อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (57/85) > >>

sithiphong:
    
อาหารต้านภัยจากคอม

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1/-


ภัยจากคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยของพวกสาวๆ ไม่ว่านักเรียน นักศึกษาที่เป็นขาแชท สาวออฟฟิศ เพราะคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากในยุคปัจจุบันจนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ไปแล้ว เลยอยากจะให้สาวๆ สังเกตตัวเองว่าเริ่มมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วหรือยัง แล้วจากนั้นก็มาดูอาหารที่จะช่วยแก้อาการเหล่านั้น

อาการปวดเมื่อย อ่อนล้า กล้ามเนื้อเกร็ง
หากนั่งหน้าคอมนานๆ ก็จะมีอาการปวดเมื่อยบ่อยขึ้น ดังนั้นควรรับประทาน บรอคโคลี่ ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก อาหารที่มีแมกนีเซียม อย่างผักโขม ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดทานตะวัน จมูกข้าวสาลี ซึ่งช่วยคลายกล้ามเนื้อ

อาการตาอ่อนล้า พร่ามัว
เพราะการทำงานหน้าคอม เราจะต้องจดจ้อง หรือเพ่งมองที่หน้าจอคอมตลอดเวลาทำให้รังสีจากคอมพิวเตอร์ กระทบตาเราตลอดเวลาจนทำให้เราเกิดอาการแสบตาหรือตาล้าได้ ดังนั้นควรทานผักคะน้า พริก ผักปวยเล้ง มันเทศ ผักหวานบ้าน ตำลึง มีลูเทอินและชินแซนทิน จะช่วยลดความเสื่อมของศูนย์จอตา นอกจากนี้ยังรับประทานแครอท ฟักทอง เพราะมีเบต้าแคโรทีนช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตา

ปัญหาผิวหน้าต่างๆ
ข้อนี้ไม่ดีต่อสาวๆ แน่นอน เพราะรังสีจากคอมพิวเตอร์ทำร้ายผิวหน้าเต็มๆ แบบที่คุณจะไม่รู้ตัวเลย คล้ายๆ กับรังสี UV ที่สัมผัสหน้าเราตลอดเวลาอาจจะทำให้เกิดปัญหาสิว ฝ้า กระ ได้ดังนั้นเราควรรีบหาผลไม้สีสดทุกชนิดเพื่อเพิ่มสารต้านออกซิเดชั่น รวมถึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนักมาก

เห็นไหมละค่ะว่าการที่เราต้องทำงานหรือทำอะไรก็ตามอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็เกิดผลเสียได้เช่นกัน ดังนั้นสาวๆ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อป้องกันผลเสียก่อนที่จะสายเกินไป


ที่มาข้อมูลและภาพ tsgclub.com


-----------------------------------------


สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94_5_%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94/-




"ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่างๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน ผลไม้ยังดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาวๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต
1.ทับทิม
ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

2.แก้วมังกร
อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

3.สตรอว์เบอร์รี่
ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

4.กล้วย
ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

5.แตงโม
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้แล้ว

 

ที่มาข้อมูลและภาพ kroobannok.com










ดอกจำปีเป็นดอกเดี่ยวมีกลิ่นหอม สีขาวคล้ายกับสีงาช้าง ส่วนตรงกลางดอกมีเกสรเป็นแท่งกลมเล็ก ๆ ยอดแหลมคล้ายฝักข้าวโพด ออกดอกได้ตลอดทั้งปี
วันเสาร์ 1 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.


จำปี เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูงและใหญ่กว่าจำปาเล็กน้อย ลำต้นมีสีน้ำตาลแตกเป็นร่องถี่ ๆ กิ่งมีขนสีเทา เปราะและหักง่าย และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ด ดอกจำปีเป็นดอกเดี่ยวมีกลิ่นหอม สีขาวคล้ายกับสีงาช้าง ส่วนตรงกลางดอกมีเกสรเป็นแท่งกลมเล็ก ๆ ยอดแหลมคล้ายฝักข้าวโพด ออกดอกได้ตลอดทั้งปี คนไทยเมื่อครั้งอดีตนำดอกจำปีมาใช้ประโยชน์ช่วยบำรุงธาตุ แก้คลื่นเหียน อาเจียน บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท  กลีบดอกมีน้ำมันหอมระเหย ใช้ทาแก้อาการปวดศีรษะน้ำมันดอกจำปีมีสารที่ออกฤทธิ์ในการสงบประสาทและช่วยต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ แก้อาการตาบวม  ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงน้ำดี ขับปัสสาวะ ดอกตูมใช้รักษาอาการหลังการแท้งบุตร เป็นต้น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/219413/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B5+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

.

sithiphong:
เรื่องดีดีของ “หอยแครง”

-http://club.sanook.com/23942/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87-

ในตำราแพทย์แผนไทย หอยแครง จัดอยู่ในพิกัดเนาวหอย คือเปลือกหอย 9 เพื่อการปรุงยา โดยเอามาเผาไฟให้สุกดีจะได้ปูนหอย ใช้บรรเทากรดในกระเพาะอาหาร ขับลมในลำไส้ ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ทำให้มีลมผายและลมเรอ ล้างลำไส้ ช่วยแก้กระษัย ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ บำรุงกระดูก และร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับเพื่อรักษากระษัยปู คือปวดท้องน้อยเป็นกำลัง

หรือถ้าใช้ประกอบกับพืชและหอยชนิดอื่นๆ ก็สามารถช่วยขับพยาธิ ขับลม ฝาดสมาน รักษากระษัยจุก ด้วยการขับลม ล้างลำไส้ ขับปัสสาวะ แก้ท้องร่วง สมานลำไส้ เป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ควรรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบห้าหมู่ ควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีต่อร่างกาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

sithiphong:
อบเชยเป็นไม้ต้น ใบและเปลือกหอม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม  เมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นหอม ดอกออกที่ปลายกิ่ง สีเหลืองอ่อนหรือเขียวอ่อน กลีบรวมชั้นนอก 3 กลีบ คล้ายกลีบเลี้ยง กลีบรวมชั้นใน 3 กลีบ  แยกกันแต่ติดตรงโคน
วันเสาร์ 8 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.

 

อบเชยเป็นไม้ต้น ใบและเปลือกหอม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม  เมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นหอม ดอกออกที่ปลายกิ่ง สีเหลืองอ่อนหรือเขียวอ่อน กลีบรวมชั้นนอก 3 กลีบ คล้ายกลีบเลี้ยง กลีบรวมชั้นใน 3 กลีบ  แยกกันแต่ติดตรงโคน ผลสดแก่สีม่วงดำ  คนไทยเมื่อครั้งอดีตบริโภคอบเชยเพื่อช่วยทำให้ท้องเป็นปกติดี แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ขับลม ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ย่อยไขมัน ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย มีการนำอบเชยมาใช้ปรุงอาหาร เช่น ทำพะโล้ให้กลิ่นหอม มีรสสุขุม ใช้ปรุงยานัตถุ์แก้ปวดหัว ส่วนรากและใบมีกลิ่นหอมรสสุขุม ใช้ต้มดื่มขับลมบำรุงธาตุ แก้ท้องอืดเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมแต่งกลิ่น เช่น เหล้า ขนมหวาน สบู่ และยา เป็นต้น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/221131/%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2-

sithiphong:


กุ้งเผา จัดเป็นอาหารยอดฮิต

วันศุกร์ 14 มีนาคม 2557 เวลา 09:43 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/222835/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87..%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-






กุ้งเผา จัดเป็นอาหารยอดฮิต ที่ถูกแชร์รูปกันในโลกออนไลน์ ทั้งทางเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวีตเตอร์ ให้เราเห็นผ่านตากันมากที่สุดอีกเมนูนึงเลยก็ว่าได้ แต่ละรูปล้วนโชว์ด้วยภาพกุ้งตัวใหญ่ๆ ผ่าครึ่ง ที่มีส่วนหัวที่เป็นมันเยิ้มสีส้ม ๆ เคียงข้างด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ดูแล้วสุดแสนจะยั่วน้ำลายผู้ที่ได้เห็นภาพยิ่งนัก ทำให้รู้ว่า กุ้งเผาเป็นเมนูใกล้ตัวที่ใครต่อใครก็ชอบรับประทาน จนไม่นานนี้ผู้เขียนได้เห็นการแชร์บทความข้อมูลทางเฟซบุ๊ก ให้ระวัง มีข้อความกล่าวอ้างว่า

"มันกุ้ง" คือ อะไร?? รู้ไว้ก่อนกิน..มันกุ้งที่หลายคนชื่นชอบนั้น แท้จริงแล้วมันคือ "ตับ" ของกุ้งนั่นเอง ตับกุ้ง เป็นตัวสร้างพิษและโรคร้ายต่าง ๆ อย่างน่าตกใจ

สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้ทำการแจ้งให้แก่ประชาชนทราบถึงพิษภัยของมันกุ้งที่มีต่อผู้บริโภค ตับของกุ้ง ก็เหมือนกับตับของสัตว์และคน คือ ทำหน้าที่ในการกรองสารพิษและเชื้อโรคออกจากกระแสเลือด ตลอดจนสร้างน้ำย่อยให้แก่ระบบทางเดินอาหารในร่างกาย ตับจึงเป็นที่รวมของสารพิษต่าง ๆ ที่อาจตกค้าง ร่างการจึงขับส่วนที่เป็นมันไปตรวจหาสารโลหะ หรือสารพิษต่างๆ เราจึงเห็นมันกุ้งอยู่บริเวณส่วนหัวเป็นจำนวนมาก มันกุ้งจึงเป็นแหล่งรวมพิษภัย และสร้างโรคภัยให้แก่ผู้รับประทานได้อย่างดี ซึ่งคลอเรสเตอรอล Cholesterol ในกระแสเลือดที่จะสะสมเป็นปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกาย และนั่นจะทำให้เกิดโรคภัยในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ ภาวะหลอดเลือดต่าง ๆ ตีบตัน

ดังนั้นผู้ที่กำลังอร่อยอยู่กับเจ้าหัวกุ้งล่ะก็ ระวังกันหน่อย

ผู้เขียน ได้อ่านแล้ว จึงเกิดความสงสัยว่าเจ้ามันที่หัวกุ้งที่สุดแสนจะเอร็ดอร่อย และมีผู้รับประทานกันโดยทั่วไป มันมีอันตรายอย่างเช่น บทความข้างต้นนี้ จริงหรือ?? และถ้าจริง ทำไมหน่วยงานภาครัฐถึงไม่มีการส่งเสริมให้ความรู้แก่ผู้บริโภค และควบคุมผู้ประกอบการ ผู้เขียนจึงได้หาข้อมูลทางวิชาการ และทำการติดต่อไปตามหน่วยงานราชการที่ได้ถูกกล่าวอ้างในบทความข้างต้นนี้ คือ สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้มีโอกาศพูด็คุยกับคุณเจ้าหน้าที่นักวิชาการของสถาบัน เพื่อสอบถามถึงอันตรายตามที่บทความได้กล่าวอ้าง ผู้เขียนขอสรุปสาระสำคัญ ดังนี้นะคะ

ดร.สมเกียรติ์ กาญจนาคาร นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ทราบว่า ที่ผ่านมามีประชาชนโทรศัพท์ไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่สถาบันฯ เป็นจำนวนมากถึงฟอร์เวิร์ดเมล และบทความดังกล่าวที่ได้ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์ ซึ่งทางสถาบันไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ส่ง และยืนยันว่าไม่ได้ส่งมาจากสถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืดฯ แน่นอน

ดร.สมเกียรติ์ กล่าวว่า มันกุ้ง คือ ตับ ทำหน้าที่ย่อยอาหารของกุ้งจริง การตรวจว่ากุ้งมีร่องรอยของเชื้อโรคหรือไม่จะตรวจที่มันกุ้ง เรื่องที่มันกุ้ง เป็นแหล่งรวมโรคและสารพิษของกุ้ง นั้น ยังไม่มีข้อมูลวิจัยในเรื่องดังกล่าว จึงยืนยันไม่ได้ว่ามันกุ้ง คือ แหล่งสะสมของเชื้อโรคหรือไม่ อีกทั้งเรื่องที่ว่าเป็นแหล่งรวมของสารโลหะหนักหรือสารพิษ ก็ไม่มีข้อมูลวิจัยเช่นกัน จึงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกกับเรื่องดังกล่าว การบริโภคกุ้งนั้นหากทำให้สุกด้วยความร้อน เชื้อโรคในกุ้งจะตายหมด ผู้บริโภคปลอดภัย รวมทั้งไม่มีรายงานว่าเชื้อโรคในกุ้งติดต่อถึงคนได้

คงโล่งอกโล่งใจกันไปบ้างพอสมควร แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากให้คุณผู้อ่าน รับประทานมันที่หัวกุ้งมากเกินไป เพราะเนื่องจากมันที่บริเวณหัวกุ้งนี้ มีปริมาณคอเลสเตอรอลที่สูง หากทานในปริมาณมาก ก็ส่งผลต่อภาวะไขมันในเลือดสูงได้ และเมื่อไขมันสะสมพอกหนาเป็นเวลานานหลายปีจนหลอดเลือดแดงตีบตัน ทำให้อวัยวะสำคัญขาดเลือดไปเลี้ยง มีอาการอันตรายและก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย หรือเสียชีวิตเฉียบพลันได้ และหากนำไปปรุงเป็นเมนู กุ้งเผานั้น หากผ่านความร้อนที่ไม่เพียงพอในการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ก็อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับจุลินทรีย์จนเกิดอาการของอาหารเป็นพิษ และท้องเสียได้

สาวกกุ้งเผา ก็เบาๆกันหน่อยนะคะ อย่าลืมนะคะว่าอะไรที่มากไป ก็ไม่ดี ทานได้บ้าง นาน ๆ ที ควบคู่ไปกับผัก ผลไม้บ้าง แบบนี้น่าจะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวกันนะคะ อย่าลืมหลักสำคัญที่ว่า You are what you eat อยากมีสุขภาพที่ดี ทานอาหารดี ๆ และมีประโยชน์กันในทุกๆมื้อนะคะ

โดย “PrincessFangy”

Twitter @Princessfangy

เนื้อหาบางส่วนจาก http://www.oknation.net/


sithiphong:
“กระเทียม-บัว” สุดยอดสรรพคุณรักษา “โรคหัวใจ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มีนาคม 2557 13:24 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000029505-

 โดย...ภญ. ผกากรอง ขวัญข้าว
       เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
       
       ในปัจจุบันโรคหัวใจกำลังเป็นภันคุกคามต่อคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วโลก สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณการจากข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2542 ถึง 2547 ว่ามีชาวอเมริกันจำนวน 79,400,000 คน ป่วยด้วยระบบหลอดเลือดหัวใจ และโรคในกลุ่มนี้ยังเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของชาวอเมริกัน โดยโรคที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Coronary heart disease) เป็นสาเหตุของการตายจากโรคระบบหลอดเลือดหัวใจถึงร้อยละ 52-53


“กระเทียม-บัว” สุดยอดสรรพคุณรักษา “โรคหัวใจ”
   
       สำหรับในประเทศไทยนั้น ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติได้แสดงให้เห็นว่าในปี พ.ศ. 2554 โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายของประชากรไทย 20,130 คน จากประชากรที่ตายทั้งหมด 414,667 คน (ร้อยละ 4.8 ของการตายทั้งหมด) เนื่องจากโรคที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ จากโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ
       
       ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ มีสาเหตุมาจากระดับไขมันเลว หรือ LDL (low-density lipoprotein) สูงกว่าค่าปกติ ประกอบกับเซลล์บุผนังหลอดเลือดมีความปกติ เกิด plaque หรือก้อนเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดค่อยๆ แข็งและตีบตัน การส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจน้อยลง ปริมาณออกซิเจนที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
       
       ส่วนสมุนไพรที่สามารถใช้ในการรักษาโรคนี้ ได้แก่ กระเทียม และบัวหลวง โดย กระเทียมนั้น เป็นอาหารและสมุนไพรที่มีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ตำรายาจีนระบุว่ากระเทียมมีฤทธิ์ร้อน รสเผ็ด ช่วยเจริญอาหาร ขับลมในลำไส้ แก้บิด แก้ไอ กลากเกลื้อน มีงานวิจัยในคนหลายงานพบว่า กระเทียมสามารถช่วยลดระดับไขมันเลวในเลือด ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับของไขมันชนิดดี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ กระเทียมยังมีฤทธิ์ลดความดันเลือดอีกด้วย
       
       ปริมาณกระเทียมที่แนะนำให้ใช้เพื่อฤทธิ์ดังกล่าว คือ กระเทียมสด 2-5 กรัม ( 1/4 - 1/2 ขีด) ต่อวัน โดยรับประทานพร้อมอาหารเพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียน เวลารับประทานให้บดกระเทียมให้ละเอียด และรับประทานทันที ข้อเสียจากการรับประทานกระเทียม คือ กลิ่นปาก ซึ่งสามารถใช้การเคี้ยวใบชาแก่ๆ บ้วนปากหลังจากรับประทานกระเทียม





 ส่วนบัวหลวง นับเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับหัวใจ เพียงแต่คนทั่วไปอาจจะนึกไม่ถึง ในตำรายาจีนกล่าวว่า ใบบัว มีฤทธิ์เป็นกลาง รสฝาดขม แก้ร้อนใน เลือดกำเดาออก ช่วยห้ามเลือด รากบัว มีคุณสมบัติเย็น รสหวาน แก้ร้อนใน แก้เลือดกำเดา ดีบัว มีฤทธ์เย็น รสขม ดับร้อนที่หัวใจ กล่อมประสาท ปรับสมดุลหัวใจและไต
       
       สำหรับการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า สารสกัดด้วยน้ำจากดีบัวมีฤทธ์ลดความดันโลหิต ประกอบด้วยสาร demethylcoclaurine มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สาร methyl corypalline มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ สาร neferine มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต และต้านการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ โดยมีผลต่อการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ขณะที่ฤทธิ์ต้านจุลชีพ สารสกัดแอลกอฮอล์จากดีบัว มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus group A ทำให้นอนหลับ ส่วนสารแอลคาลอยด์มีฤทธิ์ลดอาการปวดและแก้อักเสบ



  หากอธิบายในองค์ความรู้แผนไทย ดีบัว ซึ่งมีรสขม จะช่วยแตกอนุภาคของตะกรัน หรือที่แผนปัจจุบันเรียกว่า Plaque ที่ติดอยู่ที่หลอดเลือด ให้เป็นอนุภาคเล็กๆ เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีโรคหัวใจ เช่น หัวใจโต หัวใจเต้นผิดจังหวะ รสขมนั้นถือเป็นข้อพึงระวังในการใช้
       

-------------------------------------------------------------------------------------------------

เตือนหนุ่มๆ ฟาดอาหารไขมันสูงเสี่ยง “มะเร็งต่อมลูกหมาก”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มีนาคม 2557 19:08 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000029507-

สาวๆ ทั้งหลายมีสารพัดโรคมะเร็งให้กังวลมากพอแล้ว ทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก เพราะเป็นอวัยวะที่ผู้ชายไม่มี สำหรับคุณผู้ชายที่ต้องกังวลก็ต้องเป็นอวัยวะที่ผู้หญิงไม่มีเช่นกัน อ๊ะๆ! อย่าเพิ่งคิดลึกไปถึงอวัยวะอย่างมังกรผงาดโลกเด็ดขาด แต่เป็นอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันต่างหาก นั่นก็คือ ต่อมลูกหมาก
       
       ศ.นพ.สุชาย สุนทราภา ศัลยแพทย์ด้านระบบทางเดินปัสสาวะ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) เป็นอวัยวะหนึ่งของระบบสืบพันธุ์ชายที่มีหน้าที่ในการผลิตส่วนประกอบของน้ำอสุจิ และหล่อเลี้ยงตัวอสุจิ ต่อมลูกหมากอยู่ภายในช่องเชิงกรานใต้ต่อกระเพาะปัสสาวะและอยู่หน้าลำไส้ตรงหรือทวารหนัก และล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น

เตือนหนุ่มๆ ฟาดอาหารไขมันสูงเสี่ยง “มะเร็งต่อมลูกหมาก”
   
       “สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผิวของต่อมลูกหมาก ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น กะรเพาะปัสสาวะ ถุงเก็บน้ำอสุจิ ท่อปัสสาวะ เป็นต้น จนเกิดภาวะการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะตำแหน่งต่างๆ เกิดการคั่งค้างของปัสสาวะ ทำให้ไม่สามารถระบายของเสียออกจากร่างกายได้ จึงเสี่ยงทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้อีก ถ้ามะเร็งต่อมลูกหมากกระจายไปทั่วตัวในระยะท้ายก็จะทำให้เสียชีวิตได้”
       
       สำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ศ.นพ.สุชาย บอกว่า คือผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเมื่อมีอายุสูงขึ้นอัตราเสี่ยงในการเป็นก็มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชายที่อายุน้อยกว่า 50 ปีก็มีโอกาสเป็นได้แต่น้อย นอกจากนี้ พบว่าชายที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากก็จะมีอัตราเสี่ยงสูงเช่นกัน รวมถึงผู้ชายที่นิยมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงสูงมากขึ้น ซึ่งพบมากในประเทศตะวันตกที่นิยมกินอาหารไขมันสูง ดังนั้น ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจต่อมลูกหมากปีละครั้ง
       
       “อาการของมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น ในระยะแรกจะยังไม่แสดงอาการใด เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้นมีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ อาจจะทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำบาก ต้องเบ่งปัสสาวะมากขึ้น ปัสสาวะเป็นเลือด ถ้าเป็นมากจะปัสสาวะไม่ออก หรือเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่อาการปัสสาวะผิดปกติเช่นนี้อาจจะเหมือนกับโรคต่อมลูกหมากโตแบบธรรมดาได้ จึงจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัด สำหรับระยะลุกลาม จะลามไปถึงกระดูกจะมีอาการปวดบริเวณกระดูกสันหลัง บริเวรกระดูกเชิงกราน หรือปวดบริเวณซี่โครง นอกจากนั้น จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเกิดภาวะซีด หรือมีกระดูกหักง่ายขึ้น ผู้ป่วยบางรายเป็นอัมพาตจากกระดูกสันหลังหักทับเส้นประสาทได้”
       
       การจะตรวจเช็กว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ ศ.นพ.สุชาย ระบุว่า การตรวจสามารถทำได้โดยการเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ PSA ซึ่งผู้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากค่า PSA ในเลือดจะสูงกว่าปกติ และตรวจทางทวารหนัก โดยแพทย์จะสอดนิ้วเข้าไปคลำต่อมลูกหมากผ่านรูทวารหนัก ถ้าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะคลำได้ลักษณะก้อนแข็ง อย่างไรก็ตาม หากการตรวจทั้งสองอย่างผิดปกติ ผู้ป่วยควรได้รับการตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยัน โดยการผ่านเข็มผ่านทางเครื่องอัลตราซาวนด์ของต่อมลูกหมาก ซึ่งทำได้โดยใช้ยาเฉพาะที่
       
       ในแง่การรักษานั้น ศ.นพ.สุชาย กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับระยะของผู้ป่วย ถ้ามาพบแพทย์ช่วงระยะเริ่มต้นผลการรักษาจะดี มีโอกาสหายได้ หากมาในระยะท้าย การรักษาจะช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นแต่ไม่หายขาด ซึ่งหากเป็นระยะที่ 1 และ 2 รักษาโดยการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด เป็นการรักษาที่ได้ผลวิธีหนึ่ง มีโอกาสหายขาดได้ วิธีนี้มักจะทำในผู้ป่วยอายุไม่เกิน 70 ปี แต่ถ้ามากกว่า 70 ปีขึ้นไป แพทย์จะดูสภาวะอื่นๆ ของผู้ป่วยแล้วใช้ดุลยพินิจในการรักษาให้เหมาะสม ผลข้างเคียงของการผ่าตัดคือ ผู้ป่วยอาจจะสูญเสียความสามารถในการแข็งตัวของอวัยวะเพศหลังผ่าตัด บางรายอาจจะมีปัญหาในการกลั้นปัสสาวะ
       
       อีกวิธีหนึ่งคือการฉายรังสี หรือฝังแร่ในต่อมลูกหมาก โดยใช้รังสีไปทำลายเซลล์มะเร็งของต่อมลูกหมาก ผลข้างเคียงคือ จะเกิดการระคายเคืองของเยื่อบุผิวของกระเพาะปัสสาวะ หรือเยื่อบุผิวของลำไส้ตรง จะทำให้มีปัสสาวะเป็นเลือดเป็นครั้งคราว ปัสสาวะลำบาก หรือมีอุจจาระเป็นเลือด อุจจาระลำบากได้
       
       ศ.นพ.สุชาย กล่าวว่า หากมะเร็งลุกลามระยะ 3 ต้องใช้การรักษาผสมผสาน ทั้งการผ่าตัดต่อมลูกหมากออกจนหมด หรือฉายแสงร่วมกับการรักษาโดยการลดฮอร์โมนเพศชาย คือ การตัดลูกอัณฑะออกทั้ง 2 ข้าง หรือการฉีดยา LHRH agonist เพื่อยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเทสโตสเตอร์โรนจากลูกอัณฑะได้ นอกจากนั้น ยังมีการให้ยา anti-androgen ร่วมด้วย เพื่อยับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจนจากต่อมหมวกไต ส่วนระยะที่ 4 คือระยะที่มะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือกระดูกแล้ว การรักษาที่นิยมคือ การลดฮอร์โมนเพศชายตามที่ได้ระบุไป
       
       “หลังการรักษา แพทย์จะนัดติดตามผลการรักษาโดยการเจาะเลือด PSA เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของระดับ PSA ถ้าต่ำคือการรักษาได้ผลดี ถ้าสูงขึ้นแสดงว่าโรคกำเริบ ดังนั้น ผู้ป่วยต้องมารับการตรวจทุกครั้งที่แพทย์นัด”

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version