อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
“ของหมัก-ดอง” อร่อยปาก ลำบากกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 เมษายน 2557 16:43 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000045752-
การนำวัตถุดิบสดๆ มาหมักหรือดอง ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ ถือว่าเป็นการถนอมอาหารที่เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณมาอย่างช้านานแล้ว แต่ก่อนนั้นมีการหมักดองก็เพื่อทำให้อาหารที่หามาได้นั้นสามารถเก็บไว้กินได้นานขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการหมักดองกันเองในครัวเรือน
แต่ในปัจจุบัน อาหารหมักดองกลายมาเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น มีคนต้องการกินมากขึ้น เพราะรสชาติที่อร่อยถูกปาก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ดองตามรถเข็น หน่อไม้ดองที่นำมาปรุงเป็นอาหาร หรืออื่นๆ อีกมากมาย ทำให้บางครั้งมีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสใส่สารเคมีที่เป็นอันตรายผสมเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือทำให้หน้าตาดูน่ากิน หรือบางครั้งก็ใส่เพื่อยืดอายุอาหารให้อยู่นานมากขึ้นไปอีก
ตัวอย่างสารเคมีหรือสารมีพิษต่างๆ ที่เคยมีการตรวจพบตามท้องตลาด อาทิ ในผลไม้ดอง-ผลไม้แช่อิ่ม พบ สารซัคคาริน หรือ ขัณฑสกร ในปริมาณมากเกินกว่าที่กำหนด โดยสารซัคคารินเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 300 เท่า ผู้ใช้ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน เพราะสารซัคคารินเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งหลายประเทศมีการออกประกาศห้ามใช้แล้ว
ส่วนในหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ก็เคยตรวจพบสารกันเชื้อรา หรือสารกันบูด หากบริโภคเข้าไปมากจะไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ ความดันโลหิตต่ำจนเกิดอาการช็อค บางรายอาจเกิดอาหารแพ้ เป็นผื่นขึ้นตามตัว อาเจียน หูอื้อ หรือมีไข้
หรือในบางครั้ง หากเลือกกินผักผลไม้ดอง แม้จะไม่ได้ใส่สารพิษอื่นๆ ลงไป แต่อาจมีการตกค้างอยู่ของยาฆ่าแมลง เนื่องจากเกษตรกรบางคนใช้ในปริมาณมากเกินไป จึงเกิดการตกค้างมากกับผลไม้ก่อนนำมาดอง หากบริโภคยาฆ่าแมลงเข้าไปมากๆ ในคราวเดียว จะทำให้เกิดพิษแบบเฉียบพลัน เช่น ทำให้กล้ามเนื้อสั่ง กระสับกระส่าย ชักกระตุก และหมดสติ หายใจขัดจนถึงอาจหยุดหายใจได้ แต่พิษที่พบได้มากที่สุดก็คืออาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน และหากสะสมอยู่ในร่างกายมาๆ จะทำให้เกิดมะเร็งได้
อาหารการกินในทุกวันนี้ที่ซื้อมาจากนอกบ้าน ควรสังเกตและเลือกซื้อจากร้านค้าที่เชื่อถือได้ หรือหากเป็นไปได้ การบริโภคอาหารสด หรืออาหารที่ปรุงเองใหม่ๆ ก็จะเป็นการปลอดภัยที่สุด
sithiphong:
หนุ่มชัยภูมิกินขนมจีนบูด ท้องร่วงหนัก-สมองบวมเสียชีวิต
-http://health.kapook.com/view86993.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
หนุ่มชัยภูมิกินขนมจีนบูด อาเจียน ท้องร่วงหนัก เชื้อแบคทีเรียลุกลามทำสมองบวม สุดท้ายเสียชีวิต ด้าน สสจ. เตือน หากมีอาการท้องร่วง ให้รีบหาหมอทันที แนะระวังการทานอาหารหน้าร้อน เพราะบูดเน่าง่าย
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบชายชาวชัยภูมิเสียชีวิตจากการรับประทานขนมจีนบูด จึงได้สอบถามไปยัง นพ.สมควร หาญพัฒนชัยกูร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ ทราบว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา มีผู้นำตัว นายสุวิมล ธงภัก อายุ 49 ปี ชาวบ้านหัวสะพาน ต.นายางกลัก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ มาส่งยังโรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากมีอาการท้องเสีย อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ผ่านไปสักพักอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ญาติพี่น้องจึงได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลชัยภูมิและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ จากการสอบสวนโรคทราบว่า ก่อนที่ นายสุวิมล จะมีอาการป่วยได้นั่งรับประทานขนมจีนที่ภรรยาซื้อมาให้จากตลาด จากนั้นก็รู้สึกปวดท้องและถ่ายท้องบ่อยครั้ง จึงได้ทานยาแก้ท้องเสียเข้าไป จนกระทั่งกลางดึก นายสุวิมลมีอาการปวดท้องอย่างหนัก ญาติจึงได้นำตัวมาส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ก็ให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทันที แต่อาการกลับทรุดหนักลง จึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลชัยภูมิ เพราะมีอาการร่างกายไม่ตอบสนอง อีกทั้งยังมีสมองบวมไปทับแกนสมองแล้ว ซึ่งอาการเช่นนี้มีโอกาสฟื้นขึ้นมาเป็นปกติน้อยมาก หลังจากนั้น ร่างกายของผู้ป่วยก็ไม่ดูดซึมอาหารที่ให้ทางสายยาง และเชื้อแบคทีเรียยังได้ลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต
นพ.สมควร ระบุด้วยว่า สำหรับต้นเหตุของเรื่องนี้คาดว่ามาจากการรับประทานขนมจีน เพราะช่วงนี้สภาพอากาศร้อนจัด ทำให้อาหารที่ซื้อมาบูดเน่าและเสื่อมคุณภาพเร็ว หากรับประทานเข้าไปจะมีอาการท้องร่วงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะทำการสอบสวนโรคเป็นการด่วน พร้อมกันนี้ ยังขอเตือนประชาชนในเบื้องต้น หากมีอาการท้องร่วงควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.komchadluek.net/detail/20140424/183424.html-
-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=532759-
sithiphong:
5 เคล็ดลับสมุนไพรไทย คลายร้อน
-http://guru.sanook.com/27031/5-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/-
อากาศร้อนๆ เช่นนี้ หลายคนอาจกำลังหาวิธีผ่อนคลายความร้อนกันสารพัดรูปแบบ บ้างหลบร้อนด้วยการไปเที่ยวทะเล หรือ ทาแป้งเย็นหลังอาบน้ำก็ยิ่งดี
แต่ถ้ายังไม่มีวิธีที่ถูกใจ เรามี 5 สมุนไพรไทยคลายร้อน มาฝากกันค่ะ
1. ผักและผลไม้ไทยรสขมหรือเย็น ตามหลักของการแพทย์แผนไทยบอกไว้ว่า ฤดูร้อน ธาตุไฟจะมาก ถ้าเราจะดับร้อนด้วยอาหาร ก็ต้องรับประทานอาหารที่มีรสขมหรือรสเย็น ไม่ว่าจะเป็นพืชผักหรือผลไม้ก็ได้ นำมาปรุงเป็น อาหารหรือเครื่องดื่ม รสขมจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร และช่วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะความร้อนได้ด้วย
2. ใครๆ ที่โปรดปรานน้ำพริกเป็นพิเศษ ก็อยากจะแนะนำว่า อย่าให้รสเผ็ดจัดมากนัก เพราะอาจร้อนยิ่งขึ้นได้ แต่หากชอบ น้ำพริกจริงๆ ก็ต้องรับประทานแกล้มกับผัก ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา แตงโมอ่อน ตำลึง ยอดแคลวก ส่วนคนที่นิยมรับประทานใบบัวบกสดๆ ให้ นำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มก็ยิ่งดี
3. ขนมจำพวกลอยแก้วต่างๆ เช่น กระท้อนลอยแก้ว ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว นอกจากรสชาติอร่อยแบบไทยๆ แล้วยังชื่นใจ ช่วย คลายร้อนได้อย่างมาก สำหรับชาวชีวจิต เราแนะให้ใช้น้ำตาลทรายมาปรุง และระวังอย่าให้หวานมาก
4. ดับกระหายด้วยน้ำดื่ม อาจจะนำดอก มะลิหอมๆ มาลอยในน้ำดื่มก็ได้ หรือหยดด้วยน้ำยาอุทัยยิ่งดี เพราะนอกจากจะมีกลิ่น หอมชื่นใจ ในน้ำยาอุทัยที่ดื่มๆ กันนั้น ยังมีสมุนไพรไทยชื่อว่า ฝาง ที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็น แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ แก้ กระหายน้ำได้ดี
นอกจากนี้ ยังมีชะเอมเทศ และอบเชยเทศ มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ขับลมเบื้องต่ำ แก้เสมหะเป็นพิเศษ แต่งกลิ่น แก้คันระคายคอ และมีเกสรทั้งห้าที่ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน ทำให้เจริญอาหาร
5. แก้ร้อนในด้วยฟ้าทะลายโจร หรือมะแว้ง ในส่วนของฟ้าทะลายโจรมีวิธีกินง่ายๆ โดยเอาใบมาล้างให้สะอาดใส่แก้วแล้วเทน้ำ ร้อนลงไปจิบน้ำอุ่น หรือรับประทานแบบแคปซูลก็ได้จะขมน้อยกว่า แต่ถ้ามีแผลในปากร่วมด้วย ควรใช้เสลดพังพอนตัวเมีย คั้นเอาแต่น้ำ และ ใช้ทา ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : cheewajit
sithiphong:
7 อาหารแสลงหน้าร้อน กินแล้วยิ่งร้อนกาย อันตรายสุขภาพ
-http://health.kapook.com/view87225.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
อาหาร 7 อย่างต้องห้ามหน้าร้อน มาดูกันซิว่า อาหารแสลงในช่วงอากาศร้อน ๆ อย่างนี้มีอะไรบ้าง จะได้หนีห่างให้ไกล ๆ เลย
ไอร้อนและเปลวแดดที่แผดเผาในช่วงซัมเมอร์นี้ทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียได้มากกว่าปกติจริง ๆ นะคะ เราถึงได้รู้สึกหิวกระหายน้ำอยู่บ่อย ๆ ถึงได้มีคำแนะนำให้จิบน้ำเปล่าเยอะ ๆ หรือทานผลไม้ฉ่ำ ๆ จะได้ช่วยเติมน้ำเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้
อ๊ะ ! แต่นอกจากการทานอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยดับร้อนให้ร่างกายแล้ว ก็ต้องระวังอย่าเผลอไปทานอาหารที่จะมาเพิ่มความร้อนให้ร่างกายเด็ดขาด อย่างที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำอาหารแสลงร้อน 7 อย่าง ที่ต้องหนีให้ห่างในช่วงซัมเมอร์ร้อน ๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเรายิ่งร้อน เสี่ยงต่อการอักเสบและเกิดโรค มาดูกันค่ะว่ามีอาหารประเภทไหนบ้าง
1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เวลาเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบใช่ไหมคะ นี่ล่ะ เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดขยาย หากดื่มในเวลาที่อากาศรอบตัวร้อนจัด มีโอกาสที่คุณจะช็อกได้เลย
นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลเสียกับตับเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไปเพิ่มความร้อนให้ตับ ทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการล้างพิษเหล้า เลยยิ่งเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นในตัวเรา
2. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
อย่างกาแฟ หรือชา เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ทำให้เราต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นการขับน้ำออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำเราจะรู้สึกเพลียแดดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังไปกระตุ้นถึงแต่ละอณูของสมอง ทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย ใจสั่น ดังนั้น จึงควรงดดื่มกาแฟในวันที่ต้องออกไปทำงานกล้างแจ้ง หรือถ้าติดกาแฟจริง ๆ ไม่ดื่มไม่ได้ ก็ขอให้ดื่มน้ำตามเข้าไปช่วยอีกแรง
3. ขนมหวานทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ขนมไทยที่ส่วนใหญ่จะมีรสหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมเค้ก ฯลฯ ก็ทำให้ร่างกายเราร้อนขึ้นได้ เพราะเมื่อร่างกายเราเผาผลาญน้ำตาลจะสร้างความร้อนขึ้นมา และยังปล่อยขยะที่เกิดจากการเผาผลาญออกมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย
4. ของทอด ของมัน
ของทอดแสนอร่อยที่ชอบทานกันนั้นได้รับความร้อนมาจากน้ำมันที่ใช้ทอด และน้ำมันทอดนี่เองที่ทำให้ร่างกายเราร้อน และเกิดการอักเสบได้ด้วย เช่นเดียวกับของมัน ๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนม เนย วิปครีม ครีมเทียม ถือเป็นทรานส์แฟตที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดการอักเสบ และกระทบต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจได้ทีเดียว
5. อาหารรสเค็มจัด
ยิ่งกินเค็มเท่าไร ไตก็ทำงานหนักขึ้นเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วในหน้าร้อนไตของเราจะทำงานหนักขึ้นอยู่แล้ว เพื่อคอยสงวนน้ำไว้ในร่างกาย จะได้ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะและขับเหงื่อดับร้อน แต่ถ้าเรายิ่งทานของเค็ม ๆ ซ้ำเติมลงไปอีก จะยิ่งกดดันให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นต่อไปถ้าจะทานอาหาร ไม่ควรปรุงรสเค็มจากน้ำปลา ซีอิ๊ว ฯลฯ เพิ่มอีก ปริมาณที่พอดีก็คือ ไม่ควรทานน้ำปลาเกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนเกลือก็ไม่ควรทานเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน
6. ผลไม้รสหวานฉ่ำน้ำตาล
ผลไม้หวาน ๆ อย่างเช่น ทุเรียน ละมุด ขนุน ลำไย จริง ๆ ก็สามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานมากจนเกินไป เพราะในผลไม้เหล่านี้มีน้ำตาล "ฟรุกโตส" ซึ่งมีส่วนในการสร้างอนุมูลอิสระและไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะทุเรียนต้องระวังอย่าทานมากเกินไปค่ะ เพราะในเนื้อทุเรียนมี "กำมะถัน" ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สร้างความร้อนให้ร่างกายมาก ยิ่งมาผสมกับน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ดังนั้นควรทานพอประมาณเท่านั้น ไม่ใช่นั้นได้ร้อนในแน่ ๆ
7. น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสหวาน
หลายคนอาจคิดในใจว่า ยิ่งอากาศร้อนก็ต้องยิ่งดื่มน้ำหวานน้ำอัดลมจะได้สดชื่นดับกระหายคลายร้อน ซึ่ง นพ.กฤษดา ก็ยอมรับว่า เครื่องดื่มหวานจัดเย็นเจี๊ยบช่วยให้ความสดชื่นได้จริง แต่ถ้าดื่มบ่อยไปก็ยิ่งชวนให้กระหายน้ำมากขึ้นเหมือนกัน เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้มีน้ำตาล อีกทั้งดื่มมากไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินโควต้าต่อวัน และยิ่งมีกรดซ่าหรือคาร์บอนิกที่ทำให้เกิดความซาบซ่า จะไปกัดกร่อนเคลือบฟันได้
อย่างไรก็ตาม นพ.กฤษดา ก็บอกด้วยว่า อาหารทั้ง 7 อย่างนี้อาจส่งผลหรือไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกายก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นสำคัญ เพราะถ้าหากทานเยอะ ๆ ทานบ่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ป่วยไข้ในหน้าร้อนนี้ได้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=228625&catid=176&Itemid=524#.U2WfOlfPuZS-
sithiphong:
ชะอมใบอ่อนมีรสจืดกลิ่นฉุน ในทาง การแพทย์แผนไทยระบุว่าช่วยลดความร้อนของร่างกายในยอดชะอม 100 กรัมจะให้พลังงานกับสุขภาพถึง 57 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย 5.7 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม
วันเสาร์ 3 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/234546/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
ชะอมใบอ่อนมีรสจืดกลิ่นฉุน ในทาง การแพทย์แผนไทยระบุว่าช่วยลดความร้อนของร่างกายในยอดชะอม 100 กรัมจะให้พลังงานกับสุขภาพถึง 57 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย 5.7 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม วิตามินเอ และวิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.25 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 58 มิลลิกรัม
เป็นไม้ที่ออกยอดทั้งปี ชาวเหนือนิยมรับประทานหน้าแล้งเพราะหน้าฝนจะมีรสเปรี้ยวกลิ่นฉุน นิยมรับประทานร่วมกับ ส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ ชาวอีสานนิยมนำไปปรุงเป็นแกงเชน แกงปลา แกงไก่ แกงเนื้อ แกงกบ แกงเขียด ชาวใต้นิยมใช้ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักจิ้มโดยการลวกหรือนึ่งให้สุกหรือใช้ยอดอ่อนใบอ่อนเด็ดเป็นชิ้นสั้น ๆ แล้วชุบกับไข่ทอด รับประทาน ร่วมกับน้ำพริกกะปิ เป็นต้น
---------------------------------------------------------------------------
ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ออกดอกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลง ใบประดับรูปสามเหลี่ยม หลอดกลีบเลี้ยงเปิดออก มี 2-5 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน
วันศุกร์ 2 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/234334/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
จิกสวนเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินร่วน ระบายน้ำดี แสงรำไร ชอบน้ำมาก ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ออกดอกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลง ใบประดับรูปสามเหลี่ยม หลอดกลีบเลี้ยงเปิดออก มี 2-5 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกสี่กลีบ ไม่ติดกัน สีชมพูหรือขาวอมชมพูรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมขอบขนาน แผ่ออกกว้างเกสรเพศผู้ก้านยาว จำนวนมาก รวมกันเป็นพู่ผลสีเขียวถึงสีเขียวอมม่วง รูปไข่ถึงรูปรี ปลายผลแหลมทั้งสองด้าน มีกลีบเลี้ยงสองด้าน คนไทยนิยมนำยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักสด ในตำราแพทย์แผนไทยระบุว่านำดอกมาตำคั้นเอาน้ำรับประทานแก้หืด ไอ แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ตำพอกแก้ผิวหนังพุพอง ส่วนใบนำมาตำพอกแก้คันและแก้ไข้ทรพิษ บางทีใช้ใบตำรวมกับรากและเปลือกมีสรรพคุณเช่นเดียวกัน.
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version