อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (63/85) > >>

sithiphong:
ไอย่ะ! กินทุเรียน 4 เม็ด เท่ากับน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

กรมอนามัยเผยว่า การกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลมถึง 2 กระป๋อง ซึ่งก็แนะผู้ป่วยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรหลีกเลี่ยง

 -http://club.sanook.com/31217/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%97/-



 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยกินทุเรียนในปริมาณ 4-6 เม็ด ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี เทียบดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง พร้อมเตือนกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรเลี่ยง เพราะมีผลต่อปริมาณน้ำตาล ย้ำห้ามกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหตุทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เสี่ยงเสียชีวิตได้

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและ แร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตหากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลางหลังกินอาหารจานหลัก ถ้าใครชอบกินทุเรียน เผลอรับประทานประมาณครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด ก็เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบแล้วพอๆ กับการกินข้าว 5 ทัพพี หรือเทียบเป็นน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังในการกินทุเรียน อาจกินได้แต่มีปริมาณน้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น การกินทุเรียนในปริมาณมากๆ หรือกินทุเรียนบ่อยครั้งจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือดของผู้ป่วยได้ ซึ่งกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวดังที่กล่าวมามักจะเป็นกลุ่มที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือด สำหรับคนธาตุไฟการกินทุเรียนทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

“ทั้งนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านกระเพาะอาหารไปใช้ได้ในทันที เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือการย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ คนปกติขาดน้ำจะปัสสาวะข้นและน้อย แต่กลุ่มที่กินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี้จะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายจะขาดน้ำ” ดร.นพ.พรเทพ กล่าว อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า การกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือรู้สึก ตัวร้อนไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากแล้วเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี การเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนคู่กับลำไย เพราะในลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและด้วยความที่มีน้ำตาลมากจึงให้พลังงานมากขึ้นด้วย เมื่อกินมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการร้อนในได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพประกอบจาก Thinkstockphotos.com

sithiphong:
ข้อเท็จจริง “ดื่มน้ำ” ตอนไหนดีที่สุด


-http://club.sanook.com/27857/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99/-


ทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน  และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี   วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝากกันจ้า….

- ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ

- ตอนสาย ๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป

– ตอนบ่าย ๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

– ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม) – ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

----------------------------------------------------------------------------------------------------


“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

-http://club.sanook.com/31233/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5/-


ไม่ได้จั่วหัวเรื่อง “ความดันโลหิตสูง” ให้ดูน่ากลัว แต่ถ้าทุกๆคนได้อ่านบทความนี้จากกรมการแพทย์แล้ว จะต้องทำให้ทุกคนหยุดคิด แล้วก็ต้องหันมาดูแลตัวเองกันมากๆแล้วล่ะค่ะ

 

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้ 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง ระบุภัยร้ายความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมแนะลดหวาน มัน เค็ม ป้องกันโรคไต โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งค่าความดันปกติในปัจจุบันถือเอาค่าตัวบน ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท  และมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏอาการในช่วงแรก เมื่อปล่อยนานไปโดยไม่รับการรักษาแรงดันในหลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญหลายระบบในร่างกายเป็นเหตุให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต เรียกว่าเพชฌฒาตเงียบ  ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1   ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากสถิติขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกสูงถึง 1.56 พันล้านคน และข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 พบผู้ป่วย จำนวน 156,442 ราย และ ปี 2555 พบผู้ป่วย 1,009,385 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 5 เท่า

จากความรุนแรงดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “Know Your Blood Pressure” และคำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย คือ ท่านทราบระดับความดันโลหิตของท่านหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ  โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเค็ม รับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ  ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย   ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่และมีภาวะเครียด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง คือ ลดการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่หวานน้อยรวมถึงบริโภคธัญพืชแทนของว่าง ขนมกรุบรอบ ลดการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่   ที่สำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ตลอดจนวัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกค่าความดันโลหิตในช่วงของการกินยา เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันโรค

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก Thinkstockphoto.com

sithiphong:

--- อ้างจาก: sithiphong ที่ พฤษภาคม 24, 2014, 08:40:00 am ---ไอย่ะ! กินทุเรียน 4 เม็ด เท่ากับน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

กรมอนามัยเผยว่า การกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลมถึง 2 กระป๋อง ซึ่งก็แนะผู้ป่วยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรหลีกเลี่ยง

 -http://club.sanook.com/31217/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%97/-



 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยกินทุเรียนในปริมาณ 4-6 เม็ด ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี เทียบดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง พร้อมเตือนกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรเลี่ยง เพราะมีผลต่อปริมาณน้ำตาล ย้ำห้ามกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหตุทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เสี่ยงเสียชีวิตได้

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและ แร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตหากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลางหลังกินอาหารจานหลัก ถ้าใครชอบกินทุเรียน เผลอรับประทานประมาณครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด ก็เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบแล้วพอๆ กับการกินข้าว 5 ทัพพี หรือเทียบเป็นน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังในการกินทุเรียน อาจกินได้แต่มีปริมาณน้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น การกินทุเรียนในปริมาณมากๆ หรือกินทุเรียนบ่อยครั้งจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือดของผู้ป่วยได้ ซึ่งกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวดังที่กล่าวมามักจะเป็นกลุ่มที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือด สำหรับคนธาตุไฟการกินทุเรียนทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

“ทั้งนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านกระเพาะอาหารไปใช้ได้ในทันที เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือการย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ คนปกติขาดน้ำจะปัสสาวะข้นและน้อย แต่กลุ่มที่กินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี้จะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายจะขาดน้ำ” ดร.นพ.พรเทพ กล่าว อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า การกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือรู้สึก ตัวร้อนไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากแล้วเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี การเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนคู่กับลำไย เพราะในลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและด้วยความที่มีน้ำตาลมากจึงให้พลังงานมากขึ้นด้วย เมื่อกินมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการร้อนในได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพประกอบจาก Thinkstockphotos.com

--- End quote ---


ทำไม ห้ามดื่มเหล้าแกล้มทุเรียน ???

-http://campus.sanook.com/1371313/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1-%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/-



นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและแร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต หากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลาง หลังกินอาหารจานหลัก






"ถ้ากินทุเรียนครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งพอๆ กับกินข้าว 5 ทัพพี หรือน้ำอัดลม 2 กระป๋อง ดังนั้น คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ และความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังการกินทุเรียน อาจกินได้ แต่ให้กินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เพราะทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง" นพ. พรเทพ กล่าวและว่า ส่วนคนธาตุไฟการกินทุเรียนแล้วทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือ การย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ โดยจะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายขาดน้ำ ที่สำคัญกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้รู้สึกตัวร้อน ไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากจนเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้




sithiphong:
ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง

-http://guru.sanook.com/27189/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87...%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%87/-


หากพูดถึงขอบขนมปัง เชื่อแน่ว่าคุณผู้อ่าน ๆ หลาย ๆ ท่าน คงชอบตัด หรือเลือกรับประทานขนมปังที่ไม่มีขอบมากกว่า

หลายท่านที่เป็นเช่นนี้ หากไปถามว่าทำไมต้องตัดหรือดึงขอบออกก่อนด้วย ก็มักจะได้คำตอบว่า ขอบขนมปังหรือบริเวณที่ถูกอบจนเป็นสีน้ำตาลเข้มนั้น เป็นส่วนที่ไม่มีรสชาติ ฝืดคอ เหนียว เคี้ยวยากและอีกสารพัดเหตุผล แฮ่ ๆ .. แต่ทราบมั้ยว่าขอบขนมปังที่เราทิ้งไป หรือเก็บไว้ไปโยนให้ปลาในเขาดินกินนั้น เป็นส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าที่เราคาดคิด

ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ประเทศเยอรมนี พบว่าขอบขนมปังที่บางคนเมินนั้น เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่น ๆ ของขนมปัง จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีงานวิจัยที่สรุปผลออกมาว่า ขนมปังเป็นแหล่งของส่วนประกอบบางตัวที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง แต่งานชิ้นเก่า ๆ จะให้เครดิตไปที่กากใยอาหารหรือไฟเบอร์ซะมากกว่า ส่วนงานวิจัยของ ดร.โทมัส นี้ได้ระบุถึงสารต้านมะเร็งตัวใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครคาดถึงมาก่อน

หัวหน้าทีมวิจัยได้ตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า โพรนิลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนเป็นขนมปังสีขาวถึง 8 เท่า ส่วนแป้งธรรมดานั้นกลับไม่มีเอาเสียเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปัง ได้ผ่านกระบวนการอบมาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น

สารโพรนิลไลซีนนี้เกิดขึ้นมาจาก ปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาลในขั้นตอนการอบ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า ปฏิกิริยามิลลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาล บนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว นอกจากนั้น กระบวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสาร ให้กลิ่นรสชาติให้กับขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ อีกด้วย กระบวนการนี้สามารถเกิดได้ ทั้งในขนมปังที่ใช้ยีสต์และไม่ใช้ยีสต์ งานวิจัยยังบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้มเช่น ขนมปังโฮลวีท จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น หากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็ก ๆ นั้นจะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ หรือเป็นปอนด์ แต่ ดร.โทมัสแกก็เตือนเอาไว้ว่า ถ้าหากพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก women.thaiza.com


sithiphong:
วิธีทำไข่เค็ม กินเองง่าย ๆ ที่บ้าน ด้วยสูตรดองเกลือ

-http://cooking.kapook.com/view87786.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ไข่เค็ม เป็นอาหารที่เกิดขึ้นมาจากภูมิปัญญาชาวบ้านในการถนอมอาหารของคนไทย เพื่อที่จะเก็บไข่เป็ดไว้กินได้นาน ๆ เลยจับไปดองกับน้ำเกลือ หรือสูตรอื่น ๆ ตามแต่ละพื้นที่ จนกลายมาเป็นไข่เค็มสุดอร่อย และถือเป็นอาหารที่หลาย ๆ บ้านมักจะมีติดเอาไว้ จะทำไข่เค็มต้ม ไข่เค็มดาว หรือจะยำแซบ ๆ กินกับข้าวต้มก็อร่อย แต่คงจะดีถ้าเรามาทำไข่เค็มกินเองได้

         ถึงแม้ว่าไข่เค็มจะสามารถหาซื้อมารับประทานได้ง่าย ๆ แต่หากวันหนึ่งวันใดคุณเกิดได้รับไข่เป็ดสด ๆ จากฟาร์มจำนวนมากมาเป็นของฝาก แล้วไม่รู้จะนำไปทำเป็นเมนูอะไรได้อีก นอกจากต้ม เจียว ตุ๋น ทอด หรือคุณอยากจะวัดฝีมือความเป็นพ่อบ้านแม่บ้านด้วยการทำไข่เค็มกินเองล่ะก็ วันนี้เราก็มีวิธีทำไข่เค็มเองแบบง่าย ๆ มาฝาก เป็นสูตรไข่เค็มดองในน้ำเกลือ แค่เพียง 1-2 อาทิตย์ ก็ได้ไข่เค็มฝีมือตัวเองไว้กินแล้ว ถ้าอยากรู้แล้วว่า ไข่เค็มทำเองนี้จะมีวิธีการอย่างไร มาดูกันเลยจ้า


สิ่งที่ต้องเตรียม

           ไข่เป็ดดิบ 10 ฟอง

           ภาชนะสำหรับดองไข่ (ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับเกลือ เช่น โหลแก้ว แก้วพลาสติก กะละมัง เครื่องเคลือบดินเผา)

           เกลือ 1 ถ้วย

           น้ำสำหรับต้มน้ำเกลือ 4 ถ้วย (หรือ 1 ลิตร)


วิธีทำ

         1. ล้างไข่เป็ดให้สะอาด สะเด็ดน้ำจนแห้งสนิท ใส่ลงในโหลแก้ว เตรียมไว้

         2. ทำน้ำเกลือสำหรับดองไข่ โดยใส่เกลือกับน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด และคนให้เกลือละลายจนหมด ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท

         3. เทน้ำเกลือที่เย็นแล้วลงในโหลไข่จนท่วมไข่ จากนั้นใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำวางทับลงไปให้ไข่เป็ดจมอยู่ใต้น้ำ ตลอดเวลา ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในที่ร่ม นานประมาณ 2-3 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ดาว เก็บไว้นานประมาณ 2 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ต้ม เก็บไว้นานประมาณ 3 อาทิตย์


  ทำอย่างไรให้ไข่แดงเค็มเป็นน้ำมัน ?

           หลายคนชอบกินไข่เค็มที่มีไข่แดงเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ ออกมา เพราะทั้งมัน ทั้งอร่อย เทคนิคก็คือ หลังจากที่พักน้ำเกลือจนเย็นสนิทแล้ว ให้เติมเหล้าขาวลงไปในน้ำเกลือด้วยเล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน แล้วเทใส่ลงในโหล จะทำให้ไข่แดงเค็มที่ได้ก็จะเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ น่ากินนั่นเองค่ะ


  วิธีต้มไข่เค็มให้อร่อย

           การที่จะต้มไข่เค็มให้อร่อยนั้น มีเคล็ดลับอยู่ที่ "สารส้ม" ทำได้โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สารส้ม 1 ก้อน หรือสารส้มป่นประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยไข่ไก่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด นานประมาณ 8-10 นาที ก็จะได้ไข่เค็มต้มสุดอร่อยไว้กินแล้ว


  วิธีเก็บไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุด

           ไข่เค็มที่นำไปต้มแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานประมาณ 1 เดือน ส่วนวิธีการเก็บรักษาไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุดคือ ให้ใส่สารส้มลงไปแกว่งในน้ำที่ใช้ต้มไข่ด้วย นอกจากจะยืดอายุไข่เค็มได้แล้ว สารส้มจะทำให้สีของเปลือกไข่ และเนื้อไข่ขาวสวยขึ้นอีกด้วย
 
           ไม่กี่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็ได้ไข่เค็มฝีมือตัวเองเก็บไว้กินแล้ว แถมพ่วงเคล็ดลับการต้มไข่เค็ม และเก็บรักษาไข่เค็มมาด้วย ลองนำไปทำกันดูนะคะ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version