อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (58/85) > >>

sithiphong:
เครื่องดื่มที่ช่วยกำราบพุงให้อยู่หมัด

-http://guru.sanook.com/9567/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94/-

นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินและลดหน้าท้อง ให้คุณหนุ่มๆ ได้แล้ว การดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็เป็นอีกวิธีง่ายๆ ที่สามารถลดพุงสลายไขมันหน้าท้อง เพื่อให้คุณมีหน้าท้องแบบราบได้เหมือนกันวันนี้เราก็มีตัวอย่าง เครื่องดื่มสำหรับลดพุงมาฝากกันนะค่ะ

1. ชามิ้นต์
          ด้วยคุณสมบัติของมิ้นต์ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณย่อยสลายไขมัน แม้แต่อาหารไขมันสูงอย่างเบอร์เกอร์หรือสเต็ก ก็จะถูกย่อยได้อย่างรวดเร็ว แถมยังลดอาการท้องอืดพร้อมเร่งการขับถ่ายได้อีกด้วย

2. ชาเขียว
          อย่างที่รู้กันว่าชาเขียวสามารถช่วยลดความอ้วน และควบคุมไขมันได้ด้วย นอกจากนี้ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า "คาเทซิน" ซึ่งช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้ เพียงจิบชาเขียวก่อนออกกำลังกายก็ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในระหว่าง นั้นได้แล้ว

3. นมถั่วเหลือง
          ถั่วเหลืองมีสารแลคตินที่ช่วยป้องกันการสะสมไขมันของเซลล์ในร่างกาย พร้อมกับช่วยสลายไขมันส่วนเกิน เพียงดื่มนมถั่วเหลือง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดี

4. น้ำเปล่า
          เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากที่สุด และยังดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย รวมทั้งช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายทั้งยังลดอาการบวมน้ำได้ด้วย

5. น้ำแตงโม
          มีสารอาหารมากมายรวมถึงไลโคปีนที่ช่วยต้านมะเร็ง รวมถึงกรดอะมิโนที่ชื่อว่าอาร์จินีน โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition ระบุว่า น้ำแตงโม ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อได้ แต่คุณก็ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจังควบคู่กันไปด้วย

6. น้ำสับปะรด
          สับปะรดมีสารที่เรียกว่า "โบรมีเลน" ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนทำให้การย่อยอาหารง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้การใส่น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ผสมลงในน้ำสับปะรดก็ถือว่าเป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย เพราะมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวในปริมาณค่อนข้างสูง (จากการศึกษาพบว่าหากกินไขมันประเภทนี้ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดระดับคอเล สเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวยังมีส่วนป้องการเกิดโรคหัวใจได้)

          ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็ควรจะรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย เพราะหากรับประทานน้อยเกินไปก็อาจจะขาดสารอาหาร หรือมากเกินไปก็อาจเกิดการสะสมในร่างกาย อย่างไรก็ดีควรหาเวลาออกกำลังกายควบคู่กันไป พร้อมๆ กับการรับวิตามินและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอกของคุณเองด้วยนะค่ะ

 

ที่มาข้อมูลและภาพ postjung.com

-----------------------------------------------------------------


ประโยชน์ของเนย ที่คุณอาจไม่เคยรู้

-http://campus.sanook.com/1370910/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%891/-


เนยก้อนที่ใช้ประกอบอาหารและขนมแสนอร่อยซึ่งมีความมันและหล่อลื่นสูงก็ช่วยแก้ปัญหาในงานบ้านได้หลายอย่างนะ

- รอยด่างบนไม้ที่เกิดจากน้ำซึมปาดเนยลงไปบนจุดเกิดเหตุ ทิ้งไว้ข้ามคืนจากนั้น ใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกในตอนเช้า

- หมึกเลอะบนพลาสติก ใช้เนยป้ายลงบนคราบ นำไปผึ่งแดดสัก 2-3 วัน แล้วนำมาทำความสะอาดอีกครั้งด้วยสบู่ และน้ำ

- ยืดอายุให้ชีสก้อน ใช้เนยทาเคลือบขอบนอกของก้อนชีสให้ทั่วก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ชีสขึ้นราเร็วนัก

- หัวหอมใหญ่ ที่ใช้ไปเพียงครึ่งหัวแล้วต้องเก็บไว้ สามารถยืดอายุให้นานขึ้นได้แค่ป้ายเนยบนพลาสติก นำไปห่อหัวหอมแล้วห่อซ้ำอีกครั้งด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์

- หม้อที่ต้มน้ำแล้วเดือดเร็วมาก ใส่เนยละลายลงไปประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะเพื่อหยุดไม่ให้น้ำเดือดเกินไป

- หมากฝรั่งติดผม ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ลองใช้เนยป้ายตรงที่เกิดเหตุทิ้งไว้ให้เซ็ตตัว แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหมากฝรั่งออกไป

- กาวติดมือเหนียวเหนอะหนะ ป้ายเนยลงบนรอยเหนียวๆ แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกก่อนล้างมือให้สะอาด

- สายสร้อยพันกัน เพิ่มความลื่นบนสร้อยด้วยเนย ก็จะทำให้คุณแกะคลายปมออกง่ายขึ้นนอกจากนี้ เนยยังช่วยให้คุณถอดแหวนคับๆ ออกจากนิ้วได้ง่ายขึ้นด้วย

sithiphong:
มะขาม

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/224381/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89--



ทำให้ผิวหนังอ่อนวัยลบรอยเหี่ยวย่น ให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังในชั้นผิวหนังแท้ดีขึ้น คนไทยเมื่อครั้งอดีตนำมะขามอ่อนมาใช้ประโยชน์เป็นยาระบาย ยาถ่าย รักษาอาการขัดเบา
วันศุกร์ 21 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.

มะขามชนิดเปรี้ยว มีกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ทาร์ริค กรดซิตริค  กรดมาลิค ทำให้ออกฤทธิ์ระบายลดความร้อนของร่างกาย โดยเฉพาะกรดมาลิค มีประสิทธิภาพในการรักษาผิวหน้า ช่วยทำให้มีการหลุดลอกของผิวชั้นนอก  และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวหนังอ่อนวัยลบรอยเหี่ยวย่น ให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังในชั้นผิวหนังแท้ดีขึ้น คนไทยเมื่อครั้งอดีตนำมะขามอ่อนมาใช้ประโยชน์เป็นยาระบาย ยาถ่าย รักษาอาการขัดเบา รักษาอาการเหน็บชา  รักษาอัมพาต รักษาอาการนอนไม่หลับ ช่วยขับน้ำคาวปลา  ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว แก้ไข้หวัด แก้ปวดหลังและบั้นเอว แก้หืด ไอ เป็นต้น.


-----------------------------------------------------------


รำข้าวมีคุณค่าทางอาหารประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร เถ้า วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ปัจจุบันมีการนำรำข้าวมาใช้ประโยชน์ เช่น น้ำมันรำข้าว
วันพฤหัสบดี 20 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.

รำข้าว คือ ส่วนที่ได้จากการขัดข้าวกล้องให้เป็นข้าวสาร ซึ่งประกอบด้วยชั้นเยื่อหุ้มเมล็ด และคัพภะ เป็นส่วนใหญ่ ได้มาจากกระบวนการสีข้าว โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ รำหยาบ  ซึ่งได้จากการขัดผิวเมล็ดข้าวกล้อง และรำละเอียด  ได้จากการขัดขาวและขัดมัน รำข้าวมีคุณค่าทางอาหารประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร เถ้า วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ปัจจุบันมีการนำรำข้าวมาใช้ประโยชน์ เช่น น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันสำหรับบริโภคที่มีคุณภาพดี จัดเป็นน้ำมันบริโภคที่มีคุณภาพ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว 77% เป็นกรดไขมันที่จำเป็น 31.7% เป็นแหล่งของวิตามินอี มีสมบัติเป็นสารกันหืน ช่วยเร่งการเจริญเติบโตรวมทั้งช่วยให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น น้ำมันรำข้าว เมื่อนำมาปรับปรุงคุณสมบัติด้วยกระบวนการเคมีฟิสิกส์ สามารถผลิตเป็นกะทิแปลงไขมัน ผลิตสบู่และเนยขาวอเนกประสงค์ได้.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/224081/%E0%B8%A3%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

sithiphong:
กิน “หอย” ให้ปลอดภัยจาก “ขี้ปลาวาฬ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มีนาคม 2557 15:42 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034698-




  ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ทั้งอุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้อาหารที่เรากินนั้นเน่าเสียได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงแล้วหรืออาหารสด โดยเฉพาะอาหารทะเล
       
       ล่าสุด มีคำเตือนออกมาจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการกินอาหารในหน้าร้อนอย่างปลอดภัย โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเลประเภทหอย เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมขี้ปลาวาฬ โดย ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า อุณหภูมิที่สูงในช่วงหน้าร้อนทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในอาหารทะเลเจริญเติบโตได้ง่าย อีกทั้งยังพบมีโลหะหนักหลายชนิด ทั้งตะกั่ว สังกะสี แคดเมียม และทองแดง ในอาหารทะเล ประเภทปูม้า หอยนางรม และปลาหมึก โดยสารพิษเหล่านี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี และยังมีพิษอื่น ๆ ที่อาจพบได้ในอาหารทะเล อาทิ ขี้ปลาวาฬ ที่เกิดขึ้นจากแพลงตอนจำพวกไดโนแฟลกเจลเลต (dinoflagellate) สามารถพบได้ในน้ำทะเลทั่วๆ ไป สังเกตได้จากน้ำมีสีน้ำตาลแดง เมื่อมีอากาศร้อนจัดสัตว์ชนิดนี้จะแบ่งเซลล์และเจริญเติบโตได้ในน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว โดยขี้ปลาวาฬจะเข้าสู่สัตว์ทะเลผ่านทางห่วงโซ่อาหาร พบมากในหอย ซึ่งจะสร้างสารพิษพวกไบโอท็อกซิน (biotaxin) ที่ทนความร้อน ไม่สามารถทำลายได้ในกระบวนการปรุงอาหาร เมื่อกินเข้าไปจะทำให้มีอาการชาบริเวณปากและทำให้แน่นหน้าอก เคลื่อนไหวลำบาก บางรายมีอาการอาเจียนด้วย
       
       จากการตรวจวิเคราะห์น้ำตัวอย่าง 1 ลิตร พบขี้ปลาวาฬสูงถึง 40,000 เซลล์ และตรวจพบไบโอท็อกซินในปริมาณที่สูงมาก ส่วนใหญ่พบในหอยสองฝา เช่น หอยกะพง หอยนางรม ซึ่งกินแพลงตอนทุกชนิด โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน เป็นช่วงที่มีแพลงตอนชนิดนี้มากในน้ำทะเล โอกาสที่หอยนางรมเป็นพิษก็เกิดได้มากเช่นเดียวกัน ก่อนกินจึงควรนำไปแช่น้ำปูนเพื่อลดความเป็นพิษ หรืองดกินในช่วงนี้ก็จะเป็นการดี
       
       นอกจากนี้ในอาหารทะเลยังพบแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรคท้องร่วงมากที่สุดคือ เชื้ออหิวาต์เทียม หรือ วิบริโอ พารา ฮีโมไลติคัส (vibrio parahaemolyticus) เชื้อชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในน้ำทะเลและอาหารทะเล เช่น ปลา ปูม้า หอย กุ้ง กั้ง ปูทะเล และปลาหมึก เป็นต้น และยังพบในอาหารประเภทหอยแครงลวก ปลาดิบ ยำหอยนางรม ปูดอง หอยดอง ซึ่งพบเชื้อได้ทั้งปีแต่จะพบมากช่วงหน้าร้อนในเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งอาการที่ปรากฏชัดหลังจากกินเข้าไป 12-24 ชั่วโมง คือ ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง อาจมีอาการปวดศีรษะและหนาวสั่นร่วมด้วย
       
       ส่วนคำแนะนำในการเลือกกินหอยให้ปลอดภัยจากขี้ปลาวาฬ ผู้บริโภคจึงต้องหมั่นฟังข่าวจากสื่อต่าง ๆ ว่ามีขี้ปลาวาฬเกิดขึ้นในช่วงใด บริเวณใด ก็ควรงดกินในช่วงนั้น หรือให้เลือกกินอาหารทะเลที่สดและสะอาด มีการ ล้างน้ำทำความสะอาดทุกครั้งโดยเฉพาะสัตว์ทะเลที่มีผิว เปลือก หรือกระดอง เพื่อกำจัดแบคทีเรียที่ปนเปื้อน สำหรับกุ้งถ้าจะเก็บให้เด็ดหัวทิ้งก่อนแช่แข็งจะช่วยลดแบคทีเรียได้ถึงร้อยละ 50 และที่สำคัญเพื่อความปลอดภัยต้องผ่านการปรุงสุกทุกครั้ง



sithiphong:
เตือนพ่อค้าแม่ค้า วางผักสดบนอาหารปรุงสุก ทำอาหารเป็นพิษได้

-http://health.kapook.com/view85248.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผอ.สำนักงานป้องกันควบคุมโรค เตือนพ่อค้าแม่ค้าห้ามวางผักสดบนอาหารปรุงสุก ชี้เร่งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำอาหารเป็นพิษได้ ควรแยกออกจากกล่อง

          เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จ.สงขลา กล่าวเตือนว่า หากนำผักสดมาวางบนอาหารที่ปรุงสุกแล้วภายในกล่อง มีอุณหภูมิสูงประมาณ 35-50 องศา เป็นเวลานาน ผักสดจะได้รับความร้อนจากอาหารนั้น ทำให้ผนังเซลล์ของผักถูกทำลายเกิดการอ่อนนิ่มลง และอยู่ในสภาวะเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น เกิดการเน่าอย่างรวดเร็ว และสร้างสารพิษออกมาปนเปื้อนลงสู่อาหารที่ปรุงสุกแล้ว เมื่อผู้บริโภครับประทานอาหารดังกล่าวเข้าไป จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาหารเป็นพิษได้

          ทั้งนี้ ผักสดส่วนใหญ่จะมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย โดยในผักสดประกอบด้วยน้ำปริมาณสูงมาก และเป็นแหล่งที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ มีระดับพีเอชเฉลี่ย 5-7 ซึ่งเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ชนิดแบคทีเรีย ผักสดจึงเกิดการเน่าเสียเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียมากที่สุด สามารถปนเปื้อนเข้าสู่ผักสดได้ในหลายกรณี อาจมาจากดินที่ปลูกพืช จากภาชนะที่ใส่ตอนเก็บเกี่ยว กระบวนการขนส่ง แม้กระทั่งการล้างก็มีส่วนทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในส่วนเน่าเสียของผักแผ่กระจายออกไปได้ นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนในผักอาจมาจากมือของผู้ประกอบอาหารหรือผู้ที่สัมผัสกับผักสดด้วย

          ดังนั้น ฝากเตือนพ่อค้าแม่ค้าที่จำหน่ายอาหารกล่อง อย่าใส่ผักสดลงไปในกล่องรวมกับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว  ควรบรรจุผักสดไว้ในถุงพลาสติก หรือห่อด้วยกระดาษไข และแยกออกจากกล่อง เพื่อป้องกันการถ่ายเทเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในผักสดสู่อาหารที่ปรุงสุกแล้ว

          นอกจากนี้ ผู้ประกอบอาหารควรคำนึงถึงสุขลักษณะและสุขอนามัยที่ดี ดูแลเรื่องความสะอาดของเล็บมือ ผม ผิวหนัง ใส่ผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผมขณะประกอบอาหาร ดูแลห้องครัวให้สะอาด มีสถานที่เก็บอาหารสดและอาหารแห้งที่ปราศจากแมลง หนู แมลงสาบ คำนึงถึงความสะอาดตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ สำหรับผู้บริโภค ควรยึดหลักปฏิบัติ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ไม่เก็บอาหารที่ปรุงแล้วไว้นานเกิน 2-4 ชั่วโมง




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1395945056&grpid=03&catid=&subcatid=-

sithiphong:
“ไข่กุ้ง” หรือไข่อะไรกันแน่ บนหน้าซูชิ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 เมษายน 2557 16:59 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000030262-




 บนหน้าซูชิที่สีสันสดใสชวนกิน นอกจากจะมีเนื้อปลาหลากชนิด กุ้ง หมึก และอีกสารพัดเนื้อสัตว์แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่เป็นประจำบนหน้าซูชิ อาหารญี่ปุ่นยอดฮิตก็คือ “ไข่กุ้ง”
       
       แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าไข่กุ้งเหล่านี้ แท้จริงแล้วคือไข่ของอะไร มาจากไหน วันนี้ “108 เคล็ดกิน” จะมาเฉลยให้ฟัง
       
       “ไข่กุ้ง” เม็ดเล็กๆ เคี้ยวกรึบๆ ส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นสีส้ม แต่ก็มีบ้างที่แปลงร่างเป็นสีแดง สีดำ ซึ่งไข่กุ้งนั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือไข่ปลานั่นเอง ซึ่งไข่กุ้ง (หรือไข่ปลา) ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ Ebiko และ Tobiko
       
       ไข่กุ้งชนิดที่เรียกว่า Ebiko นั้นเป็นไข่ที่ได้จากปลา Capelin หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่าปลาไข่ กรรมวิธีการทำไข่จากปลา Capelin มาเป็นไข่กุ้ง นั้นต้องนำไข่ของปลามาหมักและปรุงรสจนได้ไข่ที่มีลักษณะโปร่งใส และมีสีส้มๆ คล้ายกับกุ้ง ซึ่งจะเรียกกันอบ่างแพร่หลายในร้านซูชิที่ประเทศญี่ปุ่นว่า Ebiko
       
       ส่วนไข่กุ้งที่เรียกว่า Tobiko นั้น คือไข่ที่ได้จากปลา Flying Fish หรือ ปลาบิน ซึ่งถูกนำมาใช้ทดแทนไข่จากปลา Capelin ที่มีปริมาณปลาลดน้อยลงไปมาก และได้เรียกไข่จากปลาบินว่า Tobiko เพื่อป้องกันการสับสน
       
       แต่รสชาติของไข่กุ้งที่มาจากไข่ปลาทั้งสองชนิดนั้นแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย ลักษณะจะเป็นไข่เม็ดเล็กๆ มีเปลือกไข่ที่แข็งเพียงเล็กน้อย และเมื่อเคี้ยวจะกรุบๆ มีรสเค็มอ่อนๆ ความแตกต่างกันที่มีเพียงเล็กน้อยก็คือ Ebiko จะมีกลิ่นเฉพาะตัวมากกว่า และมีราคาแพงกว่า
       
       และที่เราเห็นไข่กุ้งเป็นสีสันต่างๆ นอกจากสีส้ม ก็เพราะเกิดจากการย้อมสีให้มีสีสันและรสชาติที่แตกต่างกันออกไปอีกเล็กน้อย อย่างไข่กุ้งสีดำ ย้อมมาจากหมึกของปลาหมึก หรือไข่กุ้งสีเขียว ก็ย้อมมาจากวาซาบิ นั่นเอง




นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version