อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (62/85) > >>

sithiphong:
ดื่มน้ำมะนาว รักษาสิว สูตรเด็ดส่งตรงจากธรรมชาติ

-http://women.kapook.com/view88384.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ดื่มน้ำมะนาว รักษาสิว (ทำได้จริงหรือ...) สำหรับคนที่มีปัญหาสิวกวนใจบนใบหน้าน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง สำหรับการนำน้ำมะนาวมาแต้มบรรเทาอาการอักเสบของสิว แต่ทว่าการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวนั้น หลายคนอาจยังสงสัยว่าทำได้จริงหรือ ? วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขออาสาไขข้อข้องใจให้เพื่อน ๆ ที่กำลังสนใจการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวมาฝากกัน ^^

           จริง ๆ แล้วการดื่มน้ำมะนาว คือ การบำรุงดูแลผิวอีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ของสาว ๆ ที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากสรรพคุณในน้ำมะนาว อุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส รวมถึงกรดผลไม้ (เอเอชเอ) วิตามินซี และวิตามินเอสูง ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส ลดปัญหาการอักเสบติดเชื้อบนผิวหนัง รวมถึงช่วยดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงทำให้การดื่มน้ำมะนาวเปรียบเสมือนการกินอาหารเสริมที่ช่วยบรรเทาอาการสิวให้ทุเลาลงและช่วยปรับสภาพผิวสวยอย่างเป็นธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน

           สำหรับการดื่มน้ำมะนาว ให้เตรียมมะนาว 1 ผลคั้นเอาแต่น้ำแล้วเทใส่แก้วน้ำตามปกติ จากนั้นจึงเติมน้ำอุ่นลงไปจนเต็มแก้ว ค่อย ๆ จิบ หรือดื่มให้หมดทุกเช้า โดยไม่ต้องเติมเกลือหรือวัตถุดิบใด ๆ ลงไปเพิ่ม ทำติดต่อกันตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเลยว่า ปัญหาสิวจะค่อย ๆ ลดน้อยลงเหลือไว้แต่ผิวสวยสุขภาพดีไม่ต้องกังวลเรื่องสิวและปัญหาผิวต่าง ๆ อีกต่อไป

           แม้ว่าการดื่มมะนาวรักษาสิว จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาสิวบนผิวหน้า แต่อย่างไรก็ดีสาว ๆ ก็ไม่ควรละเลยการดูแลผิวที่เป็นสิว ด้วยการรักษาความสะอาด การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวให้เหมาะสมกับผิวหน้าควบคู่กันไปด้วยนะคะ


sithiphong:
7 วิธีลดอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ทำตามได้ง่าย ๆ

-http://health.kapook.com/view87565.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
          ถ้ามีวิธีช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อหลังมื้ออาหารให้ทำตามง่าย ๆ ก็น่าจะดีนะคะ หลายคนที่เคยทรมานกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจะได้กินอาหารอร่อย ๆ โดยไม่ต้องกังวลกันอีกต่อไป สบายใจกับทุกมื้ออาหารไปเลย
           
          อ๊ะ ! แล้วอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจำเป็นต้องรักษา หรือบรรเทาด้วยยาอย่างเดียวจริง ๆ หรือเปล่า ? ขอบอกตรงนี้เลยว่า แค่ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารตามวิธีที่เว็บไซต์ all women stalk เขาแนะนำมา อาการท้องอืด ท้องเฟ้อที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ หลังมื้ออาหาร คงไม่มีวันได้แอ้มเราแน่ ๆ เลย
 
1. เคี้ยวอาหารช้า ๆ
           
          ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นได้ว่า คนที่มีอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ส่วนมากจะเป็นคนที่กินอาหารเร็วกว่าคนอื่น โดยที่ไม่รู้ว่าการกินอาหารเร็ว ๆ แบบไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียดก่อน จะเป็นหนึ่งในสาเหตุก่ออาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ฉะนั้นเพื่อป้องกันความทรมานหลังมื้ออาหาร ก็เปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ช้าลงสักหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคี้ยวอาหารให้ได้ 15 ครั้งเป็นอย่างต่ำ
           
          นอกจากนี้ถ้าดื่มน้ำผลไม้สดร่วมด้วย ควรอมน้ำผลไม้ไว้ในปากสักพักก่อนกลืนลงคอ เพื่อให้น้ำลายเข้าไปจัดการย่อยเอนไซม์ในน้ำผลไม้ก่อนส่งตรงสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งจะสามารถช่วยลดกระบวนการย่อยอาหาร พร้อมกันนั้นก็ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ด้วย
 
 
2. เลี่ยงรับประทานผลไม้กับเนื้อสัตว์
           
          เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ใช้เวลาย่อยนานกว่า 5 ชั่วโมง ในขณะที่ผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อเรารับประทานอาหารทั้งสองชนิดนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เนื้อสัตว์จะกลายเป็นตัวขัดขวางการย่อยผลไม้ไปในทันที และน้ำตาล+เอนไซม์ในผลไม้ก็จะออกอาละวาด ปั่นป่วนท้องเราให้เกิดอาการอืด และเฟ้อในเวลาต่อมา ดังนั้นหากอยากรับประทานผลไม้ แนะนำให้กินก่อนเนื้อสัตว์ประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างต่ำดีกว่าค่ะ

 3. เคี้ยวเมล็ดเทียนข้าวเปลือกหลังมื้ออาหาร
           
          เทียนข้าวเปลือก (Fennel Seeds) เป็นสมุนไพรที่มีรสขม สามารถช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมล็ดเทียนข้าวเปลือกยังมีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ในตัว พร้อมกันนั้นยังช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วยนะจ๊ะ
 
 
4. ผักใบเขียวอย่าให้ขาด
           
          ผักใบเขียวมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ข้อนี้หลายคนทราบกันดีอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่รู้ลึกถึงขั้นว่า เมื่อระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างดี การเผาผลาญก็จะกระเตื้องขึ้น แก๊สและลมในกระเพาะ สาเหตุของอาการท้องอืด ท้องเฟ้อก็จะหมดไป คราวนี้ปัญหาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อก็จะไม่มากวนใจแน่นอน
 
 
5. ลดปริมาณน้ำตาล
           
          น้ำตาลทุกชนิด ทุกรูปแบบ ล้วนมีส่วนทำให้ช่องท้องเราปั่นป่วน แถมยังกระตุ้นแก๊สในกระเพาะได้อย่างเร็วเลยนะคะ ถ้าไม่เชื่อลองบริโภคน้ำตาลให้น้อยลงดูก็ได้ แล้วคุณจะสังเกตได้เลยว่า อาการท้องอืด ท้องเฟ้อจะค่อย ๆ บรรเทาลง และหายไปในที่สุด


6. โป๊ยกั๊กช่วยได้
           
          โป๊ยกั๊ก (เครื่องทำพะโล้) หรือ Anise Seed ก็เป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้สบาย ๆ ส่วนวิธีกิน ถ้าใจแข็งพอจะเคี้ยวโป๊ยกั๊กหลังมื้ออาหารที่คุณจัดเต็มก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ค่อยปลื้มกับกลิ่นเครื่องพะโล้อย่างนี้ ใส่ผสมลงไปในอาหารสักอย่างเพื่อดับกลิ่นให้จางลงสักนิดก่อนรับประทานน่าจะเวิร์กกว่าเนอะ
 
 
7. ดื่มชาสมุนไพร
           
          สำหรับคนที่คิดว่าการเคี้ยวสมุนไพรสด ๆ ฮาร์ดคอร์เกินไป ลองตัวเลือกอย่างชาสมุนไพร เช่น ชาขิง, ชาเปปเปอร์มินต์ หรือชาเทียนข้าวเปลือกก็ได้นะคะ เพราะจัดว่าเป็นเคล็ดลับเด็ดในการช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อหลังมื้ออาหารได้เช่นกัน จิบชาสมุนไพรเบา ๆ หลังมื้ออาหารเที่ยง หรือมื้อเย็น แค่นี้ก็ช่วยลดความทรมานจากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้แล้วจ้า
 
 
          ใครที่เคยทรมานกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หลังที่จัดหนักกับมื้ออาหารกันมาแล้ว คงไม่อยากจะกลับไปเจอกับอาการเหล่านี้อีกแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมนำวิธีแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อที่เราแนะนำไปใช้กันด้วยนะจ๊ะ

sithiphong:
เห็ดพิษที่สำคัญของประเทศไทย



-http://ch3.sanook.com/16263/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA-



คลินิกเกษตร เห็ดพิษที่สำคัญของประเทศไทย

รายการคลินิกเกษตร รายงานว่า เห็ดมีพิษต่างๆที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่




เห็ดระโงกหินก้านลาย (Amanita Virosa)
หมวกสีขาว เรียบเป็นมันเล็กน้อย ก้านสีขาวปกคลุมด้วยเส้นในเป็นลาย มีวงแหวนเป็นเยื่อบางสีขาวหลุดง่าย โคนโป่งเป็นกระเปาะกลมและมีเปลือกหุ้มรูปถ้วยแนบติดก้าน



เห็ดระงากขาวหรือเห็ดไข่ตายซาก (Amanita verna)
หมวกสีขาวเรียบเป็นมันวาว ก้านมีวงแหวนบางสีขาว โคนก้านมีเปลือกหุ้มรูปถ้วยแนบติดก้าน



เห็ดเกล็ดดาว (Amanita pantherina)
หมวกสีน้ำตาลอมเหลือง มีสะเก็ดนูน สีขาวบนหมวก มีวงแหวนเป็นแผ่นบางโคนโป่งเป็นกระเปาะ และมีแถบเป็นวงเรียงซ้อนกันหลายชั้น



เห็ดผึ้งท้องรุ (Suillus subluteus)
หมวกสีเหลืองอมน้ำตาล ผิวชื้นเป็นเมือก ใต้หมวกมีรูสีเหลืองอมน้ำตาล ก้านมีจุดสีน้ำตาลและมีวงแหวนเป็นเยื่อเมือก เมือกมีพิษทำให้ท้องร่วง



เห็กหมวกจีน (Inocybe rimosa)
หมวกสีเหลืองอมน้ำตาล กลางหมวกเป็นปุ่มนูน ผิวหมวกเป็นเส้นในหยาบแผ่เป็นรัศมี ขอบหมวกฉีกเมื่อบาน ก้านสีขาวนวลหรือเหลืองมีขนละเอียด



เห็ดหัวกรวดครีบเขียว (Chlorophyllum molybdites)
หมวกสีขาว แห้ง มีเกล็ดสี่เหลี่ยม สีน้ำตาลอ่อนอมชมพู ครีบขาว แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวหม่นปนเทา ก้านขาวหรือน้ำตาลอ่อน มีวงแหวนหนาขอบ 2 ชั้น เคลื่อนขึ้นลงได้เมื่อดอกแก่



Entoma conspicuum
หมวกสีน้ำตาลอ่อน กลางหมวกหยักย่น ดอกอ่อน ขอบม้วนงอเข้า ครีบขาวแล้วเปลี่ยนเป็นชมพูอมน้ำตาล ก้านสีน้ำตาล แข็งกรอบและโป่งตรงกลางเล็กน้อย ผิวก้านขรุขระเป็นสันคล้ายตาข่ายห่างใหญ่



เห็ดน้ำหมาก (Russula emetica)
หมวกแดงถึงแดงชมพู เรียบ หนืดมือ กลางหมวกเป็นแอ่งเล็กน้อยครีบและก้านสีขาว มีพิษเมื่อดิบ กินได้เมื่อต้มสุก



เห็ดขี้ควาย (Psilocybe cubensis)
หมวกสีเหลืองอ่อน กลางหมวกสีน้ำตาล ครีบสีน้ำตาล ก้านทรงกระบอกมีวงแหวน สีน้ำตาลฉีกขาดง่าย ทุกส่วนเปลี่ยนเป็น สีน้ำเงิน เมื่อช้ำ

การปฐมพยาบาล
ทำให้อาเจียนโดยการรับประทานไข่ขาว แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลพร้อมนำตัวอย่างเห็ดที่รับประทานไปด้วย

ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการรับประทานเห็ดดอกตูมที่ไม่รู้จัก


คลิป ติดตามจากลิงค์ครับ 
http://ch3.sanook.com/16263/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA

.

sithiphong:
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !


-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตายขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารกสัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com


-------------------------------------------------------------------


เวลาไม่รู้ว่า จะทานอะไร ก็ กะเพราไก่ บ้าง กะเพราหมู บ้าง กะเพรากุ้ง บ้าง กะเพราปลาหมึก บ้าง

เป็นประจำ


.

sithiphong:

10 เรื่องควรรู้คู่"ทุเรียน"/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   20 พฤษภาคม 2557 08:49 น.



By Lady Manager
       
       หน้านี้ไม่มีอะไรดังไปกว่าฟ้าผ่า แผ่นดินคะนอง และแน่นอน---ทุเรียน ครับ

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       ทุเรียนเริ่มบุกรุกคืบเข้ามาขโมยซีนในยามนี้
       
       จะหมอนทอง,ชะนี หรือว่าก้านยาว ก็ล้วนแล้วแต่รสนิยมที่ต่อมลิ้นของใคร และเศรษฐกิจช่วงเปิดเทอมเป็นอย่างไร
       
       แต่ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนชนิดใดก็มีประโยชน์เปี่ยมไปด้วยวิตามินแทบทุกอณู แม้แต่เปลือกทุเรียนยังเอามาใช้ประโยชน์ได้
       
       ในทุเรียนอัดแน่นไว้ด้วยประโยชน์และรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ถึงเพียงนี้ ทุเรียนจึงเป็นดั่งผลไม้ระดับตำนานที่ถูกเรียกขานว่า “ราชาแห่งผลไม้” มานานแสนนาน ดังนั้นการกินทุเรียนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบจึงไม่ใช่แค่ความอร่อยอย่างเดียว แต่ถ้ากินได้ถูกวิธีจะเป็นผลไม้ที่ช่วยสุขภาพได้อีกชนิดหนึ่งในชีวิตด้วย
       
       ซึ่งทุเรียนมีสารอาหารหลักๆ ที่ช่วยร่างกายดังนี้ครับ
       
       - คาร์โบไฮเดรตสุขภาพ (Complex carbohydrate) มีดัชนีน้ำตาล (GI) พอสมควร
       
       - เส้นใยอาหาร (Dietary fiber) มีชนิดสำคัญที่ละลายน้ำได้ (Soluble fiber)
       
       - สารต้านอนุมูลอิสระ กลุ่มสำคัญคือ “โพลีฟีนอลส์”
       
       - วิตามิน เบต้าแคโรทีน,วิตามินบี และซี
       
       - แร่ธาตุ โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, ธาตุเหล็ก และแร่ธาตุที่ขาดไม่ได้
       
       ทั้งหมดนี้รวมกันในสัดส่วนที่พิเศษจึงทำให้ผลไม้ในตำนานชนิดนี้มีกลิ่น และรสสัมผัสที่ยากจะลืมเลือน
       พร้อมทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพที่เป็นความพิเศษเฉพาะตัวดังต่อไปนี้
       
       *ทุเรียน*
       ผลไม้เปี่ยมประโยชน์

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       1) คุมไขมันได้ เป็นงานวิจัยในสัตว์ทดลองที่พบว่าทุเรียนป้องกันการเพิ่มของไขมันในเลือด โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่รับประทานมากเกินไปด้วย โดยในทุเรียน “หมอนทอง” มีพระเอกลดไขมันชื่อ “โพลีฟีนอลส์ (Polyphenols)” แต่สำหรับท่านที่ไม่ปลื้มทุเรียนก็เลือกทานในพืชอื่นอย่างอะโวคาโดและมะม่วงได้ครับ
       
       2) ทุเรียนมีวิตามินสูง ทั้งเบต้าแคโรทีน, กลุ่มวิตามินบี,วิตามินซี และแร่ธาตุที่จำเป็นต่างร่างกาย ซึ่งหลายชนิดอยู่ในปริมาณที่น่าประทับใจ ยกตัวอย่างวิตามินซีที่เท่ากับ 1 ใน 3 ของร่างกายต้องการ (33%RDA) เพียงแค่ท่านรับประทานทุเรียนราว 1 ขีดเท่านั้น
       
       3) ทุเรียนต้านสนิมแก่ เพราะว่ามีทั้งโพลีฟีนอลส์ดังที่กล่าวไปแล้วยังมี “สารประกอบกำมะถัน (Organosulfur compound)” ที่ช่วยทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ, ต้านเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด และยังช่วยให้ผิวพรรณดี เส้นผมเงางามแข็งแรง
       
       4) ทุเรียนช่วยสมอง เป็นผลไม้อารมณ์ดีเพราะมีสารที่มีส่วนช่วยสร้างเคมีสมองที่ช่วยความรู้สึกสงบสบายใจ มีส่วนช่วยในการสร้างเคมีนิทรา (เมลาโทนิน) เพราะในทุเรียนมี “ทริปโตแฟน (Tryptophan)” เช่นเดียวกับในพืชแป้งอีกหลายชนิด โดยทริปโตแฟนเป็นวัตถุดิบในการสร้างเคมีสมอง (Serotonin) ที่ช่วยปรับอารมณ์ครับ
       
       5) ทุเรียนให้พลังงานได้ดี มีทั้งพลังงานจากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตในเนื้อแน่นๆของทุเรียนจึงทำให้อิ่มได้อย่างแรง นอกจากนั้น ยังมีแร่ธาตุที่ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้กระฉับกระเฉงดีนั่นคือ “โพแทสเซียม” ครับ เนื่องจากทุเรียนมีแคลอรีสูงจึงไม่ควรรับประทานมากเกินไปหรือร่วมกับของหวานอื่นครับ

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       6) ทุเรียนช่วยระบาย ด้วยใยอาหารที่ดีต่อลำไส้จำนวนมหาศาลในทุเรียน โดยในเนื้อทุเรียนพูอ้วนนี้มีใยอาหารชนิดที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ ซึ่งผู้ที่รับประทานทุเรียนจะมีการขับถ่ายที่ดีได้ถ้ายิ่งออกกำลังกายร่วมด้วย
       
       7) ช่วยดูแลโลหิตจาง ทุเรียนมีวิตามินบีที่สำคัญคือ “โฟเลต” ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง นอกจากนั้นยังมีแร่ธาตุที่ช่วยสนับสนุนอีกหลายแรงได้แก่ “ธาตุเหล็ก” และ “ทองแดง” ที่ช่วยให้การสร้างเม็ดเลือดสมบูรณ์แบบครับ
       
       8) มีแคลเซียมเติมกระดูก ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ โดยชนิดที่สำคัญตัวหนึ่งคือ “แคลเซียม” ครับ ซึ่งในผู้ที่มีปัญหาเรื่องฮอร์โมน หรือสาวๆ ที่ต้องการสะสมกระดูก(Bone banking) เอาไว้ให้แข็งแรงในอนาคต ทุเรียนเป็นอีกแหล่งของแคลเซียมและแร่ธาตุบำรุงกระดูกอื่นๆ จากธรรมชาติที่ดีครับ
       
       9) เบาหวานต้องระวัง ในเนื้อที่เหมือนเนยชั้นดีหวานมันอร่อยนี้มีปริมาณน้ำตาล “ฟรุกโตส” อยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้มีผลต่อ “ตับ(มันจุกตับ)” และ “โรคอ้วน” รวมถึงสุขภาพโดยรวมหากได้รับมากเกินไป โดยเฉพาะในเบาหวานจะทำให้น้ำตาลสูงถึงขั้นอันตรายได้ถ้ารับประทานเพลินเกินห้ามใจ
       
       10) ไม่ควรกินทุเรียนกับแอลกอฮอล์หรือยา มีรายงานอาการผิดปกติเมื่อกินทุเรียนร่วมกับแอลกอฮอล์ อาทิ ร้อนวูบวาบตามหน้า, สั่น, ง่วงซึม, อาเจียน และคลื่นไส้
       
       ซึ่งต่อมามีการศึกษาพบกลไกที่น่าห่วงคือ ทุเรียนไปหยุดเอนไซม์ที่ช่วยล้างพิษเหล้า (Aldehyde dehydrogenase) จนทำให้พิษเหล้าแผลงฤทธิ์ (Acetaldehyde intoxication)
       
       ส่วนเรื่องกินยานั้นไม่ควรรับประทานคู่กันเพราะอาจส่งผลต่อฤทธิ์ และการดูดซึมครับ
       
       ทุเรียนแม้จะมีหลายพันธุ์แต่ส่วนใหญ่จะมีสารอาหารสำคัญอยู่คล้ายคลึงกัน โดยแต่ละพันธุ์ก็มีความพิเศษของตัว ดังเช่นหมอนทองที่ทั้งอร่อยและป้องกันไขมันเพิ่มได้ในการทดลอง หรืออย่าง “ทุเรียนสีเลือด” ที่เนื้อมีสีแดงสวย พบไม่บ่อยในบ้านเราแต่มีในแถวภาคใต้และเพื่อนบ้านในแถบคาบสมุทรมลายู อย่างมาเลเซียหรือไกลออกไปถึงอินโดนีเซีย ซึ่งทุเรียนแดงนี้มีของดีอยู่ที่สีสวยนี้ด้วยครับ

10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       แต่ไม่ว่าท่านที่รักจะรับประทานทุเรียนชนิดใด เนื่องจากทุเรียนในพลังงานสูงแถมมีกำมะถันจึงเป็นราวภูเขาไฟลูกย่อมๆ เพราะมันให้ความร้อนกับร่างกายได้มากยิ่งเมื่อร่วมกับแอลกอฮอล์หรือของหวานอื่นๆ จึงขอย้ำไว้อีกนิดให้เลี่ยงกินคู่กับแอลกอฮอล์ หรือในผู้ที่มีความดันสูงยังคุมไม่ได้ก็ควรเลี่ยงไว้ก่อน
       
       ตอนนี้ทุเรียนเริ่มมีมากให้เห็นตามตลาดแถวบ้าน ส่วนราคาก็ต่างกันออกไป ท่านที่สนใจก็อาจไปหามาฉลองศรัทธาดูได้ครับ
       
       นับเป็นของดีแบบไทยๆ ที่อยู่ใกล้ตัว











.





นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version