อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
บริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ ดินไม่ดี มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่ขึ้น ในต้นผักกูดมีสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก
วันเสาร์ 12 เมษายน 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/229587/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
ผักกูดเป็นพืชตระกูลเฟิร์นกินได้ มีเหง้า ใบเป็นแผงรูปขนนก ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอย ชอบขึ้นบริเวณพื้นที่โล่งแจ้งมีน้ำชื้นแฉะ เป็นพืชดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม บริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ ดินไม่ดี มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่ขึ้น ในต้นผักกูดมีสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมใช้ใบผักกูดต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟันและขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเม็ดเลือด ยอดอ่อนนิยมนำมาแกง ลวกจิ้ม ยำ ผัก แต่ไม่นิยมกินสด ๆ เนื่องจากมียางเมือก.
sithiphong:
จำให้แม่น 4 คู่อาหาร “ต้านแก่”
-http://club.sanook.com/18197/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-4-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-
เรื่องการกินอาหารนั้นใครว่าเป็นเรื่องเล็กๆ อยากกินอะไรก็กินๆไปเหอะ ชอบอะไรก็กินแบบนั้นอย่าลืมนะประโยคอมตะที่ว่า You are what you eat อาหารบางอย่างกินคู่กันแล้วเป็นพิษ แต่ในทางกลับกันบางอย่างเมื่อมาผสมกันแล้วกลับให้ผลลัพธ์ที่เลิศทวีคูณไม่เชื่อให้ลองดูการจับคู่ อาหารเหล่านี้….
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ+กล้วย = ช่วยดูแลลำไส้ เมื่อกินกล้วยและโยเกิร์ตคู่กัน ร่างกายก็จะได้รับทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติกพร้อมกัน ก็จะ เหมือนการชาร์จแบตเตอร์รี่เพิ่มพลัง
แอปเปิ้ล+องุ่น = ตัวช่วยของหัวใจ นักวิจัยชาวอิตาเลียนค้นพบว่า หากกินแอปเปิ้ลหนึ่งผลควบคู่ไปกับองุ่นสักหนึ่งกำมือ สารเควอร์ซิตินใน แอปเปิ้ลจะทำงานร่วมกับสารคาเตชินในองุ่น
เนื้อปลา+บร็อกโคลี่ = กินคู่นี้ไกลมะเร็ง เมื่อกิน อาหาร สองชนิดนี้คู่กัน ซีลีเนียมและซัลโฟ-ราเฟนจะช่วยยับยั้งการก่อตัวและการแพร่กระจาย ของเซลล์มะเร็ง ทำให้ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลดลงมากกว่าการกินเดี่ยวๆ ถึง 13 เท่า
ถั่วฝักยาว+พริกหวานสีแดง = ป้องกันโลหิตจาง อาหาร ที่มีธาตุเหล็กสูงอย่าง ถั่วฝักยาว คะน้า และ บร็อกโคลี่ แล้ว ควรกินผักที่มีวิตามินซีสูง มากอย่างพริกหวานสีแดง ควบคู่ไปด้วย เพราะหากไม่มีวิตามินซีร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กจากผักไปใช้ได้ไม่ถึง 10%
sithiphong:
ร้อนนี้ “น้ำเก็กฮวย” ช่วยท่านได้
-http://club.sanook.com/28916/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2-
ร้อนนี้ “น้ำเก็กฮวย” ช่วยท่านได้
ตอนนี้ใครๆ ก็ต่างพากันบ่นว่าร้อนๆ ซึ่งแต่ล่ะคนก็มีตัวช่วยกันสารพัด ไม่ว่าจะเปิดพัดลม เปิดแอร์ เปิดกันเข้าไปให้หายร้อนซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือค่าไฟ ที่จะทำเอาเราช๊อกกันได้ แต่วันนี้เราเอาวิธีบรรเทา แก้ร้อนแบบง่ายสุดๆ ประหยัดเงิน มีประโยชน์ แถมได้กินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยค่ะ
เชื่อว่าทุกคนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ต้องรู้จัก “น้ำเก็กฮวย” แน่นอนค่ะ แต่รู้ไหมคะว่าน้ำเก็กฮวยธรรมดาหน้าตาโบราณนี่ มีประโยชน์มาก และเหมาะกับหน้าร้อนบ้านเรามากๆ เพราะน้ำเก็กฮวยจะมีคุณสมบัติขับร้อน อีกทั้งยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกด้วยค่ะ
น้ำเก๊กฮวย เป็นเครื่องดื่มทำจากดอกเก๊กฮวย (เบญจมาศสวน) ที่นำไปตากให้แห้งและนำไปต้มกับน้ำเดือดแล้วเติมน้ำตาลลงไป
วิธีทำคือ นำดอกเก๊กฮวยอบแห้ง 5-10 ดอก ลงไปในหม้อกับน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มนาน 5 นาที แล้วกรองออก จะเติมน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลกรวดลงไปเพื่อเพิ่มความหวาน หรือไม่ตามแต่ชอบ หรือจะเพิ่มความหอมโดยการใช้ใบชาหรือเตยลงไปด้วยก็ได้ รับประทานได้ทั้งร้อนและเย็น
ประโยชน์ของน้ำเก๊กฮวย มีอยู่ด้วยกันหลายประการ นอกจากความหอมสดชื่นแก้กระหายแล้ว ยังเป็นยาเย็น ดับพิษร้อน แก้ร้อนใน ในตำราการแพทย์แผนจีน ช่วยในระบายและย่อยอาหาร ช่วยขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ที่เลี้ยงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคเส้นเลือดตีบ และโรคหัวใจได้ ช่วยขจัดสารพิษให้ออกจากร่างกาย ช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งและจุลินทรีย์ต่าง ๆ
ที่มา : wikipedia
--------------------------------------------------------------------------------------
แค่จิบเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะ ก็แก้ปัญหาสุขภาพได้แล้ว !
-http://health.kapook.com/view85450.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เครื่องดื่มถือว่าเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มอีกสารพัดชนิดที่เราดื่มกันเป็นประจำ แล้วแต่เวลาไหนอยากจะดื่มอะไร แต่ทราบไหมคะว่า หากเราดื่มเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะเวลาของมันสักนิด ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด แถมยังดีต่อสุขภาพแบบคูณ 2 อีกต่างหาก ว่าแล้วก็มาดูข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้จากเว็บไซต์ Huffington Post ให้ชัด ๆ กันอีกทีดีกว่า เวลาไหนควรดื่มอะไร ตามมาดูกันเลย !
สร้างกล้ามเนื้อ ต้องดื่มนม
ในน้ำนมมีโปรตีนอย่างเวย์โปรตีน และเคซีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่สำคัญกับการสร้างกล้ามเนื้อของร่างกาย ดังนั้นหนุ่มสาวคนไหนอยากให้ร่างกายแน่นเปรี๊ยะไปด้วยกล้ามเนื้อ นมนี่ล่ะคือคำตอบ
อยากลดน้ำหนัก จัดชาเขียวสิ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ชาเขียวสามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ผลเร็วขึ้น ด้วยการกระตุ้นระบบเมตาลอลิซึมให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากคุณอยากลดน้ำหนักให้ได้ผลอย่างยั่งยืน ก็ต้องดื่มชาเขียวอุ่น ๆ วันละ 4 แก้วเป็นประจำนะจ๊ะ
เพิ่มความกระฉับกระเฉง ต้องนมช็อกโกแลตเลย
ในเวลาที่ร่างกายอ่อนล้า ต้องการความสดชื่น เพื่อให้รู้สึกกระฉับกระเฉง แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ นมช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มชูกำลังทุกชนิดก็ได้ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีส่วนผสมของโปรตีน โซเดียม และโพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยเติมพลังให้เราหลังจากการเสียเหงื่อเยอะได้จ้า
หลังวิ่ง น้ำมะพร้าวสิเด็ด !
นอกจากน้ำเปล่าเย็น ๆ สักขวดแล้ว หลังจากเหนื่อยหนักจากการวิ่งเป็นระยะเวลานาน เราควรดื่มน้ำมะพร้าวให้ชื่นใจด้วย เพราะน้ำมะพร้าวมีทั้งสารกระตุ้นร่างกาย ช่วยเพิ่มความอึด และความทนทาน และเป็นน้ำที่ให้พลังงานกับร่างกายได้พอ ๆ กับเครื่องดื่มชูกำลัง แต่มีปริมาณแคลอรี่ที่น้อยกว่าด้วย หรือคุณจะดื่มน้ำมะพร้าวก่อนเริ่มวิ่งสัก 1-2 ชั่วโมงก็ดี แล้วคุณจะวิ่งได้นาน 90 นาทีแบบไม่ค่อยรู้สึกล้าเท่าไรเลยล่ะ
น้ำขิง ช่วยบรรเทาอาการมวนท้อง
ใครที่มักจะปวดท้องบ่อย ๆ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อย รวมทั้งอาการปวดท้องจากประจำเดือน ลองดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ดูสิ เนื่องจากน้ำขิงมีส่วนช่วยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ด้วย
บรรเทาอาการหวัด ด้วยน้ำผึ้งมะนาว
น้ำผึ้งมีสารช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และอาการอักเสบ ส่วนมะนาวก็มีวิตามินซีสูงมาก เมื่อน้ำทั้ง 2 อย่างมารวมกันเป็นเครื่องดื่มอุ่น ๆ ไว้จิบในช่วงที่คุณป่วยเป็นไข้หวัด เชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายก็จะถูกทำลายไป อาการไข้ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และหายไปในที่สุด
จิบน้ำผึ้งอุ่น แก้อาการไอ
ใครที่กำลังมีอาการไอ ให้จิบเครื่องดื่มอุ่น ๆ อย่างน้ำผึ้งผสมน้ำร้อนเป็นประจำ เนื่องจากน้ำผึ้งมีส่วนช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก อีกทั้งความหวานของน้ำผึ้งยังช่วยขับน้ำลาย และเสลดในคอเราได้ด้วย ก็เลยส่งผลให้อาการไอลดน้อยลงด้วยนั่นเอง
ชาขมิ้น บรรเทาอาการเจ็บคอ
อาการเจ็บคอมักจะมาพร้อมกับอาการไอ และไข้หวัด ซึ่งสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บคอก็คือเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดการอักเสบในคอนั่นเอง ดังนั้นเราก็เลยต้องจัดชาขมิ้น ซึ่งมีคุณสมบัติแก้อาการอักเสบ และกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้ร่างกายสักหน่อย อาการเจ็บคอที่ทรมานอยู่จะได้หายไปนะจ๊ะ
กะทิ ลดอาการแสบร้อนในปาก จากอาหารเผ็ด
เวลาที่กินอะไรเผ็ด ๆ เข้าไปมักจะเกิดอาการแสบร้อนปาก ทำให้เผ็ดไม่หายอยู่อย่างนั้น และต่อให้ดื่มน้ำเย็น ๆ เข้าไปมากเท่าไรความเผ็ดร้อนก็ไม่หายไปสักที ถ้าอย่างนั้นลองหาขนมหวานน้ำกะทิมากินดูสิคะ เพราะไขมันจากกะทิมีโปรตีนช่วยลดอาการเผ็ดร้อนได้ หรือจะลองดื่มนมที่มีแลคตินช่วยลดอาการแสบร้อนเนื่องจากความเผ็ดก็ได้จ้า
น้ำว่านหางจระเข้ แก้อาการท้องผูก
สำหรับคนที่ท้องผูกเป็นประจำ ลองดื่มน้ำว่านหางจระเข้วันละ 1 แก้วเป็นอย่างต่ำดูสิจ๊ะ เพราะน้ำว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่จะช่วยปรับสมดุลในลำไส้ กระตุ้นระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นได้ง่าย ๆ เลยล่ะ
แก้ง่วงด้วยกาแฟ น้ำเปล่า และสไปรูลิน่า
ตกบ่ายทีไรเป็นต้องง่วงจนตาจะปิดทุกที ยังงี้คงต้องหากาแฟสักแก้วมาดื่มกระตุ้นร่างกายสักหน่อย แต่หากใครไม่ใช่คอกาแฟ ก็สามารถดื่มน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบ หรือน้ำเปล่าผสมผงสาหร่ายสไปรูลิน่าสักหน่อยก็ได้ โปรตีนจากสาหร่ายชนิดนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายได้อีกเยอะเลยจ้า
นอนไม่หลับ ต้องจัดนมอุ่น ๆ และชาคาโมมายล์
นมอุ่น ๆ มีโปรตีนและกรดอะมิโนที่สามารถกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนเมลาโธนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ส่วนชาคาโมมายล์ก็ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย ช่วยให้คุณนอนหลับสบายไปตลอดทั้งคืนเชียวล่ะ
ลดความดันด้วยเลมอนบาล์ม
เลมอนบาล์มเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ช่วยผ่อนคลายร่างกาย และลดความดันโลหิต กระตุ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงเกินปกติ ก็ลองดื่มชาเลมอนบาล์มบรรเทาอาการก่อนก็ได้ค่ะ
ดื่มน้ำเปล่าระหว่างมื้อ ช่วยย่อยอาหาร
การดื่มน้ำระหว่างที่รับประทานอาหาร หรือหลังจากรับประทานอาหารอิ่ม สามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การดื่มชาสมุนไพร เช่น ชามิ้นต์ หรือชาเปปเปอร์มิ้นต์ ก็สามารถกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้เราได้ด้วยเช่นกันจ้า
ดื่มนม-โยเกิร์ต แก้เผ็ด
อย่างที่บอกไปว่า โปรตีน และไขมันจากนมสามารถลดอาการเผ็ดของอาหารได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโปรตีนและไขมันเหล่านี้ จะไประงับสารแคปไซซิน สารที่ให้รสเผ็ดในพริก ดังนั้นต่อให้กินอาการเผ็ดร้อนแค่ไหน แต่ถ้าตบท้ายด้วยการดื่มนม หรือกินโยเกิร์ต อาการเผ็ดร้อนก็จะหายไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึกเลยล่ะ ไม่เชื่อลองดูสิ
เมาแฮ้งค์ กล้วยปั่นช่วยได้
นักปาร์ตี้ที่มักจะตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวตุบ ๆ เนื่องจากอาการแฮ้งค์ แนะนำให้ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว หรือถ้ายังไม่รู้สึกดีขึ้น ลองหาน้ำส้มคั้น หรือน้ำกล้วยปั่นมาดื่มก็ได้ เพราะในน้ำผลไม้เหล่านี้จะมีโพแทสเซียม น้ำตาล และอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
น้ำเปล่า ลดกลิ่นปาก
เครื่องดื่มประเภทกาแฟ นม หรือน้ำผลไม้บางชนิดมีกลิ่นแรง และมักจะติดปากเราไปตลอด ซึ่งหากต้องการดับกลิ่นปาก และทำให้ลมหายใจสดชื่น ต้องดื่มน้ำเปล่า หรือบีบน้ำมะนาวลงไปในน้ำเปล่าด้วยก็ได้ ซึ่งนอกจากจะได้ล้างคราบกลิ่นเหม็น ๆ ในช่องปากแล้ว ยังช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวอีกด้วยนะจ๊ะ
ขจัดความหิวด้วยนม
การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารสามารถช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แต่นั่นก็ต้องแลกกับการหิวบ่อยด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากคุณกำลังอยู่ในช่วงไดเอต และไม่อยากกินเยอะ ทุกครั้งที่รู้สึกหิวในระหว่างวัน แนะนำให้ดื่มน้ำแคลอรี่ต่ำสักกล่อง ให้โปรตีนและความหวานของนมช่วยลดความหิวของคุณก็ดีจ้า
เบกกิ้งโซดา
บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ด้วยเบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดาประมาณ 1/2 ช้อนชา ผสมกับน้ำเย็น 1 แก้วเต็ม คนให้เข้ากัน แล้วนำมาดื่ม เป็นสูตรเครื่องดื่มช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเบกกิ้งโซดามีโพรไบโอติกที่ช่วยย่อยอาหาร ลดแก๊สในกระเพาะ ทำให้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อลดลงนั่นเอง
ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า ปัญหาสุขภาพบางอย่างก็สามารถบรรเทาได้ด้วยเครื่องดื่มง่าย ๆ ที่เราดื่มกันเป็นประจำทุกวัน เพียงแค่เราต้องเลือกดื่มเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะเวลาเท่านั้นเองเนอะ
http://health.kapook.com/view85450.html
sithiphong:
ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง
-http://guru.sanook.com/26965/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-30-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-
กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูล อิสระ เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด
ทั้งนี้ สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างดี
ทั้งนี้กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิด พบว่า
ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ
มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม
มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม
มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม
มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
แตงโม 122 ไมโครกรัม
ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม
ลูกพลับ 93 ไมโครกรัม
ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก คือ
ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
สตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม
ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ
ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม
มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม
ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม
ข้อมูลจาก : -http://apilosonmd.igetweb.com/-
sithiphong:
“งาขี้ม่อน” เมล็ดเล็กจิ๋ว คุณภาพคับแก้ว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2557 17:04 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000044781-
หากใครที่เป็นชาวเหนือ คงจะรู้จัก “งาขี้ม่อน” กันเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อ “108 เคล็ดกิน” มีของดีเม็ดเล็กๆ จะมากระซิบบอกกัน
เพราะ “งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” มีสรรพคุณทางยามากมาย แต่ก่อนอื่นนั้น เราไปเริ่มต้นทำความรู้จักเจ้างาขี้ม่อนกันก่อน
“งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” เป็นพืชจำพวกเดียวกับกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก พบว่าปลูกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยมานานแล้ว เมล็ดของงาขี้ม่อนจะมีขนาดเล็กๆ กลมๆ ขนาดใกล้เคียงกับเมล็ดงา คนภาคเหนือจะนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง อาทิ ทำเป็นงาขี้ม่อนแผ่น (คล้ายๆ กับถั่วตัด) นำไปคั่ว นำไปคลุกกับข้าวเหนียว หรือผสมกับข้าวหลามเป็นข้าวหลามงาขี้ม่อน แล้วก็ยังมีการนำมาทำเป็นชางาขี้ม่อน หรือในช่วงหลังๆ มีการดัดแปลงนำมาทำเป็นคุกกี้งาขี้ม่อน ทำให้สามารถหากินได้ง่ายมากขึ้น
“งาขี้ม่อน” มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยวิตามินบี และมีสารเซซามอล ที่เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งและทำให้ร่างกายแก่ช้าลง
สรรพคุณของงาขี้ม่อน หากกินเมล็ดจะช่วยชูกำลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น แก้ท้องผูก ลดไขมันในเลือด ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช่วยต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา เป็นยาระบาย ลดบวม ลดอุณหภูมิร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์
นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยออกมาล่าสุด พบว่า ในน้ำมันงาขี้ม่อน มีทั้งโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย หากพูดถึงโอเมก้า 3 หลายคนอาจจะนึกถึงน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง แต่คนที่อยู่ตามยอดดอยต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลทะเล ก็ไม่ได้ขาดโอเมก้า 3 เพราะว่าได้รับมาจากงาขี้ม่อนนั่นเอง
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version