อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/7_%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-
7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายแม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ
1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"
7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่
ที่มาข้อมูล bloggang.com
-------------------------------------------------------------------------
ยาคูลท์ กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้นสาว
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C_%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-
เชื่อว่าสาวๆ คงไม่อยากมีปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นแน่ นอกจากจะส่งผลกับสุขภาพแล้ว ยังทำให้หมดความ มั่นใจอีกด้วย
สำหรับกลิ่นเหม็นไม่พึง ประสงค์ในจุดซ้อนเร้นของสาวๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดได้จากเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอดลดน้อยลง ซึ่ง ถูกทำลายโดยแบคทีเรีย จนเกิดเป็นกลิ่นเหม็นออกมา ในบางรายกลิ่นอาจจะแรงมาก แม้ในขณะเข้าใกล้ แต่ไม่ใช้เรื่องที่น่าตกใจ เพราะปัญหาที่เกิดนี้มีวิธีรักษาได้อย่างง่ายดาย
ส่วนวิธีรักษานั้น เพียงแค่เพื่อนๆ เพิ่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่เกิดอยู่ โดยเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีที่ว่านี้ ก็คือเชื้อ "แลคโตบาซิลัส" (Lactobacillus) ที่มีอยู่ในยาคูลท์ ซึ่งเพื่อนๆ คงรู้จักกันดี
เพียงแค่เพื่อนๆ "ทานยาคูลท์วันละขวด" เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีให้กับร่างกาย ให้เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เท่านี้กลิ่นเหม็นที่เพื่อนๆ ไม่พึงประสงค์ในจุดซ้อนเร้นก็จะหายไปเอง
ที่มาข้อมูล internet
sithiphong:
สะตอ
พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบเจริญตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์มีความชื้นในอากาศสูงสามารถเจริญเติบโตร่วมกับพืชอื่นได้ดี
วันจันทร์ 24 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/218170/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%AD-
สะตอ ผักที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี อาจจะมีกลิ่นฉุนบ้างแต่อร่อย การปลูกต้นสะตอนั้น สามารถปลูกได้ด้วยการใช้เมล็ด กิ่งชำ ติดตา สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบเจริญตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์มีความชื้นในอากาศสูงสามารถเจริญเติบโตร่วมกับพืชอื่นได้ดี อาจนำสะตอมารับประทานเป็นผักสด หรือ นำมาทำเป็นอาหารได้ เช่น ผัดสะตอ รู้ไหมว่า สะตอมีประโยชน์มากกว่าความอร่อย คือ มันมีสรรพคุณทางยาคือ “เมล็ด” มีรสจืดมัน ขับปัสสาวะ ช่วยลดน้ำตาลในเส้นเลือด กินเป็นประจำช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ มิถุนายน-กรกฎาคม(ข้อมูลจาก http://natureherbel.awardspace.com/).
sithiphong:
นอนไม่หลับ จัดไป “ผักกาดหอม”
-http://club.sanook.com/19429/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-
การนอนไม่หลับจะส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตหลายด้าน เช่น ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง อารมณ์แปรปรวน ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โมโหง่าย
ตอนนี้คุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะมีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่คิดค้นมาเนิ่นนานแล้วว่า วิธีหนึ่งซึ่งช่วยให้นอนหลับได้ดี และใช้ได้ผลดี คือ การกินผักกาดหอมสดก่อนนอน หรือกินเป็นอาหารมื้อเย็น แพทย์ยุคกลางชาวอังกฤษชื่อ ดร. ดันแคน ค้นพบว่า ในใบและก้านของผักกาดหอมมีสารรสขมที่ชื่อว่า “แลกทูคาเรียม” สารนี้มีคุณสมบัติทำให้ง่วงนอน จิตใจสงบและผ่อนคลาย จึงทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมลองดูนะ!
sithiphong:
“ฟอร์มาลีน” ภัยร้ายในอาหารสด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กุมภาพันธ์ 2557 18:34 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000021712-
ข่าวเรื่องการพบสารเคมีปนเปื้อนอยู่ในอาหารนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งสารเคมีที่พบอยู่ในอาหารนั้น บางชนิดก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว อย่างล่าสุดนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาบอกว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 มีรายงานการสุ่มตรวจประเมินอาหารปลอดภัยของกรมอนามัย ในตลาดที่ จ.นครสวรรค์ 5 แห่ง โดยมีการเก็บอาหารตรวจทั้งหมด 275 ตัวอย่าง
ผลที่ได้นั้นน่าตกใจมาก เพราะมีการพบการใช้สารฟอร์มาลินกับอาหารสด เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย โดยใน 5 แห่งนี้ ตรวจพบ 102 ตัวอย่าง เฉลี่ยร้อยละ 25 แต่บางแห่งเช่นในตลาดสดขนาดใหญ่ในเมือง พบร้อยละ 59 ซึ่งอาหารที่ตรวจพบได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก หมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง (ผ้าขี้ริ้ว)
ทางด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารในกลุ่มที่ตรวจพบฟอร์มาลินนั้น ที่ผ่านมามักจะตรวจพบสารฟอกขาว ซึ่งการที่ตรวจพบฟอร์มาลินสูงขึ้นอาจจะเป็นเพราะพ่อค้าแม่ค้าเปลี่ยนจากการใช้สารฟอกขาวมาใช้ฟอร์มาลินแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศฉบับที่ 93 พ.ศ.2528 เรื่องวัตถุห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใดละเมิดใส่ในอาหารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์
สำหรับ “ฟอร์มาลิน” นั้น เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง อยู่ในรูปของ “สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์” ซึ่งหากอยู่ในสถานะก๊าซจะมีชื่อเรียกว่า “ฟอร์มัลดีไฮด์” ในทางการแพทย์จะใช้ฟอร์มาลินในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องผู้ป่วย ส่วนในอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้คุณสมบัติที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา ยังถูกนำไปใช้ในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการเก็บเกี่ยวและใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร
ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ จึงมีคนหัวใสนำฟอร์มาลินมาราดใส่ลงในอาหารสดเพื่อให้คงความสดได้นาน ไม่เน่าเสียเร็ว ซึ่งอาหารที่มักจะพบว่ามีฟอร์มาลินอยู่ อาทิ อาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะปลาหมึก เนื้อสัตว์ต่างๆ ผักสด เช่น ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ยอดมะพร้าว ผักกาดขาว ฯลฯ
ดังที่บอกว่าฟอร์มาลินนั้นเป็นสารเคมีที่มีพิษ ซึ่งหากสูดดมฟอร์มาลินเข้าไปจะมีผลต่อระบบหายใจ คือ แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ปอดอักแสบ น้ำท่วมปอด และอาจเสียชีวิตได้ ส่วนผลต่อระบบผิวหนังคือ ทำให้เกิดผื่นคัน จนถึงผิวหนังอาจไหม้ หรือเปลี่ยนเป็นสีขาวได้หากสัมผัสกับฟอร์มาลินโดยตรง
ในส่วนของการนำฟอร์มาลินมาใช้กับอาหาร หากบริโภคอาหารที่ถูกปนเปื้อนเข้าไปในปริมาณมาก จะเกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร อาจมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดท้อง ในปากและคอแห้ง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก อาจมีอาการถ่ายท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการเพลีย เหงื่อออก ตัวเย็น คอแข็ง และเคยมีรายงานว่ามีผู้กินฟอร์มาลิน 2 ช้อนโต๊ะเพื่อฆ่าตัวตาย พบว่าตายในเวลา 3 ชั่วโมงหลังจากได้รับสารดังกล่าว และเมื่อผ่าศพชันสูตรพบแผลไหม้ในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
นอกจากผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้นที่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีรายงานผลจากฟอร์มาลินในระยะยาว โดยสารฟอร์มัลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารประกอบของฟอร์มาลิน เป็นสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย
การหลีกเลี่ยงฟอร์มาลินที่ปนเปื้อนในอาหาร อาจจะดูเป็นเรื่องยากหากต้องซื้อหาผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ จากท้องตลาดทั่วไป ผู้บริโภคควรจะต้องอาสัยการสังเกตลักษณะของอาหารว่ามีความแตกต่างจากปกติหรือไม่ อาทิ เนื้อสัตว์ หากวางขายอยู่นาน ถูกแดดถูกลมแล้วก็น่าจะมีลักษณะเหี่ยวลง ดูไม่สดเหมือนเดิม แต่ถ้ายังดูมีความสดมากๆ แม้จะวางขายอยู่นานแล้ว หรือหากมีกลิ่นฉุนๆ แสบจมูก ก็ไม่ควรซื้อมาบริโภค
sithiphong:
มะพร้าว ผลไม้มากคุณประโยชน์
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C/-
มะพร้าวนอกจากจะทานเป็นอาหารว่าง เช่นมะพร้าวอ่อน มะพร้าวเผา หรือเป็นส่วนประกอบในอาหารหวานคาว แต่ประโยชน์ของมะพร้าวไม่ได้หมดเพียงเท่านี้เนื่องจากทุกส่วนของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ได้แทบทั้งสิ้น
ประโยชน์ของมะพร้าวในด้านต่างๆ
ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร
ยอดอ่อนของมะพร้าวนำมาผัดหรือแกง ส่วนผลอ่อนรับประทานสดหรือนำมาเผา ทำห่อหมกมะพร้าวอ่อน จั่นของมะพร้าว (ช่อดอก) ตัดปลายวงจะได้น้ำหวานที่นำมาทำน้ำตาลปี๊บ น้ำมะพร้าวนำมาทำเนยเทียม ทำน้ำมันปรุงอาหาร ทำวุ้นมะพร้าว สำหรับเนื้อมะพร้าวคั้นกะทิใช้แกง ทำขนม ใช้ทำน้ำมันมะพร้าว
ใช้ประโยชน์ทางยา
-กะลามะพร้าว ใช้เผาให้เป็นถ่าน แล้วนำมาบดเป็นผงละเอียดผสมน้ำดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 0.5-1 ช้อนชา แก้ปวดกระดูกและเส้นเอ็น
-ดอก มีรสฝาดหวานเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงโลหิตแก้ปากเปื่อย
-ราก มีรสฝาดเป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
-เปลือกต้นสด ใช้เผาไฟให้เป็นเถ้าใช้แก้ปวดฟัน ทาแก้หิด
-เนื้อมะพร้าวสดหรือแห้ง เป็นยาบำรุงกำลัง ขับพยาธิ แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ
-น้ำมะพร้าว เป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย แก้พิษ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิต
ประโยชน์ด้านอื่นๆ
-กากเนื้อมะพร้าวที่เหลือจากการคั้นกะทิ ใช้ทำอาหารสัตว์
-ใบ ใช้มุงหลังคา ทำเครื่องจักรสาน,ไม้กวาด
-กาบมะพร้าว ใช้ทำเชือก,พรม,ทำเบาะ
-ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก,ทำเสื่อ
มะพร้าวมีประโยชน์มากมายจริงๆ หากบริเวณบ้านมีพื้นที่ว่างก็ควรหามะพร้าวมาปลูกไว้สักต้นสองต้น เผื่อจะได้ใช้ประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งตามที่กล่าวมา นอกจากปลูกไว้ใช้ประโยชน์แล้ว มะพร้าวยังให้ร่มเงาให้ความเป็นธรรมชาติกับเราอีกด้วย
ที่มาข้อมูล tsgclub.com
ที่มารูปภาพ n3k.in.th
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version