ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129519 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #310 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2014, 08:40:00 am »
ไอย่ะ! กินทุเรียน 4 เม็ด เท่ากับน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

กรมอนามัยเผยว่า การกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลมถึง 2 กระป๋อง ซึ่งก็แนะผู้ป่วยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรหลีกเลี่ยง

 -http://club.sanook.com/31217/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%97/-



 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยกินทุเรียนในปริมาณ 4-6 เม็ด ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี เทียบดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง พร้อมเตือนกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรเลี่ยง เพราะมีผลต่อปริมาณน้ำตาล ย้ำห้ามกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหตุทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เสี่ยงเสียชีวิตได้

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและ แร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตหากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลางหลังกินอาหารจานหลัก ถ้าใครชอบกินทุเรียน เผลอรับประทานประมาณครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด ก็เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบแล้วพอๆ กับการกินข้าว 5 ทัพพี หรือเทียบเป็นน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังในการกินทุเรียน อาจกินได้แต่มีปริมาณน้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น การกินทุเรียนในปริมาณมากๆ หรือกินทุเรียนบ่อยครั้งจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือดของผู้ป่วยได้ ซึ่งกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวดังที่กล่าวมามักจะเป็นกลุ่มที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือด สำหรับคนธาตุไฟการกินทุเรียนทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

“ทั้งนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านกระเพาะอาหารไปใช้ได้ในทันที เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือการย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ คนปกติขาดน้ำจะปัสสาวะข้นและน้อย แต่กลุ่มที่กินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี้จะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายจะขาดน้ำ” ดร.นพ.พรเทพ กล่าว อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า การกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือรู้สึก ตัวร้อนไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากแล้วเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี การเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนคู่กับลำไย เพราะในลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและด้วยความที่มีน้ำตาลมากจึงให้พลังงานมากขึ้นด้วย เมื่อกินมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการร้อนในได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพประกอบจาก Thinkstockphotos.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #311 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2014, 08:51:04 am »
ข้อเท็จจริง “ดื่มน้ำ” ตอนไหนดีที่สุด


-http://club.sanook.com/27857/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99/-


ทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน  และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี   วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝากกันจ้า….

- ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ

- ตอนสาย ๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป

– ตอนบ่าย ๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

– ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม) – ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

----------------------------------------------------------------------------------------------------


“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

-http://club.sanook.com/31233/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5/-


ไม่ได้จั่วหัวเรื่อง “ความดันโลหิตสูง” ให้ดูน่ากลัว แต่ถ้าทุกๆคนได้อ่านบทความนี้จากกรมการแพทย์แล้ว จะต้องทำให้ทุกคนหยุดคิด แล้วก็ต้องหันมาดูแลตัวเองกันมากๆแล้วล่ะค่ะ

 

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้ 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง ระบุภัยร้ายความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมแนะลดหวาน มัน เค็ม ป้องกันโรคไต โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งค่าความดันปกติในปัจจุบันถือเอาค่าตัวบน ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท  และมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏอาการในช่วงแรก เมื่อปล่อยนานไปโดยไม่รับการรักษาแรงดันในหลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญหลายระบบในร่างกายเป็นเหตุให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต เรียกว่าเพชฌฒาตเงียบ  ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1   ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากสถิติขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกสูงถึง 1.56 พันล้านคน และข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 พบผู้ป่วย จำนวน 156,442 ราย และ ปี 2555 พบผู้ป่วย 1,009,385 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 5 เท่า

จากความรุนแรงดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “Know Your Blood Pressure” และคำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย คือ ท่านทราบระดับความดันโลหิตของท่านหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ  โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเค็ม รับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ  ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย   ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่และมีภาวะเครียด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง คือ ลดการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่หวานน้อยรวมถึงบริโภคธัญพืชแทนของว่าง ขนมกรุบรอบ ลดการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่   ที่สำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ตลอดจนวัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกค่าความดันโลหิตในช่วงของการกินยา เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันโรค

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก Thinkstockphoto.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #312 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2014, 10:23:08 pm »
ไอย่ะ! กินทุเรียน 4 เม็ด เท่ากับน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

กรมอนามัยเผยว่า การกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลมถึง 2 กระป๋อง ซึ่งก็แนะผู้ป่วยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรหลีกเลี่ยง

 -http://club.sanook.com/31217/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%97/-



 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยกินทุเรียนในปริมาณ 4-6 เม็ด ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี เทียบดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง พร้อมเตือนกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรเลี่ยง เพราะมีผลต่อปริมาณน้ำตาล ย้ำห้ามกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหตุทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เสี่ยงเสียชีวิตได้

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและ แร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตหากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลางหลังกินอาหารจานหลัก ถ้าใครชอบกินทุเรียน เผลอรับประทานประมาณครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด ก็เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบแล้วพอๆ กับการกินข้าว 5 ทัพพี หรือเทียบเป็นน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังในการกินทุเรียน อาจกินได้แต่มีปริมาณน้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น การกินทุเรียนในปริมาณมากๆ หรือกินทุเรียนบ่อยครั้งจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือดของผู้ป่วยได้ ซึ่งกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวดังที่กล่าวมามักจะเป็นกลุ่มที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือด สำหรับคนธาตุไฟการกินทุเรียนทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

“ทั้งนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านกระเพาะอาหารไปใช้ได้ในทันที เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือการย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ คนปกติขาดน้ำจะปัสสาวะข้นและน้อย แต่กลุ่มที่กินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี้จะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายจะขาดน้ำ” ดร.นพ.พรเทพ กล่าว อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า การกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือรู้สึก ตัวร้อนไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากแล้วเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี การเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนคู่กับลำไย เพราะในลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและด้วยความที่มีน้ำตาลมากจึงให้พลังงานมากขึ้นด้วย เมื่อกินมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการร้อนในได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพประกอบจาก Thinkstockphotos.com


ทำไม ห้ามดื่มเหล้าแกล้มทุเรียน ???

-http://campus.sanook.com/1371313/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1-%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/-



นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและแร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต หากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลาง หลังกินอาหารจานหลัก






"ถ้ากินทุเรียนครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งพอๆ กับกินข้าว 5 ทัพพี หรือน้ำอัดลม 2 กระป๋อง ดังนั้น คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ และความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังการกินทุเรียน อาจกินได้ แต่ให้กินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เพราะทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง" นพ. พรเทพ กล่าวและว่า ส่วนคนธาตุไฟการกินทุเรียนแล้วทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือ การย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ โดยจะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายขาดน้ำ ที่สำคัญกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้รู้สึกตัวร้อน ไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากจนเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #313 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2014, 10:24:17 pm »
ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง

-http://guru.sanook.com/27189/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87...%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%87/-


หากพูดถึงขอบขนมปัง เชื่อแน่ว่าคุณผู้อ่าน ๆ หลาย ๆ ท่าน คงชอบตัด หรือเลือกรับประทานขนมปังที่ไม่มีขอบมากกว่า

หลายท่านที่เป็นเช่นนี้ หากไปถามว่าทำไมต้องตัดหรือดึงขอบออกก่อนด้วย ก็มักจะได้คำตอบว่า ขอบขนมปังหรือบริเวณที่ถูกอบจนเป็นสีน้ำตาลเข้มนั้น เป็นส่วนที่ไม่มีรสชาติ ฝืดคอ เหนียว เคี้ยวยากและอีกสารพัดเหตุผล แฮ่ ๆ .. แต่ทราบมั้ยว่าขอบขนมปังที่เราทิ้งไป หรือเก็บไว้ไปโยนให้ปลาในเขาดินกินนั้น เป็นส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าที่เราคาดคิด

ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ประเทศเยอรมนี พบว่าขอบขนมปังที่บางคนเมินนั้น เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่น ๆ ของขนมปัง จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีงานวิจัยที่สรุปผลออกมาว่า ขนมปังเป็นแหล่งของส่วนประกอบบางตัวที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง แต่งานชิ้นเก่า ๆ จะให้เครดิตไปที่กากใยอาหารหรือไฟเบอร์ซะมากกว่า ส่วนงานวิจัยของ ดร.โทมัส นี้ได้ระบุถึงสารต้านมะเร็งตัวใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครคาดถึงมาก่อน

หัวหน้าทีมวิจัยได้ตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า โพรนิลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนเป็นขนมปังสีขาวถึง 8 เท่า ส่วนแป้งธรรมดานั้นกลับไม่มีเอาเสียเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปัง ได้ผ่านกระบวนการอบมาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น

สารโพรนิลไลซีนนี้เกิดขึ้นมาจาก ปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาลในขั้นตอนการอบ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า ปฏิกิริยามิลลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาล บนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว นอกจากนั้น กระบวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสาร ให้กลิ่นรสชาติให้กับขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ อีกด้วย กระบวนการนี้สามารถเกิดได้ ทั้งในขนมปังที่ใช้ยีสต์และไม่ใช้ยีสต์ งานวิจัยยังบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้มเช่น ขนมปังโฮลวีท จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น หากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็ก ๆ นั้นจะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ หรือเป็นปอนด์ แต่ ดร.โทมัสแกก็เตือนเอาไว้ว่า ถ้าหากพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก women.thaiza.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #314 เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2014, 02:17:39 am »
วิธีทำไข่เค็ม กินเองง่าย ๆ ที่บ้าน ด้วยสูตรดองเกลือ

-http://cooking.kapook.com/view87786.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ไข่เค็ม เป็นอาหารที่เกิดขึ้นมาจากภูมิปัญญาชาวบ้านในการถนอมอาหารของคนไทย เพื่อที่จะเก็บไข่เป็ดไว้กินได้นาน ๆ เลยจับไปดองกับน้ำเกลือ หรือสูตรอื่น ๆ ตามแต่ละพื้นที่ จนกลายมาเป็นไข่เค็มสุดอร่อย และถือเป็นอาหารที่หลาย ๆ บ้านมักจะมีติดเอาไว้ จะทำไข่เค็มต้ม ไข่เค็มดาว หรือจะยำแซบ ๆ กินกับข้าวต้มก็อร่อย แต่คงจะดีถ้าเรามาทำไข่เค็มกินเองได้

         ถึงแม้ว่าไข่เค็มจะสามารถหาซื้อมารับประทานได้ง่าย ๆ แต่หากวันหนึ่งวันใดคุณเกิดได้รับไข่เป็ดสด ๆ จากฟาร์มจำนวนมากมาเป็นของฝาก แล้วไม่รู้จะนำไปทำเป็นเมนูอะไรได้อีก นอกจากต้ม เจียว ตุ๋น ทอด หรือคุณอยากจะวัดฝีมือความเป็นพ่อบ้านแม่บ้านด้วยการทำไข่เค็มกินเองล่ะก็ วันนี้เราก็มีวิธีทำไข่เค็มเองแบบง่าย ๆ มาฝาก เป็นสูตรไข่เค็มดองในน้ำเกลือ แค่เพียง 1-2 อาทิตย์ ก็ได้ไข่เค็มฝีมือตัวเองไว้กินแล้ว ถ้าอยากรู้แล้วว่า ไข่เค็มทำเองนี้จะมีวิธีการอย่างไร มาดูกันเลยจ้า


สิ่งที่ต้องเตรียม

           ไข่เป็ดดิบ 10 ฟอง

           ภาชนะสำหรับดองไข่ (ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับเกลือ เช่น โหลแก้ว แก้วพลาสติก กะละมัง เครื่องเคลือบดินเผา)

           เกลือ 1 ถ้วย

           น้ำสำหรับต้มน้ำเกลือ 4 ถ้วย (หรือ 1 ลิตร)


วิธีทำ

         1. ล้างไข่เป็ดให้สะอาด สะเด็ดน้ำจนแห้งสนิท ใส่ลงในโหลแก้ว เตรียมไว้

         2. ทำน้ำเกลือสำหรับดองไข่ โดยใส่เกลือกับน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด และคนให้เกลือละลายจนหมด ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท

         3. เทน้ำเกลือที่เย็นแล้วลงในโหลไข่จนท่วมไข่ จากนั้นใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำวางทับลงไปให้ไข่เป็ดจมอยู่ใต้น้ำ ตลอดเวลา ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในที่ร่ม นานประมาณ 2-3 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ดาว เก็บไว้นานประมาณ 2 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ต้ม เก็บไว้นานประมาณ 3 อาทิตย์


  ทำอย่างไรให้ไข่แดงเค็มเป็นน้ำมัน ?

           หลายคนชอบกินไข่เค็มที่มีไข่แดงเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ ออกมา เพราะทั้งมัน ทั้งอร่อย เทคนิคก็คือ หลังจากที่พักน้ำเกลือจนเย็นสนิทแล้ว ให้เติมเหล้าขาวลงไปในน้ำเกลือด้วยเล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน แล้วเทใส่ลงในโหล จะทำให้ไข่แดงเค็มที่ได้ก็จะเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ น่ากินนั่นเองค่ะ


  วิธีต้มไข่เค็มให้อร่อย

           การที่จะต้มไข่เค็มให้อร่อยนั้น มีเคล็ดลับอยู่ที่ "สารส้ม" ทำได้โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สารส้ม 1 ก้อน หรือสารส้มป่นประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยไข่ไก่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด นานประมาณ 8-10 นาที ก็จะได้ไข่เค็มต้มสุดอร่อยไว้กินแล้ว


  วิธีเก็บไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุด

           ไข่เค็มที่นำไปต้มแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานประมาณ 1 เดือน ส่วนวิธีการเก็บรักษาไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุดคือ ให้ใส่สารส้มลงไปแกว่งในน้ำที่ใช้ต้มไข่ด้วย นอกจากจะยืดอายุไข่เค็มได้แล้ว สารส้มจะทำให้สีของเปลือกไข่ และเนื้อไข่ขาวสวยขึ้นอีกด้วย
 
           ไม่กี่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็ได้ไข่เค็มฝีมือตัวเองเก็บไว้กินแล้ว แถมพ่วงเคล็ดลับการต้มไข่เค็ม และเก็บรักษาไข่เค็มมาด้วย ลองนำไปทำกันดูนะคะ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #315 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2014, 09:10:48 am »
ย่างอย่างไร ไกลมะเร็ง…

-http://club.sanook.com/29893/%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-



รู้ดีว่า เถ้าสีดำที่เกาะอยู่บนอาหารที่มาจากการย่างก่ออันตรายมหาศาล ถึงขั้นป่วยโรคมะเร็งกันเลย
ถึงอย่างนั้น ก็ยังอยากลิ้มลองอาหารย่างอยู่บ้าง สักครั้งสองครั้งต่อเดือนก็ยังดี





ด้วยความเป็นห่วง ชีวจิตปักษ์นี้จึงนำคำแนะนำวิธีการย่างจากสถาบันวิจัยโรคมะเร็งอเมริกันหรือ American Institute for Cancer Research (AICR) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง สามารถดำรงภาวะที่ดีของสุขภาพค่ะ

Preparation

    เตรียมน้ำหมักสุขภาพที่มีมะนาวหรือไวน์ และสมุนไพรอย่างพริกไทยเป็นเครื่องปรุง ความจริง น้ำหมักสุขภาพนี้อาจมีส่วนผสมหลากหลายแบบตามความชอบ แต่ถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพมากๆ ควรใช้ซอสถั่วเหลืองเป็นส่วนผสมหลัก โดยเพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้ง
    เนื้อสัตว์ที่นำมาย่าง ควรเป็นปลา อาหารทะเลอื่นๆ เห็ด และเต้าหู้เท่านั้น

Grilling

    พยายามตัดเล็มส่วนที่เป็นไขมันออกจากเนื้อสัตว์ก่อนวางบนเตา
    ใช้ไฟต่ำ
    วางเนื้อสัตว์ลงตรงกลางเตา เพื่อให้สุกง่ายและทั่วถึง

Serving

    เสิร์ฟพร้อมผักต่างๆ ทุกครั้ง ผักที่ใช้ควรมีทั้งสุกและสด ไม่ว่าจะเป็นกระหล่ำสีต่างๆ แตงกวา มะเขือเทศ แครอท และอื่นๆ โดยเป็นผักที่แน่ใจว่าปลอดภัยจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง

ลองเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการย่างให้เป็นไปตามที่แนะนำ นอกจากสร้างนิสัยรักสุขภาพแล้ว ยังช่วยให้สมาชิกในครอบครัวปลอดภัยจากโรคร้ายได้ด้วยค่ะ

 

ที่มา : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 357




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #316 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2014, 10:10:33 am »
สุดยอดอาหารช่วยให้ผอมเร็วขึ้น แถมยังช่วยล้างพิษด้วย



-http://guru.sanook.com/27090/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2/-


อาหารที่ช่วยทำให้เราผอมเร็วขึ้น ก็คืออาหารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเผาพลาญพลังงานในร่างกายให้ได้มากขึ้น อาหารที่เรากินเข้าไป เมื่อถูกเผาพลาญออกมาเป็นพลังงาน ก็จะได้ไม่ต้องเป็นส่วนเกิน ไปเก็บกักตุนอยู่ในร่างกายของเรา เป็นเหตุให้เกิดไขมันส่วนเกิน หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าไขมันที่ทำให้เราดูอ้วนนั่นเอง เพราะฉะนั้น ใครที่อยากผอม ก็ควรจะเลือกกินอาหารเหล่านี้ด้วย แถมยังมีคุณสมบัติ ช่วยล้างพิษอีกต่างหาก

มะนาว
เปลือกมะนาว มีคุณสมบัติ ด้วยในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สิ่งที่ควรทำก็คือ การฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ แล้วใส่ลงในแก้วน้ำดื่ม เพียงเท่านี้ ก็ช่วยได้แล้วค่ะ

หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่ มีรสเผ็ด และยังมีวิตามินบี1 ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย แล้วก็ช่วยในการขับสารพิษออกมาจากร่างกายด้วย

ขิง
ขิงก็เป็นพืชอีกอย่างที่มีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับเหงื่อ ปรับอุณหถูมิในร่างกาย ให้เกิดการสมดุล เนื่องจากความร้อนของขิง ทำให้ช่วยร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ แล้วก็ยังช่วยแก้ภาวะตัวเย็น ลองดื่มน้ำขิงร้อนๆ เป็นประจำสิคะ

มะเขือเทศ
มะเขือเทศเป็นผักที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง รวมถึงมีไฟเบอร์สูงอีกด้วย การทานมะเขือเทศ ทำให้รู้สึกว่าอิ่มเร็วกว่าปกติ ทำให้ลดความอยากอาหาร และเมื่อเราทานน้อยลง ก็จะไม่อ้วนยังไงล่ะ

กระเทียม
กระเทียมก็เป็นอีกอย่าง ที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญดีขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาล และไขมัน แล้วก็มีคุณสมบัติช่วยขับสารพิษด้วย

มะเขือม่วง
มะขือม่วงมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง ดูดซับไขมัน และของเสียต่างๆ ในกระแสเลือด ปรับสมดุลต่างๆ ภายในร่างกายของเรา แก้อาการท้องผูก และช่วยป้องกันไม่ให้คอเรสเตอรอลสูงด้วย

งา
งา มีแร่ธาตุต่างๆ มาก โดยเฉพาะแร่ธาตุ และพวกวิตามิน ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และสามารถช่วยลดน้ำหนักได้

เห็ด
เห็กเป็นพืชที่มีไฟเบอร์ หรือว่าเส้นใยสูง สามารถช่วยให้ระบบขับถ่ายดี สามารถช่วยล้างพิษในร่างกาย แล้วก็เสริมสร้างระบบคุ้มกันโรค ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว และอยู่ท้อง ไม่ต้องทานอาหารมากก็อิ่มได้

ส้ม
ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และมีรสชาติที่อร่อย ถูกปากคนไทย การกินส้มด้วยการเคี้ยวทั้งกากไปด้วย ทำให้ดีต่อระบบขับถ่าย เปลือกส้มนั้น ก็มีสรรพคุณ ในการย่อยไขมัน ถ้านำเปลือกส้มมาต้มชาดื่ม จะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ค่ะ

พริก
มีสรรพคุณในการเผาผลาญไขมัน เพราะมีรสเผ็ดร้อน ขับเหงื่อ และทำให้น้ำหนักลดลงได้

ถั่วแดง
เป็นอาหารอีกชนิด ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนัก เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ลดการบวมน้ำ กระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาล แก้ท้องผูก ช่วยล้างพิษในร่างกาย

พริกหวาน
อุดมไปด้วยวิตามินบี และวิตามินซี ถ้ากินมากๆ จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือด

ข้อมูลจาก : -http://www.lady108.com/-



http://guru.sanook.com/27090/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2/


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #317 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2014, 10:57:12 am »
ระกำ

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/240895/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B9%8D%E0%B8%B2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ที่เปลือกผลจะมีหนามแข็งเล็ก ๆ ในหนึ่งผลจะมีอยู่ด้วยกัน 2-3 กลีบ ผลดิบจะมีรสฝาดและเปรี้ยว ส่วนผลสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน เนื้ออ่อนและน้อย ฉ่ำน้ำมีกลิ่นหอม
วันพฤหัสบดี 29 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

ระกําเป็นพืชในตระกูลปาล์มจัดอยู่ในสกุลเดียวกับสละ เป็นต้นหรือเหง้าเตี้ย มียอดแตกเป็นกอ ออกผลรวมกันเป็นกระจุกแบบทะลาย โดยหนึ่งทะลายจะประมาณ 2-5 กระปุก ลำต้นจะมีหนามแหลมยาวประมาณ 1 นิ้ว ใบมีลักษณะยาวเป็นทางประมาณ 2-3 เมตร ที่เปลือกผลจะมีหนามแข็งเล็ก ๆ ในหนึ่งผลจะมีอยู่ด้วยกัน 2-3 กลีบ ผลดิบจะมีรสฝาดและเปรี้ยว ส่วนผลสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน เนื้ออ่อนและน้อย ฉ่ำน้ำมีกลิ่นหอม ลักษณะโดยรวมคล้ายกับสละ แต่ผลจะป้อมกว่า เมล็ดใหญ่กว่า เนื้อออกสีเหลืองอมส้ม เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก มีสรรพคุณในการช่วยป้องกันอาการเป็นหวัด แก้กระหายน้ำ และช่วยในการย่อยอาหารทำให้เจริญอาหาร.



------------------------------------------------------------

ปลีกล้วยป่า

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/241278/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


กล้วยป่าเกิดตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าเขา คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำต้นกล้วยป่ามาทำอาหารทั้งแกงและต้มเป็นผักเคียงนํ้าพริก หัวปลี ใช้ทำอาหารเป็นผักสดประกอบแกงหรือต้มยำ
วันเสาร์ 31 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

กล้วยป่าเกิดตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าเขา คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำต้นกล้วยป่ามาทำอาหารทั้งแกงและต้มเป็นผักเคียงนํ้าพริก หัวปลี ใช้ทำอาหารเป็นผักสดประกอบแกงหรือต้มยำ ชาวอินเดียเมื่อครั้งอดีตนำดอกกล้วยซึ่งอยู่ในหัวปลีมาต้มเอานํ้ามากินแก้เบาหวาน  โดยใช้ดอกกล้วย 1 กำมือ ล้างนํ้าให้สะอาด ต้มกับนํ้า 3 แก้ว เดือดนาน 20 นาที กินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ส่วนในประเทศจีนจะใช้ดอกกล้วยแห้งบดผงผสมนํ้า เติมเกลือเล็กน้อย กินรักษาโรคหัวใจ กินครั้งละ 1-2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #318 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2014, 12:08:48 pm »
7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

-http://guru.sanook.com/9364/7-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-



7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายแม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ที่มาข้อมูล -bloggang.com-

-----------------------------------------------------------------------------------------------


หมอชี้น้ำดื่มขวดพลาสติกเก็บในรถนานๆไม่ก่อสารพิษ ทดลองแล้ว อย่าหลงเชื่อโลกออนไลน์

-http://campus.sanook.com/1371359/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%86%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5/-



วันที่ 2 มิถุนายน นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์เตือนให้หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกที่เก็บในหลังรถยนต์และจอดกลางแดดโดยมีโอกาสได้รับสารไดออกซินที่แพร่ออกมาจากขวดน้ำพลาสติกเนื่องจากอากาศร้อนจัดอาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งอื่นๆ ได้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นกลัวถึงอันตรายจากการดื่มน้ำบรรจุ ขวดพลาสติก


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ซึ่งมีภารกิจ ในการวิเคราะห์ วิจัยทางด้านไดออกซิน น้ำดื่ม และวัสดุสัมผัสอาหาร ชี้แจงข้อมูลดังกล่าวเพื่อให้ความรู้ผู้บริโภคดังนี้ สารไดออกซิน (Dioxins) เป็นชื่อกลุ่มสารที่มีโครงสร้างและสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกัน ประกอบด้วย สารกลุ่มโพลี คลอริเนตเตท ไดเบนโซพารา ไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-para-dioxins: PCDDs) สารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตท ไดเบนโซ ฟูแรน (Polychlorinated dibenzo furans: PCDFs) และสารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตทไบฟีนิล ที่มีสมบัติคล้ายสารไดออกซิน (Dioxins-like polychlorinated biphenyls: DL-PCBs) ซึ่งกลุ่มสารไดออกซินที่ก่อให้เกิดพิษมี 29 ตัว และสารแต่ละตัวจะมีค่าความเป็นพิษแตกต่างกัน

นพ.อภิชัย กล่าวว่ากระแสข่าวเรื่องไดออกซินละลายออกมาจากขวดบรรจุน้ำดื่มเมื่อวางไว้ในที่ร้อนๆ เช่น หลังรถยนต์นั้น เป็นเหมือนเรื่องเล่าต่อๆ กันมาโดยปราศจากแหล่งข้อมูลที่แน่ชัด ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่เคยมีรายงานการตรวจพบไดออกซินในพลาสติก และสารเคมีต่างๆ ที่มีการกล่าวอ้างว่าละลายออกมาจากขวดพลาสติกทั้งในสภาวะอุณหภูมิสูงหรือสภาวะการแช่แข็ง ซึ่งไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าเกิดขึ้นได้

ความจริงคือขวดพลาสติกขนาดเล็ก ปัจจุบันมีอยู่2ชนิดคือขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติกชนิด PE (พอลิเอทิลีน) และขวดใสไม่มีสีทำจากพลาสติกชนิด PET (พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต)ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่าขวดแบบขาวขุ่น

สำหรับขวดบรรจุน้ำชนิดเติมซึ่งมีการบรรจุซ้ำจะเป็นขวดความจุประมาณ 20ลิตรมี3 ชนิด คือขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติก ชนิด PP (พอลิพรอพิลีน) ขวดใส สีฟ้าอ่อน หรือสีเขียวอ่อน ทำจากพลาสติกชนิด PC (พอลิคาร์บอเนต) และขวดพลาสติกชนิด PET พลาสติกเหล่านี้ไม่มีสารคลอรีน เป็นองค์ประกอบที่จะเป็นต้นกำเนิดของไดออกซิน หรือถึงแม้ว่าพลาสติกชนิดอื่น เช่น พอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ แต่อุณหภูมิของน้ำในขวดไม่ได้สูงมากพอที่จะท้าให้เกิดสารไดออกซินขึ้นมาได้ อีกทั้งไม่นิยมใช้เพื่อบรรจุน้ำบริโภค

"เพื่อความชัดเจน ห้องปฏิบัติการไดออกซิน สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ได้ทำการทดลองโดยซื้อตัวอย่างน้ำดื่มที่บรรจุในขวดพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต พอลิพรอพิลีน พอลิคาร์บอเนต และพอลิไวนิลคลอไรด์ที่จำหน่ายในตลาดสดและซุปเปอร์มาเก็ต จำนวน 18 ยี่ห้อ และนำไปวางในรถที่จอดกลางแดดเป็นเวลา 1 วัน และ 7 วัน จากนั้นตรวจวิเคราะห์สารประกอบกลุ่มไดออกซิน 17 ตัว และพีซีบี 18 ตัว

โดยใช้เทคนิคขั้นสูง Isotope Dilution และวัดปริมาณด้วยเครื่องมือ High Resolution Gas Chromatography/High Resolution Mass Spectrometry ผลการวิเคราะห์สรุปว่า ตรวจไม่พบ สารประกอบกลุ่มไดออกซินและพีซีบีในทุกตัวอย่าง ดังนั้น จึงอยากเตือนผู้บริโภคควรพิจารณาแหล่งของข่าวสารต่างๆ ที่ได้รับจากสื่อสังคมออนไลน์และตรวจสอบที่มาด้วยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว

อนึ่ง สารไดออกซินเป็นผลผลิตทางเคมีที่เกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ แหล่งกำเนิดสำคัญของสารกลุ่มนี้คือกระบวนการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ อุตสาหกรรมผลิตยาฆ่าแมลง เป็นต้น หรือกระบวนการเผาไหม้อุณหภูมิสูงทุกชนิด เช่น เตาเผาขยะทั่วไป เตาเผาขยะจากโรงพยาบาล เตาเผาศพ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง และการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น การสร้างกลุ่มสาร ไดออกซินจากการเผาไหม้จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิประมาณ 200-550 องศาเซลเซียส และจะเริ่มถูกทำลายเมื่ออุณหภูมิ 850 องศาเซลเซียสขึ้นไป ทำให้มีการปลดปล่อยและสะสมสารกลุ่มนี้ในสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ดิน หรือน้ำ ซึ่งสามารถปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #319 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2014, 10:16:28 am »
หมากเม่า ผลไม้พื้นบ้าน ขจัดสารพิษ ต้านมะเร็ง

-http://health.kapook.com/view90125.html-











หมากเม่า (หมอชาวบ้าน)
โดย สุภาภรณ์ เลขวัต, อุบลวรรณา ศรีมงคลลักษณ์ ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

          หมากเม่า หรือ มะเม่า ผลไม้พื้นบ้านที่ให้ประโยชน์ได้หลายส่วน เป็นอีกหนึ่งตำรับยาไทยที่คนไทยควรรู้จัก

          ชื่อวิทยาศาสตร์ : Antidesma thwaitesianum Muell.Arg

          ชื่อวงศ์ : Euphorbiaceae

          ชื่อท้องถิ่น : มะเม่า ต้นเม่า (ภาคกลาง) หมากเม่า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) หมากเม้า บ่าเหม้า (ภาคเหนือ) เม่า หมากเม่าหลวง (พิษณุโลก) มัดเซ (ระนอง) เม่าเสี้ยน (ลำปาง) เป็นต้น


หมากเม่า มะเม่า



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (กรมส่งเสริมการเกษตร, 2550)

          ลำต้น : หมากเม่าเป็นไม้พุ่มต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร เป็นไม้พื้นเมืองเนื้อแข็ง แตกกิ่งก้านเป็นจำนวนมาก กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มทรงกลม

          ใบ : เป็นใบเดี่ยว สีเขียวสด ปลายและโคนมนกลมถึงหยักเว้า ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบมันทั้ง 2 ด้าน แผ่นใบกว้าง 3.5-4.5 ซม. ยาว 5-7 ซม. แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ มักออกใบหนาแน่นเป็นร่มเงาได้อย่างดี

          ดอก : ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด คล้ายช่อพริกไทย จะออกตามซอกใบใกล้ยอดและปลายกิ่ง แยกเพศกันอยู่คนละต้น ยาว 1-2 ซม. ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอมเหลือง มักจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน

          ผล : ผลหมากเม่ามีขนาดเล็กเป็นพวง ภายใน 1 ผลประกอบด้วย 1 เมล็ด ผลดิบสีเขียวอ่อนหรือเขียวเข้ม มีรสเปรี้ยว พอสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและม่วงดำในที่สุด ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยวปนฝาดเล็กน้อย

          ระยะเวลาออกดอกและติดผล : ออกดอกและติดผลช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ผลสุกช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน


แหล่งเพาะปลูก

          หมากเม่าพบได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทยมักพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และตามหัวไร่ปลายนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบได้มากที่เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร นิยมขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง




คุณประโยชน์

          ผลมะเม่าสุกมีปริมาณสารอาหาร วิตามิน กรดอินทรีย์ และกรดอะมิโนที่จำเป็นหลายชนิด และเมื่อนำผลมะเม่าสุกมาทำการวิเคราะห์ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกสารแอนโทไซยานินและสารกลุ่มโพลีฟีนอล พบว่า น้ำมะเม่า 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานิน 299.9 มิลลิกรัม และสารโพลีฟีนอล 566 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ชะลอความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตันในสมอง และช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่ายอีกด้วย

          การวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) พบว่าคุณค่าทางด้านโภชนาการของน้ำคั้นจากผลมะเม่า 100 กรัม ประกอบด้วย


สารอาหาร
    ปริมาณ
 ไขมัน
    0.77 กรัม
 โปรตีน
    0.19 กรัม
 ความชื้น     92.7 กรัม
 คาร์โบไฮเดรต         
    5.99 กรัม
 เส้นใย     0.02 กรัม
 วิตามินบี 1     0.221 มิลลิกรัม
 วิตามินบี 2     0.113 มิลลิกรัม
 วิตามินอี     0.13 มิลลิกรัม
 แคลเซียม     126.35 มิลลิกรัม
 เหล็ก     0.70 มิลลิกรัม



          กากมะเม่าหลังจากการคั้นน้ำยังคงอุดมด้วยสารที่มีประโยชน์ ได้แก่ สารประกอบฟีนอลิก ฟลาโวนอยด์ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นต้น

          นอกจากนี้ ยังพบว่ามะเม่ามีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ต้านเชื้อเอชไอวี (กัมมาล และคณะ, 2546)


หมากเม่า มะเม่า


ตำรายาไทย

          ใบและผล : ต้มน้ำอาบ แก้อาการซีดเหลือง โลหิตจาง

          ใบ : ทาแก้ปวดศีรษะ แก้โรคผิวหนัง ใบสดนำมาอังไฟประคบแก้อาการฟกช้ำดำเขียว

          ผล : ทำยาพอก แก้ปวดศีรษะ แก้ช่องท้อง บวม ใช้ผสมน้ำอาบแก้อาการไข้

          ต้นและราก : แก้กษัย บำรุงไต ขับปัสสาวะ แก้ตกขาว แก้ปวดเมื่อย

          * ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร, 2550 ; วุฒิ วุฒิธรรมเวช, 2540 อ้างอิงโดย สำนักหอสมุดและสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2550


น้ำมะเม่าพร้อมดื่ม

     ส่วนผสม

          น้ำมะเม่า 2 ถ้วยตวง
          น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
          น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
          เกลือป่นเล็กน้อย

     ขั้นตอนการทำ

          1. นำมะเม่ามาล้างทำความสะอาด คั้นนาและกรองแยกกาก
          2. นำส่วนผสมมาผสมให้เข้ากัน ปรับแต่งรสชาติตามชอบ แช่เย็นก่อนดึ่ม


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)