อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (55/85) > >>

sithiphong:
หญิงวัยทองกับถั่วเหลือง คู่แท้สุขภาพดี


-http://club.sanook.com/24326/%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-


ถั่วเหลืองเหมาะกับหญิงวัยทอง

ผู้หญิงวัยทองเป็นช่วงวัยระหว่างกลางคนกับวัยสูงอายุ   คืออายุ 40 – 45 ปีขึ้นไปซึ่งร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน    รวมถึงการสร้างฮอร์โมนเพศก็ลดลง  ทำให้เกิดอาการไม่สุขสบายขึ้น เช่น    ประจำเดือนมาไม่เป็นเวลา  หรือมามากกว่าปกติ   อ่อนเพลีย   เหนื่อยง่าย   เหงื่อออกกลางคืน   นอนไม่หลับหรือหลับยาก  ร้อนวูบวาบ   อารมณ์แปรปรวน   หงุดหงิด   ขี้โมโห   หลงลืมง่าย   บางคนปัสสาวะบ่อยหรือเวลาไอ จามมีปัสสาวะเล็ด   ช่องคลอดแห้ง  ปวดแสบปวดร้อนหรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์   ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวของวัยทองคือ   ปัญหาโรคกระดูกพรุน  โรคหัวใจและหลอดเลือดจากการมีระดับไขมันในเลือดสูง

 



 

มีการศึกษาพบว่าคนที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์  สามารถลดระดับไขมันชนิดเลว (LDL)ในเลือดได้ถึงร้อยละ 18 ในขณะที่ค่าของไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20    รวมทั้งอาการต่าง ๆ จากภาวะวัยทองก็ลดลงด้วย    การศึกษานี้จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วัยทองหรืออยู่ในช่วงวัยทองหันมาสนใจกินอาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบมากขึ้น   เนื่องจากปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองวางจำหน่ายหลายชนิด  เช่น    นมถั่วเหลือง   เต้าหู้หลอด   เต้าหู้แผ่น   ไส้กรอกเจที่ทำจากถั่วเหลือง   ไอศกรีมที่มีส่วนผสมจากถั่วเหลือง    เป็นต้น

 

หลักการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนวัยทอง    ควรปฏิบัติดังนี้   

1. กินอาหารให้หลากหลาย   กินปลา    ถั่วเมล็ดแห้ง    เต้าหู้    ผัก ผลไม้และธัญพืชเป็นประจำ    โดยไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง

2. ลดการกินอาหารหวาน  มัน  เค็ม  และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อแดง  ไขมันสัตว์   เลือกใช้น้ำมันมะกอก    น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันงาในการประกอบอาหาร

3. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1 – 2 ลิตรและดื่มนมพร่องไขมัน

4. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม    ออกกำลังกายทุกวันอย่างเหมาะสม

5. ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์    เพราะเป็นสิ่งทำลายสุขภาพ

 

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา โรงพยาบาลลำปาง
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com

sithiphong:

หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-





ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักน่ะค่ะ


ที่มาข้อมูล myhomeveg.com
ที่มารูปภาพ thaiza.com

------------------------------------------------


ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

-http://club.sanook.com/19334/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5-


ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือไขมันที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ คอเลสเตอรอลผลิตในตับแล้วส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ทางเส้นเลือดให้แก่เซลล์ เซลล์จะคอยรับคอเลสเตอรอลในจำนวนที่มันต้องการ ส่วนที่เหลือเกินจะยังคงติดกรังอยู่ในเส้นเลือด ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หากเกิดกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ก็ปรากฎอาการโรคหัวใจ

คอเลสเตอรอล 2 ชนิด

คอเลสเตอรอลมี 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี

ชนิดดีเรียกว่า HDLs (High Density Lipoproteins) ได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้นเพื่อนำไปใช้ ชนิดดีนี้จะช่วยขับคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการออกจากร่างกายด้วย

ชนิดไม่ดีเรียกว่า LDLs (Low Density Lipoproteins) ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ คนที่มีคอเลสเตอรอลสูงจึงควรดูให้ละเอียดด้วยว่า สัดส่วนของชนิดดี กับชนิดไม่ดี เป็นอย่างไร เราควรมีชนิดดีสูง ๆ แต่ถ้ามีชนิดดีต่ำ แปลว่าอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจค่อนข้างสูง

ระดับคอเลสเตอรอลปกติควรต่ำกว่า 200 สำหรับ HDLs นั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีการวิจัยออกมาแล้วว่า กลุ่มคนที่กินผักบ่อย ๆ จะมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่ากลุ่มคนที่กินแต่เนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อแพทย์พบว่าคนไข้มีคอเลสเตอรอลสูงก็มักจะแนะนำให้ลดความอ้วน ไม่ให้กินอาหารที่มีไขมันสูง

วิธีเพิ่ม HDLs ลด LDLs ด้วยอาหารธรรมชาติ เช่น หอมใหญ่ หอมเล็ก เป็นของดีมีประโยชน์ทำให้ตัว HDLs สูง ถ้าเอาไปทำให้สุกก็จะด้อยคุณค่าลงเล็กน้อย

ผัก ผลไม้ มักอุดมด้วย วิตามินซี เบต้าแคโรทีน (Beto carotene) และพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ทั้งหลาย ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการทำให้ LDLs เปลี่ยนเป็นน้ำดี วิตามินซี สามารถรวมตัวกับคลอเลสเตอรอลและแคลเซี่ยมทำให้คอเลสเตอรอลละลายน้ำได้ ข้อสำคัญอย่ากินผลไม้ที่เป็นแป้งและหวานมาก อันจะมีผลต่อน้ำตาลสูงเกินไปอีก

ถั่วและธัญญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ก็เป็นกลุ่มอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเร็ว ทั้งยังช่วยเสริมโปรตีนด้วย

กระเทียมมีสารอัลลิไทอะมีน ช่วยเผาผลาญไขมันและลดคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDLs

อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ ผลอะโวคาโด และพวกธัญพืชต่าง ๆ แต่น้ำมันมะกอกถั่วอัลมอนด์และอะโวคาโด ช่วยทำให้ HDLs ของคุณสูงขึ้นเป็นไขมันที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกับไขมันจากปลา

ประโยชน์และความสำคัญของน้ำมันปลา?

ผลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 3 สามารถป้องกันการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ EPA และ DHA ในน้ำมันปลา ลดการสร้างคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในตับ

การได้รับไขมันจากปลาควบคู่ไปกับอาหารไขมันสูงชนิดอื่น จึงสามารถช่วยป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการไม่ให้จับเกาะผนังของเส้นเลือด พบว่าชาวเอสกีโมไม่มีโรคหัวใจ แม้ในชีวิตประจำวันจะกินไขมันมากมายเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เนื่องจากมีการกินปลาอยู่เป็นประจำ

เพื่อลดคลอเลสเตอรอล เราควรรับประทานอาหารประเภท

1   มะเขือต่างๆ ทั้งมะเขือเทศ มะเขือเปราะ หรือมะเขือพวง อย่างมะเขือเทศก็จะมีทั้งวิตามินซี รวมทั้งมีสารเบต้าแคโรทีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกหลายชนิด

2   หอมหัวใหญ่ และ กระเทียมสด สองอย่างนี้มีสรรพคุณชัดเจนในเรื่องของการช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และลดระดับไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และสารที่สกัดจากหัวหอมใหญ่ สามารถลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้

3   ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่วที่ให้โปรตีนสูง ต่อมาคือ แอปเปิ้ล ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่มีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ประเภทนี้จะดึงคอเรสเตอรอลแล้วขับออกมาจากร่างกายได้ นอกจากนั้นก็ยังช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย และอย่างสุดท้ายคือ โยเกิร์ต ที่นอกจากจะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้แล้ว ก็ยังบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอีกด้วย

4   รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเยอะในมื้อเช้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ผลไม้ เป็นต้น เมื่อเลือกซื้อธัญญหาร ซีเรียล ต่าง ๆ ควรอ่านฉลากข้างกล่อง เลือกซื้อประเภทที่ระบุว่ามีเส้นใยอาหาร 5 กรัมหรือมากกว่า รำข้าวโอ๊ตและรำข้าวเจ้า เป็นอาหาร ที่มีเส้นใยอาหารมากที่สุด

5   รับประทานธัญพืช ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย เป็นต้น

6   รับประทานถั่ว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ได้แก่ ซุปถั่ว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง

7   รับประทานผักและผลไม้ 5 ชนิดทุกวัน เช่น ในมื้อเช้าให้รับประทานผัก (ได้แก่ แครอท มะเขือเทศหั่นบาง)มื้อเที่ยง ผลไม้ (ได้แก่ ส้ม แอปเปิ้ล) มื้อเย็นรับประทานสลัดและผลไม้เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้คุณได้รับผักและผลไม้ 5 ชนิดในแต่ละวัน

8   รับประทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้

9   รับประทานกระเทียม เพราะกระเทียมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดลง

10 รับประทานผักที่มีวิตามิน ซีและอีสูง อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ พริกเขียว พริกแดง สตอร์เบอรี่ บร๊อคโคลี่ ส้ม แคนตาลูป สับปะรด เป็นต้น อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันถั่วเหลือง ถั่วเหลือง เป็นต้น

11 มีบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อย ๆ ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลลง แต่ถึงอย่างไรก็ตามแพทย์ก็ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ควรปฏิบัติดังนี้

1  ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน รำไทเก็ก เป็นต้น

2  อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชา กาแฟ เหล้า บุหรี่ เกลือและน้ำตาล อาหารกระป๋อง หรือสำเร็จรูป ขนมปังขาว

 

Credit : โรงพยาบาลพัทลุง

sithiphong:
ท้องเสียคร้ังต่อไปคิดถึง “ฝรั่ง”


-http://club.sanook.com/17580/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%96-




ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ  วันนี้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก

นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี

นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้

นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com


sithiphong:
6 สมุนไพรหยุดเลือดกำเดา

-http://club.sanook.com/20497/6-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B2-





เลือดกำเดาไหลเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยมากมักไม่ใช่สาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง แต่อาจเกิดจากความผิดปกติและโรคต่างๆ ได้

เมื่อมีเลือดกำเดาออก อย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก  นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณสันจมูกที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว เมษามีวิธีหยุดเลือดกำเดาง่ายๆ ก็คือ การกดบีบจมูก
และนอกจากนี้เรายังมียาสมุนไพรไทยรักษาเลือดกำเดาไหลจาก คุณบุญยืน ผ่องแผ้ว หรือหมอน้อย หมอสมุนไพรประจำคลินิกหนองบงการแพทย์แผนไทย จังหวัดลพบุรี มาแนะนำกัน

• ใบพลู ใช้ใบพลู 1 ใบ ม้วนให้กลมเหมือนมวนบุหรี่ ขนาดให้พอดีรูจมูก ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้พอช้ำ นำปลายที่ช้ำสอดเข้าไปในจมูกข้างที่มีเลือดไหล ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เลือดจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้ดี

• น้ำมะนาว ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำร้อน 1 แก้ว เติมเกลือครึ่งช้อนชา น้ำตาลทรายไม่ขัดขาวครึ่งช้อนโต๊ะ ชงดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร น้ำมะนาวมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด และเลือดกำเดาไหลได้

• รากต้นข้าว ใช้รากข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 ต้น ถอนทั้งรากทั้งโคน ยาวประมาณ 1 คืบ (ตั้งแต่รากขึ้นไป) ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหล

• รากต้นฝรั่ง ใช้รากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น

• รากหัวไชเท้า ใช้รากหัวไชเท้าหนัก 1 บาท หรือประมาณ 15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นใช้น้ำที่คั้นได้หยอดเข้าทางจมูกข้างที่มีเลือดไหล 1-2 หยด หัวไชเท้ามีสรรพคุณสมานแผลและห้ามเลือดได้
.
• รากไพล ใช้รากไพล 7 ราก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้ำเปล่า 3 หยด ขยี้ให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำ หยอดน้ำรากไพลในรูจมูกข้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก้เลือดกำเดาไหลและฆ่าเชื้อ

ขอขอบคุณ สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com

sithiphong:
วิธีทำให้ผิวขาว 7 ข้อ ด้วยการดื่มน้ำอย่างถูกต้อง

-http://women.kapook.com/view82351.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          การมีผิวขาววิ๊งดูใส ๆ คงเป็นความปรารถนาของสาว ๆ ทุกคน เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากเป็นเจ้าของผิวสุขภาพดีด้วยกันทั้งนั้น แต่สาว ๆ รู้ไหมคะว่า ผิวฉ่ำน้ำดูขาวใสสุขภาพดีสามารถได้มาง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวันเท่านั้นเอง อ๊ะ ! พอมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัย แค่ดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้วผิวจะขาวใสได้จริงเหรอ เอ้า ! ถ้าอย่างนั้นตามมาดูวิธีดื่มน้ำที่ถูกต้อง เพื่อผิวขาววิ้งใสเว่อร์กันก่อนดีกว่า เรากล้าการันตีด้วยว่า ดื่มน้ำตาม 7 วิธีข้างล่างนี้เป็นประจำ ผิวของคุณจะดูขาวใส สุขภาพดีได้แน่นอนจ้า

        1. จิบน้ำปริมาณน้อย ๆ แต่ทำเป็นประจำ

          สาว ๆ หลายคนเผลอกินตามใจปากจนเพิ่มพูนไขมัน และทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยจากไขมันที่สะสมโดยไม่รู้ตัว และวิธีแก้ที่แสนฮิต ก็คงหนีไม้พ้นการงดน้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารจานหลัก แล้วเลือกดื่มแต่น้ำเปล่าอัดเข้าไปเยอะ ๆ แต่มันไม่ใช่วิธีที่ดีต่อสุขภาพเลยนะจ๊ะ เพราะคุณมีโอกาสบวมน้ำได้ง่าย ๆ เลยล่ะ ฉะนั้นทำเพียงแค่จิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ลดอาหารแคลอรี่สูง และออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันจะดีกว่า

        2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาสมดุลค่า pH

          ค่า pH มีตั้งแต่ระดับ 0-14 ซึ่งสมดุล pH ที่เหมาะสมของร่างกายจะต้องอยู่ที่ระดับ 7 โดยคุณสามารถทำให้มันสมดุลได้ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และเพื่อขับของเสีย ผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวเผยความกระจ่างใสได้อย่างเต็มที่ อ้อ ! นอกจากนี้ก็ควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ หลังจากใช้โฟม หรือล้างเครื่องสำอางออกแล้ว เพื่อเป็นการชำระสารเคมีตกค้างบนผิวให้หมดจดด้วยนะจ๊ะ

        3. ไล่สารพิษตกค้าง ด้วยน้ำสะอาดบริสุทธิ์

          น้ำดื่มสะอาดใสเป็นตัวช่วยดีท็อกซ์ และล้างสารพิษที่ทรงประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง เพราะเพียงแค่คุณดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกายสักเล็กน้อยเป็นประจำ สารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายจากการกินอาหารสารพัดชนิดทุกวัน ก็จะถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อตัวการทำให้ผิวหมองคล้ำถูกขับออกไปจากร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผิวขาวใสก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

        4. ดื่มน้ำมากพอ ชะลอความเหี่ยวย่น

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำจะช่วยทำให้ผิวของเราชุ่มชื้น ยิ่งถ้าดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเป็นประจำ ก็หมดกังวลเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่นแห่งวัยไปได้เลย เพราะน้ำจะช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวให้เต่งตึง ไม่แห้งเหี่ยวและหย่อนคล้อย เอ้า ! รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ ควรรีบพกน้ำดื่มติดตัวเอาไว้จิบบ่อย ๆ แล้วนะจ๊ะ

        5. น้ำช่วยป้องกันสิวได้อยู่หมัด

          ผิวหนังชั้นนอกของเรามีรูขุมขนจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ และรูขุมขนเหล่านี้ก็มีโอกาสรับฝุ่น สิ่งสกปรก และมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมจนเกิดอาการอุดตัน เป็นสาเหตุให้เกิดสิวขึ้นได้ แต่น้ำจะเป็นตัวช่วยขับความสกปรกที่ฝังอยู่ในรูขุมขนเราออกไปอย่างสบาย ๆ ในรูปแบบเหงื่อ ดังนั้นคุณก็ควรต้องดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะคะ

        6. เติมความชุ่มชื้นฉ่ำน้ำให้ผิว

          นอกจากเราต้องดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว การอาบน้ำชำระล้างสิ่งสกปรก และเหงื่อไคลเป็นประจำทุกเช้าเย็นก็สำคัญไม่น้อย เพราะการอาบน้ำจะช่วยคืนความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย เคลียร์ผิวให้สะอาดหมดจดทุกรูขุมขน ที่สำคัญการขัดถูร่างกายก็เปรียบเสมือนการกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตน้ำมันธรรมชาติออกมา อย่างนี้ผิวนุ่มชุ่มชื้นเต่งตึงจะรอดมือเราได้ยังไงล่ะเนอะ

        7. ลดความแห้งตึงของผิว

          หากลองใช้หลังเล็บขูดบนผิวหนังเบา ๆ แล้วปรากฏเป็นรอยสีขาวขุ่นเป็นทาง นั่นก็แสดงว่า ผิวของคุณกำลังขาดความชุ่มชื้นเข้าขั้นวิกฤตแล้วนะจ๊ะ ดังนั้นก็คงต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวอิ่มน้ำ เปล่งประกายความขาวใสวิ้งสะดุดตา


          น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับร่างกาย และเซลล์ผิวของเรามากเลยทีเดียวเนอะ ถ้าอย่างนั้นสาวคนไหนรู้ตัวว่าดื่มน้ำน้อยอยู่แล้ว คงต้องหันมาดื่มน้ำให้มากขึ้นกันแล้วล่ะ จะได้มีผิวที่ขาวใสดูสุขภาพดี เปล่งประกายออร่าวิ้ง ๆ เตะตาทุกคนจ้า



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version