ ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นได้ค่ะ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งของชาวท้องถิ่น หรือนักท่องเที่ยวเค้านิยมดื่มกัน ซึ่งก็อาจจะมาจากสภาพอากาศบนดอยที่หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปีด้วย  และนอกจากนี้ เรายังมีสาระน่ารู้เกี่ยวกับสรรพคุณของ “ขิง” จากโรงพยาบาลลำปาง มาฝากเพื่อนๆ กันอีกด้วยค่ะ

 

“ขิง”  ปรับสมดุลธาตุหน้าหนาว

ภกญ. ดร.สุภาภรณ์  ปิติพร  หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลอภัยภูเบศร ได้กล่าวว่าหน้าหนาวเป็นช่วงของวาตะธาตุหรือธาตุลม  ส่งผลกระทบต่อธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลมและไฟ  ใครที่มีธาตุ 4 สมดุลก็จะมีภูมิต้านทานกับการเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูกาลมากกว่าคนอื่น  สำหรับคนที่มีวาตะธาตุเป็นเจ้าเรือน คือที่ผอมแห้งแรงน้อย  คนชรา หรือวัยเด็ก ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น    ธาตุไฟในคนกลุ่มนี้จะอ่อนแรง  ยิ่งเมื่อถึงหน้าหนาวจะอ่อนแรงไปอีก   ธาตุน้ำและลมจะกำเริบร่วมกัน  ทำให้มีเสมหะเหนียวแห้ง   ช่วงนี้คนมักเจ็บป่วยด้วยอาการหวัดและไอแห้งๆ  รวมทั้งมีการกำเริบของหอบหืดในช่วงฤดูหนาว

 


สมุนไพรขิง จึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ถูกนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม  ปลอดภัย  เป็นการช่วยเพิ่มธาตุไฟ   ขิงเป็นสมุนไพรที่ทุกมุมโลกนำมาใช้ พบว่ามีสารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่  มีการทดลองพบว่า  น้ำขิงต้ม  ทำให้เม็ดเลือดขาวแมคโครฟาจ จับกินไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น  จึงเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำหรับในฤดูกาลนี้  เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่หาง่าย  มีความปลอดภัย  ใช้มานาน    ดังนั้น เมื่อมีอาการเป็นหวัด  ไม่สบาย    เราอาจเลือกกินน้ำต้มขิง  หรือต้มซุปไก่บ้าน ที่ใส่ตะไคร้และขิง   จะช่วยให้อาการดีขึ้น



ปัจจุบันขิงเป็นสมุนไพรที่บรรจุเป็นยาหลักแห่งชาติและองค์การอนามัยโลกรับรองขิงรักษาหวัด แต่มีข้อจำกัดในคนท้อง ยกเว้นต้องซื้อจากบริษัทที่ควบคุมคุณภาพที่ดีพอ ขิงเป็นสมุนไพรที่ใช้ในหลายประเทศทั่วโลก   เช่น   แพทย์จีนโบราณจัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น   มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น  ขับเหงื่อ  บำรุงกระเพาะ  แก้คลื่นไส้อาเจียน  ลดโคเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด   อินเดียใช้ขิงลดการอักเสบ  แก้ปวด ลดการบวมน้ำ   ใช้เป็นยากระตุ้นอาหาร  เป็นยาช่วยย่อย  ช่วยขับลมในลำไส้  ระงับการคลื่นไส้อาเจียน  กระตุ้นกำหนัด   ตำรายาทางอายุรเวทใช้ขิงลดอาการบวม และลดการอักเสบของตับ   คนยุโรปโดยทั่วไปจะใช้ชาขิงช่วยย่อย  ช่วยรักษาท้องอืดจาการดื่มเหล้า  ช่วยขับลม  ใช้รักษาโรคเก๊าท์ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

สำหรับคนไทย จะรู้จักขิงเป็นอย่างดี  สามารถนำมาเป็นเครื่องเทศปรุงเป็นอาหารได้สารพัด  ช่วยปรุงแต่งให้อาหารมีรสที่ชวนกิน  ดับกลิ่นคาว     อยู่ในตำหรับยารักษาโรคได้มากมาย   ขับลม   ช่วยย่อยอาหาร   ขับเหงื่อ   ขับน้ำนม   บำรุงธาตุ   บำรุงกำลัง    ฉะนั้น  ในหน้าหนาวนี้   ลองปรุงอาหารที่มีขิง   ถ้าหาอะไรไม่ได้   ลองต้มน้ำต้มขิงช่วยปรับสมดุลธาตุกันนะคะ

 

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา    โรงพยาบาลลำปาง

ภาพประกอบ : Photos.com

------------------------------------------------------------------------------------


สารพฤกษเคมีในผักและผลไม้ คืออะไร

-http://campus.sanook.com/1370615/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/-





ผักและผลไม้ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนใหญ่สารที่เป็นประโยชน์พบมากในเม็ดสีของพืชเรียกว่า สารพฤกษเคมี ซึ่งส่วนใหญ่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และต้านการอักเสบตลอดจนมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

สารที่มักพบในพืชผักผลไม้ มี สารคลอโรฟิลล์ พบมากในพืชใบเชียว เช่น กวางตุ้ง บัวบก และชะพลู ช่วยกระตุ้นในการสร้างภูมิต้านทาน ชำระล้างขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

สารคาโรทีนอยด์ พบมากในพืชสีส้มเหลือง และสีแดงส้ม เช่น แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง ส้ม มะละกอ ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี

สารลูทีน จะพบในพืชที่มีสีเหลือง อย่างข้าวโพด ช่วยต้านสารอนุมูลอิในการป้องกันเยื่อแก้วตา สระช่วยบำรุงสายตาการมองเห็น

สารไลโคปีน พบในพืชสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม สตรอเบอรี่ มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสขาวอมชมพู และลดการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแข็งตัวอีกด้วย

สารแอนโทไซยานิดินหรือแอนโทไซยานิน พบในพืชสีน้ำเงิน และม่วงแดง เช่น กะหล่ำปลีม่วง หัวบีท องุ่นม่งแดง เชอร์รี่ ช่วยขยายหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและอัมพาต

สารอัลลิซิน พบในพืชสีขาว เช่น กระเทียม เป็นสารที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดความดันโลหิต ขับลม ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน

สารอินดอล ไอโซไทโอไซยาเนท บพมากในพืชตระกูลกะหล่ำ บรอคโคลี ผักกาดขาว กะหล่ำปลี เป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ หากต้องการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แนะนำให้รับประทานผักปและผลไม้ที่หลากหลาย และมีสีสันหมุนเวียนกันไป เพื่อร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆที่เป็นประโยชน์อย่างครบถ้วน และสมดุล

ที่มา : เว็บไซต์ สสส.




นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version