อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
พริก กับความเผ็ดร้อน ที่ไม่ได้มีอยู่จริง
-http://campus.sanook.com/1370653/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87/-
ใครชอบกินเผ็ดบ้างครับ? ใครกินเผ็ดไม่ได้เลยบ้าง? เชื่อไม๊ครับว่าความเผ็ดร้อนของพริกอาจจะพูดได้ว่า "มันไม่ได้มีอยู่จริง"
เรื่องมันเกิดก็ตอนที่เพื่อนร่วมงานของผมนั่งหน้าเซียวบ่นว่าแสบท้องหลังจาก"จัดหนัก"มื้อกลางวันรสเผ็ดมา ทำไมพริกเม็ดเล็กๆถึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเหมือนโดนไฟลวกได้ ทั้งๆที่ตัวมันเองก็ไม่ได้มีความร้อนอะไรแบบนั้น?(พริกในตู้เย็นก็สร้างความปวดแสบปวดร้อนได้ไม่ต่างจากพริกในน้ำแกงร้อนๆ) ตัวการของความรู้สึกทรมานนี้มีชื่อว่า แคพไซซิน (Capsaisin) ในพริกนั่นเองครับ
แคพไซซิน เป็นสารเคมีที่พบได้ในพริกและผลของพืชที่มีรสเผ็ด ซึ่งจะมีผลออกฤทธิ์สร้างความปวดแสบปวดร้อนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น(ซึ่งคนเราก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็เลยได้อานิสงส์ของแคพไซซินไปด้วย)
ที่บอกว่าความเผ็ดร้อนของพริกนั้นไม่ได้มีอยู่จริงก็เพราะวิธีเกิดความรู้สึกเผ็ดร้อนจากพริก... แบบนี้ครับ... เมื่อเรากินพริก หรือแม้แต่เอาพริกมาทาตามตัว(จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) แคพไซซินที่อุดมอยู่ในพริกก็จะออกมาสัมผัสกับผิวหนัง หรือลิ้นของเรา ที่ผิวหนังและลิ้นของเราก็จะมีหน่วยรับความรู้สึกกระจายอยู่ เมื่อเจ้าแคพไซซินไปจับกับหน่วยรับความรู้สึกเหล่านี้ มันจะกระตุ้นให้เซลล์ประสาทส่ง"สัญญาณลวง"ออกไป ซึ่งโชคไม่ค่อยดีที่"สัญญาณลวง"ที่เกิดจากแคพไซซินนี้ มีหน้าตาไปเหมือนกับสัญญาณของความรู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกไฟลวกหรือเวลาเรามีแผลถลอกครับ เป็นที่มาว่า ทำไมพริกที่ตัวมันเองไม่ได้ร้อนอะไรจึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นได้... ซึ่งเรื่องยังไม่จบตรงแค่นี้ครับ
ร่างกายของเราพอได้รับสัญญาณลวงจากแคพไซซินที่หน้าตาไปพ้องกับสัญญาณของความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแล้วก็หลับหูหลับตาเชื่อไปตามนั้นครับ ร่างกายจึงมีปฎิกิริยากับบริเวณที่ส่งสัญญาณลวงออกมาเหมือนโดนไฟลวกหรือเป็นแผลถลอกจริงๆ นั่นก็คือหลอดเลือดขยาย เพื่อนำเม็ดเลือดขาวมาเตรียมรอต่อสู้กับเชื้อโรค(ที่อาจจะเข้ามาทางแผลนั้น) ทำให้มีเลือดมาคั่ง บวม แดง บริเวณที่โดนพริกนั่นเองครับ
แล้วในเมื่อพริก(อันที่จริงคือแคพไซซินในพริก) ทำให้เกิดความปวดแสบปวดร้อนทรมาณ ทำไมบางคน(เช่นผม)ถึงนิยมชมชอบอาหารรสเผ็ดอันแสนจะทรมานนี้? บางครั้งเห็นพริกแล้วตาลุกเหมือนว่าเสพติดพริกอะไรแบบนันก็มี นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เกิดจากการเชื่อมโยงความรับรู้ผิดๆของเราอีกนั่นแหละครับ... เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่เรากินอาหารรสเผ็ดเข้าไป แคพไซซินก็แผลงฤทธิ์ สร้างความรู้สึกเผ็ดร้อนขึ้นในปากในจมูกท่วมท้นไปหมด เมื่อร่างกายทรมานกับความเผ็ดร้อนที่เกิดขึ้น ก็มีมาตรการรับมือกับความเผ็ดร้อนนี้ โดยจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน(endorphin)ออกมาเพื่อระงับความทรมาน เอนดอร์ฟินเป็นสารแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกเคลิบเคลิ้ม และมีฤทธิ์เสพติด เราซึ่งไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเอนดอร์ฟิน ได้แต่รับรู้ถึงความเผ็ดร้อนและอาการเคลิ้มที่ตามมา จึงเหมาเอาว่า พริกนั้นให้ความรู้สึกดีเวลากินเข้าไปนั่นเองครับ...
By ษัษฐา ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา
sithiphong:
เคล็ดวิธีปรับเมนูของไหว้ตรุษจีน กินปลอดไขมันในเลือดสูง
ASTVผู้จัดการออนไลน์
29 มกราคม 2557 09:54 น.
-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000010598-
By Lady Manager
เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงที่คนในครอบครัวมาเจอกันพร้อมหน้า เพื่อไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนั้นก็จะร่วมกินอาหารไหว้อย่างมีความสุข
สุขปาก ทว่าอาจจะไม่สุขกายสุขใจถ้ายึดกินแต่เป็ด ไก่ หมูสามชั้น ฯลฯ ปัญหาไขมันในเลือดขึ้นสูง จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติผู้ใหญ่สูงวัย หรือแม้แต่คุณๆ วัยทำงานเอง
“ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่กินกันจนอิ่มเกินพอดี เนื่องจากการกินอาหารหลายมื้อ ประกอบด้วยอาหารหลากหลายที่ส่วนใหญ่ไขมันสูง ยิ่งกินกับลูกหลานยิ่งสนุกจนทำให้กินเพลินจนเกินจำเป็น และอาจมีผลเสียต่อสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันสูงอยู่แล้ว จะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไขมันในเลือดสูงยิ่งขึ้น”
นฤมล วัฒนาโสภณ นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท (แผนกผู้สูงอายุ) กล่าวว่า โรคนี้มีสาเหตุหลักมาจากการกิน
“การเข้าครัวทำอาหารไหว้ หรือซื้อของกินของไหว้ที่ช่วยลดความเสี่ยงของไขมันสูง จะสามารถช่วยลดปริมาณไขมันที่ผู้สูงอายุรับประทานลงได้มาก”
ของไหว้ขาประจำ คอเลสเตอรอลนำโด่ง แป้งหวานมาเด่น
เริ่มจากการจัดมื้อไหว้เทพเจ้า (ไป๊เล่าเอี๊ย) ซึ่งจะไหว้กันตอนเช้ามืดช่วงเวลา 07.00-08.00 น.มักจะประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะสามหรือห้าอย่าง ซึ่งนิยมไหว้กันด้วย หมูสามชั้นต้ม (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่และเป็ดทั้งตัวไม่ตัดขา (คอเลสเตอรอลสูงจากหนังและเครื่องใน), ปลาทั้งตัวไม่ตัดครีบ และหาง, ปลาหมึกแห้ง และตับ (คอเลสเตอรอลสูง) และขนมเข่ง (คอเลสเตอรอลสูงจากน้ำมัน) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
อีกมื้อคือ การไหว้บรรพบุรุษ (ไป๊เป๊บ๊อ) ไหว้กันในช่วง 09.00 น.ถึงก่อนเที่ยง ซึ่งนิยมไหว้กันที่บ้านของพ่อแม่ถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว มักจะไหว้กันด้วยอาหารที่บรรพบุรุษชอบ
นอกจากนี้ยังมีไก่ทั้งตัวต้ม (หนังมีคอเลสเตอรอลสูง), ขาหมูตุ๋น (คอเลสเตอรอลสูง), เส้นหมี่สดเส้นยาวต่อเนื่องผัด (ไขมันสูงจากน้ำมัน), แกงจืด, ผัดผักนิยมใช้ถั่วงอก, มันแกว และขนมต่างๆ เช่น ขนมเข่ง, ขนมถ้วยฟู และน้ำชา ฯลฯ
ส่วนมื้อที่สามที่จะไหว้กันในช่วงบ่าย เป็นการไหว้วิญญาณที่ไม่มีญาติ (ไป๊ฮ้อเฮียตี๋) ซึ่งนิยมไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ 3-5 อย่าง (ซาแซ หรือโหงวแซ) เช่น หมู (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่ และเป็ด (คอเลสเตอรอลสูง) และประกอบด้วยของหวาน เช่น ซาลาเปา, ขนมถ้วยฟู, ขนมสาลี่, ขนมไข่, เผือกเชื่อมน้ำตาล (น้ำตาล และแป้ง) และผลไม้ 5 อย่างคือส้มสีเหลืองทอง, องุ่น, กล้วย, สัปปะรด, สาลี่ ฯลฯ
และถ้าจะให้ครบยิ่งขึ้นก็จะมีการไหว้ครั้งที่ 4 คือ การไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิงเอี๊ย) นิยมไหว้ด้วยขนมอี๊ (สาคูต้มสุกน้ำเชื่อม ), ผลไม้ 5 อย่าง, ขนมหวาน 3 อย่าง เช่น ขนมเข่ง, ขนมฮวดก๊วย, ขนมชั้น ฯลฯ
ปรับเมนูไหว้ เลี่ยงเป็ด-เครื่องใน เน้นปลา-ไก่บ้าน
"อาหารตรุษจีนที่เป็นเนื้อสัตว์สามหรือห้าอย่าง ควรเลือกทำจานปลาเป็นจานหลัก เช่น ปลานึ่งกับน้ำจิ้ม ส่วนไก่ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกเป็นไก่บ้าน เพราะไขมันน้อยกว่า และควรให้ท่านรับประทานส่วนเนื้ออกที่ลอดหนังออกเพราะเนื้อส่วนอกมีไขมันน้อย” นักโภชนาการนฤมล ให้ไอเดียปรับเมนูไหว้ เพื่อสุขภาพที่ดีและลดเสี่ยงโรคไขมันในหลอดเลือดในช่วงตรุษจีน
"ถ้าเป็นไปได้ควรให้ท่านเลี่ยงการรับประทานเป็ด (เป็ดมีไขมันมากกว่าไก่หลายเท่า) แต่ถ้าท่านชอบเนื้อเป็ดควรใช้วิธีการลดมันด้วยการย่างเป็ดแบบรีดน้ำมัน และลอกหนังออก รวมถึงหลีกเลี่ยงเครื่องในทุกชนิดเพราะมีคอเลสเตอรอลสูง
หมูสามชั้นก็ควรลอกหนังและชั้นไขมันออกก่อนทำอาหารให้ท่านทานเพราะไขมันหมูเป็นไขมันอิ่มตัว”
นำหมี่มาคลุกน้ำมันแทนการผัด เลือกขนมหวานไม่ใส่มะพร้าว
"จานหลักอีกมื้อคือหมี่ผัด ควรเลี่ยงจากการผัดมาเป็นการคลุกด้วยน้ำมันรำข้าวเพราะการคลุกสามารถควบคุมปริมาณน้ำมันได้ดีกว่าการผัด และน้ำมันรำข้าวยังดีต่อผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันเพราะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดปริมาณไขมันเลว (แอลดีแอล) และเพิ่มไขมันชนิดดี (เอชดีแอล)
ควรใส่ผักเยอะๆ จะได้เป็นการลดปริมาณเส้นที่ท่านอาจทานมากเกินไป เพราะเส้นจากแป้งจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ซึ่งจะไปสะสมในเส้นเลือด”
สำหรับขนมหวานชนิดต่างๆ โดยเฉพาะขนมเทียน ขนมเข่ง นฤมลแนะนำว่า
"ควรเลือกขนมเข่งแบบไม่มีมะพร้าวเป็นส่วนผสม เพราะในมะเพร้าวก็มีไขมัน และควรทำหรือซื้อที่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อควบคุมการทานของท่าน ควรดูแลไม่ให้ท่านทานมากเกินไป ส่วนขนมสาลี่ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปาก็เช่นเดียวกัน ควรเลือกซื้อแบบขนาดเล็ก เพราะแป้งก็จะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมในเส้นเลือดได้เช่นเดียวกัน”
เคล็ดวิธีกินให้ปลอดภัย กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
"วิธีในการควบคุมปริมาณการกินที่ได้ผล คือแบ่งอาหารออกมาแค่บางส่วนแค่พอดีรับประทานในแต่ละมื้อจากของไหว้ทั้งหมด ถ้าไหว้ในปริมาณมากสามารถใช้เทคนิคการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้รับประทานในวันอื่นๆ ก็ได้ หรือถ้าคิดว่ารับประทานไม่หมดควรแบ่งให้เพื่อนบ้านเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
เทศกาลตรุษจีนเป็นเทศกาลมงคล เป็นเทศกาลของครอบครัวที่ทุกคนมาเจอกันอยู่ร่วมกัน แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น การเลือกหรือเตรียมอาหารของไหว้จึงเป็นสิ่งสำคัญ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาพที่ดีควบคู่ไปด้วยกัน" เธอฝากปิดท้าย
*คนไทยมีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน*
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2556) พบมากในผู้ชายที่อายุ 55 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่อายุ 45 ปีขึ้นไป
ไขมันสูงที่เราชอบพูดถึงกันนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะไขมันตัวร้าย (แอลดีแอล) จะไปฝังตัวในผนังหลอดเลือดซึ่งยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นผนังหลอดเลือดหนา ตีบ หรือตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ได้หรือไม่เพียงพอ
ยิ่งไปเกิดในบริเวณที่เป็นอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หรือหัวใจ ก็อาจทำให้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรือตัน และถ้าไปอุดตันที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้
sithiphong:
เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
6 กุมภาพันธ์ 2556 08:21 น.
-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000014754-
By Lady Manager
อุบ๊ะ เทศกาลตรุษจีนหมูเห็ดเป็ดไก่จัดมาเต็ม แถมขนมเข่งขนมไข่ ฯลฯ สารพัดขนมของโปรดสาวเราอีกตรึม! ล้วนเป็น อาหารคาวหวานเมนูมงคล สำหรับไหว้และต้องกินเอาเคล็ดทั้งนั้น
แต่ทำไงดี! กลัวอ้วน เกรงเบาหวานความดันโลหิตขึ้น!!
เรามีเคล็ดลับการตะลุยกินตรุษจีนจากคุณหมออายุรวัฒน์ นพ.กฤษดา ศิรามพุช มาบอกต่อค่ะ
จัดซาแซ เสียบกุ้งปลาแทนหมูเป็ด
ปกติไหว้ของคาว 3 อย่าง เรียกว่า ชุดซาแซ ประกอบด้วย หมู เป็ด ไก่ แต่ถ้าไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า ชุดโหงวแซ ประกอบด้วยหมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา ซึ่งแนะนำให้ไหว้เพียงชุดซาแซ จัดของคาวสัก 3 อย่างพอ เอาเงินไปเน้นซื้อผลไม้ดีกว่านะคะ
“ตัดเป็ดออกเลยครับ เพราะเป็ดมีไขมันมากกว่าไก่” หมอกฤษดาจัดให้
“เอาปลากับกุ้งแทนเป็ดกับหมู”
เพราะปลาหมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์ ยิ่งเป็นกุ้งมังกร หัวใหญ่มีก้าม ส่งเสริมให้มีอำนาจวาสนา
“เป็นลูกชิ้นปลาก็ได้นะครับ” ให้ความรู้สึกถึงอำนาจวาสนา
ถ้าเป็นลูกชิ้นปลา ตามภาษาจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ-อี๊ แปลว่า ลูกปลากลมๆ ได้มงคลสองเด้ง เหลือกินเหลือใช้กับกลมๆ ซึ่งคนจีนตีความว่า เป็นความราบรื่น ทำกิจการงานใดก็ไม่สะดุด
ปลิงทะเล หัวหมู บาทาไก่ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด ดูดซึมคอลลาเจนได้ดี
อย่ายี้ค่ะ ถ้าเราจะแนะให้คุณสาวๆ กินตีนไก่ หรือหัวหมู หรือบ้านไหนร่ำรวยจัดปลิงทะเลไหว้เจ้า และนำมาทำเมนูเด็ด ไม่ว่าปลิงทะเลตุ๋นหม้อดิน หรือปลิงทะเลน้ำแดง เพื่อนสาวห้ามพลาดเลยนะคะ
“คนมักคิดว่าหัวหมูตัวอ้วน แต่จริงๆ แล้ว มันคือ แหล่งคอลลาเจน คนฝรั่งเศสถึงขนาดเอาหัวหมูไปเคี่ยวและทำเยลลีหัวหมู” คุณหมอกฤษดา เผยต่อ
“ปลิงทะเล บาทาไก่ ก็มีคอลลาเจนเยอะ รวมทั้งอาหารทะเลต่างๆ กุ้งหอยปูปลา แต่วิธีกินให้ได้ผลดูดซึมคอลลาเจนได้ดีคือ ต้องกินร่วมกับวิตามินซี
การกินร่วมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่บีบมะนาวเป็นวิธีดีที่สุดครับ หรือกินเสร็จกินส้มล้างปากด้วยก็ได้ครับ”
โห ถูกใจมากเลยค่ะ เนื่องจากสาวส่วนใหญ่ชอบรสเปรี้ยวต้องจิ้มแก้เลี่ยนอยู่แล้ว
เน้นขนมไหว้ที่ประกอบไปด้วยธัญพืช แกล้มน้ำชาน้ำสมุนไพร
เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
หากดูรายชื่อขนมไหว้ อุ้ย มากมายหลากหลายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนมเทียน ขนมเข่ง ขนมไข่ ขนมจันอับ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปา เป็นต้น
“ขนมพวกนี้หนักแป้ง และออกหวานด้วย” คุณหมอกฤษดา แนะ
“ควรเน้นขนมที่มีถั่ว มีธัญพืช อย่าง ขนมจันอับที่มีงาถั่วธัญพืช ขนมคอเป็ดที่เป็นงา ขนมตุ๊บตั๊บที่ใส่ถั่ว หรือเม่งทึ้งที่ทำจากงาดำ จำง่ายๆ ขนมที่ต้องเคี้ยวเยอะๆ เพราะว่ามันมักจะมีใยอาหารเยอะด้วยครับ และอาหารพวกนี้จะช่วยดักน้ำตาลครับ และดักคราบไขมันทั้งหลายด้วยครับ”
และหากกินขนมเหล่านี้ พร้อมจิบชาด้วย ยิ่งเพิ่มคุณประโยชน์แก่สุขภาพ
“สังเกต คนจีนจะกินขนม เขาจะเจียะเต๊ด้วย เออมันตัดรสหวานดีนะ แต่จริงๆ แล้ว มีเหตุผลมากกว่านั้น ตัวน้ำชามีสารแทนนิน (Tannin) เป็นตัวช่วยลดการอักเสบ และมีกลุ่มของโพลีฟีนอล (Pholyphenols) คือ ตัวที่ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดไขมันด้วยครับผม”
คุณหมอยังบอกด้วยว่า นอกจากชาจีน จะเป็นชาเขียว หรือชาสมุนไพรอื่นๆ อาทิ ชาตะไคร้ ชามะตูม หรือแม้กระทั่งเก๊กฮวยก็ได้
“พวกนี้ช่วยลดความดันลดไขมันด้วยครับ”
กินเลี้ยงตรุษจีนเสร็จขยับกาย จัดวันล้างพิษ
หลังกินเลี้ยงตรุษจีนแล้ว คุณหมอกฤษดาแนะว่า ควรขยับร่างกายออกไปเดินย่อยอาหารบ้าง
สาวๆ อาจไปเดินช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า เพื่อลดอันตรายจากไขมันและส่วนเกินจากอาหารมื้อมงคล
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อถัดไป ควรลดพวกที่เราหนักไปมื้อแรก เช่น มื้อแรกกินไก่ต้ม มื้อถัดไปอาจจะไปหนักที่ผลไม้ เพราะในชุดไหว้ก็มีผลไม้ อย่างส้ม เป็นผลไม้มงคลด้วยและช่วยล้างพิษไขมันด้วย” ที่สำคัญ คุณหมอกฤษดา แนะให้จัดวันล้างพิษทันทีหนึ่งวัน
“คือ ในวันนี้ไม่กินเนื้อแดงเลย หลีกเลี้ยงพวกแป้งได้เลยยิ่งดี เน้นทานผักผลไม้ หรือกินแอปเปิ้ลอย่างเดียว หรือส้มอย่างเดียว หรือสัปปะรดอย่างเดียว ล้างพิษไปเลยหนึ่งวัน”
ไอเดียเริ่ด! จัดเต็มกินผลไม้มงคลปิดท้าย แอปเปิ้ล แปลว่า โชคดีราบรื่น ส้มสีทองเป็นมหามงคล สับปะรดก็นำโชคลาภเข้ามาหา แถมเสริมวิตามินได้สุขภาพ
ขอเพียงรู้จักเลือก รู้จักตัดใจ และรู้จักบังคับตัวเอง
ตรุษจีนปีนี้ รับรองคุณสาวๆ เฮง เฮง รวย รวย และสวย สวย สุขภาพแข็งแรงทุกคนค่ะ
sithiphong:
มาสร้างนิสัยกิน “กากใย” บรรเทาท้องผูกกัน
-http://club.sanook.com/23203/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%A2-
6 วิธีสร้างนิสัยกิน “กากใย” บรรเทาท้องผูก
การขับถ่ายที่ไม่ค่อยจะปกติ มักจะสร้างปัญหาและความรำคาญใจให้คุณๆอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ นั่นอาจเป็นเพราะเรากินอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป อาหารที่มีกากใยสูงนั้นจะช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ถ้าหากเรากินกากใยน้อยเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก ริดสีดวง ทวาร และความผิดปกติอื่นๆ ในลำไส้ได้เช่นกัน เรามี 6 วิธีง่ายๆ เพื่อช่วยสร้างนิสัยในการกินกากใยอาหารให้ได้มากมาแนะนำค่ะ
1. สร้างเป็นนิสัยการกินประจำบ้าน โดยเน้นกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีท ซึ่งจะมีกากใยอาหารมากกว่าขนมปังขาวถึง 3 เท่า รวมถึงมองหาร้านอาหารสุขภาพที่มีข้าวกล้องขายสำหรับมื้ออื่นๆ นอกบ้านด้วย
2. กินผักและผลไม้ให้มากๆ ควรล้างผลไม้ให้สะอาด และถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกผลไม้ชนิดที่รับ ประทานได้ทั้งเปลือก เช่น แอปเปิล ฝรั่ง และองุ่น
3. พยายามกินผักที่กินทั้งต้นและก้านให้มากขึ้น เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ถ้ารู้ว่าก้านผักนั้นแข็ง ให้ปอก เปลือก ออกบ้าง แล้วฝานหรือหั่นให้เล็กลง นอกจาก นั้นอย่าลืมหัดกินผักดิบ โดยกินร่วมกับน้ำพริก ใส่สลัด หรือกินเป็นของขบเคี้ยวเล่นก็อร่อยและได้ประโยชน์
4. กินผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้คั้น ส้มสดหนึ่งผลนั้นมีกากใยอาหารมากกว่าน้าส้มคั้นถึง 6 เท่า
5. เติมถั่วชนิดต่างๆ ลงในอาหาร เช่น ใส่ถั่วลันเตา ถั่วแขกในอาหารผัด แกงต่างๆหรือสลัด
6. เลือกกินขนมที่ทำจากผลไม้ เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วแดงต้ม ฟักทอง หรือเผือกต้ม เพียงเท่านี้คุณจะลืมเรื่องท้องผูกไปได้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก กรมประชาสัมพันธ์
sithiphong:
เม็ดพริกไทยดำทำอะไรได้อีกบ้างนะ
-http://campus.sanook.com/1370651/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B0/-
คุณรู้หรือไม่ว่าเมล็ดพริกไทย นอกจากเป็นเครื่องปรุงรสแล้ว พริกไทยดำยังมีประโยชน์ในงานบ้านด้วยวิธีต่อไปนี้
- ผสมพริกไทยป่น 1 ช้อนชา ลงในกะละมังซักผ้าสี พริกไทยจะช่วยรักษาให้ผ้าของคุณคงสีสันสดสวย และไม่ซีดจางง่ายๆ
- โรยเม็ดพริกไทยดำไว้ในบริเวณที่มดใช้เป็นทางผ่าน จะช่วยไล่มดออกจากเขตที่คุณโรยพริกไทยกั้นไว้ หรือจะใช้ผงอบเชยก็ได้เหมือนกันนะ
- ส่วนของบ้านใครที่มักมีแมลงต่างๆ และกระรอกแวะมาป้วนเปี้ยนและทำให้ต้นไม้เสียหาย ผสมพริกไทยดำในอัตราส่วนเท่าๆ กับน้ำ แล้วฉีดพ่นลงบนต้นไม้ในสวน นอกจากนี้ พริกป่นปาปริก้าก็ช่วยป้องกันสวนของคุณจากสัตว์เล็กๆ เช่นกระรอกน้อยได้ด้วย
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version