อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
ได้ผลจริง!ลบรอย “ตีนกา” ด้วยใบบัวบก
-http://club.sanook.com/28424/%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2-%E0%B8%94%E0%B9%89-
เชื่อไหมว่า “น้ำใบบัวบก” ที่ใครๆก็ชอบเอามาล้อคนอกหักว่ากินแก้ช้ำในช้ำใจนั้นมีประโยชน์เรื่องความสวยความงามแบบที่คุณผู้หญิงต้องอึ้งกันไปเลย เพราะมันสามารถลบรอยตีนกาได้….จริงดิ….
วิธี คือ นำใบบัวบกที่ได้มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาปั่น หรือจะบด จะโขลก ด้วยกรรมวิธีอะไรก็ได้ที่ถนัด เพราะสิ่งที่ต้องการ คือ น้ำใบบัวบก พอได้น้ำใบบัวบกสด ๆ แล้ว ใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกมาทาให้ทั่วใบหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทาทุกวันก่อนนอน หรือจะหลับไปเลยก็ได้
น้ำใบบัวบกจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งจะช่วยลบรอยตีนกาได้ แต่ที่สำคัญต้องทำสม่ำเสมอ ถึงจะเห็นผล รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่อยากลบรอยตีนกา ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ แบบไม่ต้องพึ่งพาโบท็อกซ์นะจ๊ะ
.
sithiphong:
กินอย่างไรดีในหน้าร้อน
-http://club.sanook.com/28264/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-
อากาศที่ร้อนอบอ้าวนอกจากจะทำให้ไม่สบายตัวแล้ว อาจจะทำให้จิตใจร้อนรุ่มพาลทำให้เกิดความหงุดหงิดได้ง่ายอีกด้วย เมื่อร่างกายและจิตใจไม่สบายแล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายๆอย่างโดยไม่รู้ตัว
“การกินอาหาร” ก็เป็นหนึ่งในวิธีคลายร้อนที่ง่าย ได้อิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจเลยทีเดียว แต่เมนูที่จะกินนั้น ก็ต้องสรรหาสรรพคุณคลายร้อน ย่อยง่าย มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากๆ และให้พลังงานต่ำ นะคะ
อาหารจำพวกโปรตีนที่สำคัญ ได้แก่ เนื้อไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ และถั่วเขียว วิตามินเกลือแร่ จากผักและผลไม้ที่สามาถช่วยเพิ่มความเย็นให้แก่ร่างกาย ได้แก่ มะเขือเทศ แตงกวา ข้าวโพด ผักโขม แตงโม ฟักเขียว ผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ ที่สำคัญที่สุดคือการดื่มน้ำเปล่าให้มาก ประมาณ 4-8 แก้ว หรือ 1-2 ลิตร ต่อวัน เพื่อเป็นการชดเชยส่วนที่ร่างกายเผาผลาญไป
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูงและย่อยยากอย่างเช่น เนื้อวัว นม ไขมัน ไข่ ทุเรียน กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล
หากต้องการหาเครื่องดื่ม หรือขนมเย็นๆมาคลายร้อน แนะนำให้ลองพวกสมูทตี้ผลไม้สด หรือไอศครีมเชอร์เบท แทนที่จะเป็นสมูทตี้กาแฟ,นม หรือไอศครีมที่มีส่วนผสมของนมดูค่ะ
sithiphong:
"รางจืด" ราชาแห่งการถอนพิษ
-http://campus.sanook.com/1371087/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9/-
รางจืดเป็นสมุนไพรที่ เป็นพืขในเขตร้อนและเขตอุ่นของทวีปเอเชีย จึงสามารถขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นของประเทศไทยทุกภาค ลักษณะ เป็นรูปยาวรีดคล้ายใบหญานาง แต่ใยโตกว่า มีสีเขียวอ่อน ปลายเรียวแหลมโคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบอาจเป็นหยักหรือไม่มีหยักก็ได้ และดอกมีขนาดเท่าดอกผักบุ้ง มีสีม่วงแกมน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว ซึ้งนิยมดอกมากกว่า ผลเป็นรูปทรงแหลม
คุณประโยชน์ :ใบ ราก เถา : รสจืดเย็น ตำคั้นหรือเอารากฝนกับน้ำหรือต้มเอาน้ำยา ดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม ใบสดช่วยเร่งการสร้างเมา ราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวมทั้งต้น รสจืดเย็น ปรุงยาแก้มะเร็งใช้หัวว่านฝนกับน้ำเปล่า หรือน้ำเหล้าเป็นกระสาย ทาหรือพอกไว้บริเวณที่โดนพิษ ไม่นานจะหาย หรือปรุงเป็นยาแก้โรคพิษสุนัขบ้า อมหัวว่านนี้ไว้ในปากกินเหล้าจะไม่เมา
การนำมาประกอบอาหาร : การปรุงอาหารจากรางจืด นำยอดรางจืดไปยำ ต้มจืด สลัดผักและชารางจืด ส่วนวิธีการใช้ประโยชน์รางจืดที่ดีที่สุดคือ เครื่องดื่มน้ำรางจืด โดยเฉพาะเกษตรกรเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และได้รับการสะสมสารเคมีตกค้าง โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ซึ่งมีพิษเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยมีผลต่อระบบประสาท ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย มึนงง ชักหมดสติ โดยชงรางจืดดื่มวันละ 6 กรัม ประมาณ 4-5 แก้วต่อวัน เพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย
การเก็บรักษา เก็บส่วนใบเรียวใบในภาชนะก่อนเพื่อกันใบช้ำ หลังจากนั้นเก็บเถา เส้นผ่า ศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ถ้าเถาร้อนเกินไปจะมีสีคล้ำเมื่อแห้ง นำใบและเถามาหั่นยาวประมาณ 2 นิ้ว ส่วนเถายาวประมาณ 1 ซม. นำไปตากแดด 4-5 วัน โดยแยกเถาและใบตาก เมื่อแห้งเก็บใส่ถุงรัดปากถุง ให้แน่น (อัตราการแห้งของใบรางจืดเท่ากับ 1 ต่อ 10)
เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
รางจืดต้น แก้พิษ แก้เมา แต่ตัวยาจะด้อยกว่ารางจืดเถา ใช้รากตำละเอียดผสมกับเหล้าขาวใช้ถอนพิษยาเบื่อให้กับสุนัขได้หรือการใช้กับคนที่ได้รับเชื้อไวรัสเฮอร์พีช (Herpes Virus) จำพวก เริม งูสวัด ไฟลามทุ่งหรือขยุ้มตีนหมา ตามชื่อเรียกของชาวบ้าน พบว่าใช้ใบรางจืดตำละเอียด ผสมเหล้าขาว นำไปทาบริเวณที่ได้รับเชื้อสามารถถอนพิษและอาการ ของโรคได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้การใช้รางจืดต้นเป็นส่วนประกอบ ในการผสมตัวยาก็ยังเห็นผล อาทิเช่น ใช้ใบรางจืด ใบชุมเห็ดเทศ กระเทียม ตำละเอียดผสมเหล้าขาว ทาแก้โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ผื่นคัน อาการเหล่านี้จะหายได้ ในเวลาอันรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใบชา หรือถุงชาในแพ็คเกจสวยหรูดูดี และยังทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำเร็จรูป ซึ่งเป็นของกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ราคาย่อมเยา สามารถชงดื่มได้ทันที หาซื้อได้ทั่วไป ลองไปอุดหนุนกันหน่อยเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ของพี่น้องไทยกันเอง
---------------------------------------------------
น้ำมะนาว ดีต่อสาวๆยังไง
-http://guru.sanook.com/9559/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%86%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87/-
มะนาว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเราในการกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำได้โดยการดื่มน้ำมะนาวผสมในน้ำอุ่นทุกๆ เช้า เพราะมะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับการลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซน่าว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน โดยผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมากๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้นด้วย และยังช่วยปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวช่วยให้ระบบย่อยดีขึ้น และช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย
ถ้าสาวๆ อยากลดน้ำหนัก ยังมีผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของมะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เพราะเปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินคุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว
สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน
1. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า
เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด
เพราะผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง
3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย
ที่มาข้อมูลและภาพ tsgclub.com
sithiphong:
“ไหลบัว” ประโยชน์เหลือหลาย สายใยจากบัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2557 18:41 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034218-
มีพืชผักหลายชนิดที่เราสามารถนำทุกๆ ส่วนมาใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งหมด ที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือต้นกล้วย ที่ตั้งแต่ยอดมาจนราก แถมยังกิ่งก้านใบ ดอก ผล ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมี “บัว” ที่เราก็สามารถใช้สอยประโยชน์ได้อย่างมากมาย
หนึ่งในส่วนที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารก็คือ “ไหลบัว” ซึ่งหลายๆ คนคงยังสับสนอยู่บ้างระหว่าง “ไหลบัว” และ “สายบัว” ซึ่ง “108 เคล็ดกิน” มีข้อสังเกตง่ายๆ มาบอก
“ไหลบัว” ที่เราพูดถึงกันนี้ บางคนอาจเรียกว่า “หลดบัว” ซึ่งเป็นส่วนของหน่อบัว หรือส่วนที่งอกออกมาและจะเจริญไปเป็นลำต้นใหม่ต่อไป ลักษณะของไหลบัวจะเป็นก้านยาวๆ สีขาวนวล ลักษณะแข็ง กดไม่ยุบ แตกต่างจาก “สายบัว” ซึ่งเป็นก้านของดอกบัว เวลาจะกินต้องนำมาลอกเปลือกนอกออกก่อน สีของสายบัวจะออกสีน้ำตาล เมื่อลอกเปลือกออกแล้วจะออกเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ อมเขียวอ่อน ถ้าบีบที่สายบัวจะยุบลงไป หรือเมื่อนำไปผัดหรือต้มก็จะนิ่ม
ปัจจุบัน “ไหลบัว” ยังสามารถหาซื้อได้ตามตลาดสดใหญ่ๆ เมื่อซื้อมาแล้วก็นำมาล้างทำความสะอาด แล้วหั่นหรือเด็ดให้เป็นท่อนยาวพอคำ สำหรับนำไปปรุงอาหารต่อ แต่ตัวไหลบัวนั้นมีใยอยู่มาก เมื่อเด็ดหรือหั่นจะสังเกตเห็นสายใยที่ยืดยาวออกมา หากไม่กำจัดทิ้งไป เวลากินจะกินลำบาก เคล็ดลับการกำจัดเยื่อใยของไหลบัวคือ เมื่อเด็ดหรือหั่นเสร็จแล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ แล้วใช้ตะเกียบมาคนวนในกะละมังให้ทั่ว (ใช้ตะเกียบไม้จะดีกว่า) จะเห็นว่ามีใยของไหลบัวติดออกมา ให้คนไปเรื่อยๆ จนกว่าใบไหลบัวจะไม่ติดขึ้นมา
ส่วนสรรพคุณของไหลบัวนั้น ตามตำราสมุนไพรไทย ไหลบัวเป็นยาเย็นรสจืด สรรพคุณช่วยแก้อ่อนเพลียและบำรุงหัวใจ มีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยแก้โรคท้องผูกได้
sithiphong:
ระวัง! 8 เมนูอันตราย เสี่ยงอาหารเป็นพิษช่วงสงกรานต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2557 16:03 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000041323-
เตือนประชาชนระวังภัยอาหารและน้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์ เสี่ยงป่วยโรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ จากเมนูอาหาร 8 ชนิด อาทิ อาหารปรุงจากกะทิ อาหารกล่อง แนะอาหารทะเลสดให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการลวก พล่าสุกๆ ดิบๆ ชี้ช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนรายเสียชีวิต 3 ราย แนะพ่อค้าแม่ค้าน้ำแข็งสำหรับบริโภคไม่ควรแช่รวมกับอาหารดิบจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารทะเลชี้ความเย็นช่วยให้เชื้อโรคมีอายุนานขึ้น
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สภาพอากาศร้อนอบอ้าว ในฤดูร้อน จะทำให้อาหารบูดเสียได้ง่าย ประชาชนมีความเสี่ยงเจ็บป่วยจากโรคระบบทางเดินอาหารสูงกว่าฤดูกาลอื่นๆ จากข้อมูลรายงานของสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่ 1 มกราคม - 7 เมษายน 2557 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษแล้ว 34,378 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง 330,485 ราย เสียชีวิต 3 ราย ดังนั้นในช่วงหยุดฉลองเทศกาลสงกรานต์ 12-16 เมษายน 2557 นี้ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงเองที่บ้าน อาหารสั่งซื้อ หรือออกไปรับประทานอาหารตามร้านนอกบ้าน
นพ.ณรงค์กล่าวว่า อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ประชาชนควรเพิ่มความใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เมนูอาหาร 8 ชนิด ได้แก่ 1.อาหารปรุงด้วยกะทิ 2.ขนมจีน 3.อาหารทะเลสด 4.อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ยำ พล่า 5.อาหารถุง อาหารกล่อง อาหารห่อ 6.ส้มตำ 7.อาหารค้างมื้อ และ 8.น้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ควรกินเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่ หากเหลือแล้วไม่ควรเก็บไว้เพราะจะบูดเสียง่าย ส่วนเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมักมักจะเสียง่าย ไม่ควรทิ้งค้างคืน ผักสดที่กินกับขนมจีนต้องล้างให้สะอาด ในกลุ่มของอาหารทะเล ขอให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะ กุ้ง หอย ปลาหมึก เช่นเดียวกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หมู ไก่ และไข่ ส่วนประเภทอาหารถุง อาหารกล่อง หรืออาหารห่อพร้อมบริโภค ในการบรรจุควรแยกกับข้าวออกจากข้าว และควรรับประทานไม่เกิน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุง
ส่วนส้มตำซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตทุกฤดูกาล ในฤดูร้อนต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากในส้มตำมีเครื่องปรุงส่วนประกอบมากมาย อาทิ ปลาร้า ปูดองดิบหรือต้มไม่สุก มะละกอดิบ มะเขือเทศ ผักดิบแกล้ม พริกขี้หนูที่ล้างไม่สะอาดหรือไม่ได้ล้าง อาจมีเชื้อโรคหรือสารเคมีตกค้าง หากแม่ค้าที่ไม่ใส่ใจความสะอาดและขาดสุขนิสัยที่ดี ล้วนนำมาสารพัดโรคได้ สุดท้ายคือน้ำดื่มและน้ำแข็ง ขอให้ดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย.รับรอง และเลือกขวดที่มีฝาปิดสนิท ส่วนน้ำแข็งควรเลือกชนิดบรรจุถุงที่มีเครื่องหมาย อย. หรือที่เรียกว่าน้ำแข็งหลอด และขอความร่วมมือพ่อค้าแม่ค้า ไม่ควรนำอาหารดิบจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารทะเลรวมทั้งเครื่องดื่มกระป๋องแช่รวมในถังน้ำแข็งที่ใช้บริโภค เพราะจะทำให้น้ำแข็งปนเปื้อนเชื้อโรค และความเย็นยังช่วยให้เชื้อโรคมีชีวิตได้นานและแบ่งตัวได้ดีขึ้น
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เพื่อความปลอดภัยจากโรคระบบทางเดินอาหาร ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติให้เป็นนิสัย 3 ประการ คือให้ “กินอาหารสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และต้องล้างมือเป็นประจำ” สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขอให้พ่อแม่ดูแลเรื่องการกินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กวัยนี้นอกจากจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำแล้ว ยังดูแลตัวเองไม่เป็น กินและหยิบอาหารเข้าปากแบบไร้เดียงสา จึงมีโอกาสติดเชื้อง่าย
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version