ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129513 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #360 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2014, 09:54:35 am »
ผักหวานบ้านเป็นผักที่มีรสหวานเย็น จึงช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้ รากใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ ช่วยแก้ซาง พิษซาง ต้นและใบใช้ตำผสมกับสารหนู
วันเสาร์ 16 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259608/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



คนไทยเมื่ออดีตใช้ต้นและใบผักหวานบ้านตำผสมกับรากอบเชยใช้เป็นยาพอกรักษาแผลในจมูก ตำรับยาหมอพื้นบ้านบางพื้นที่ใช้รากเข้าตำรับยาฝนแก้อาการเจ็บในปาก ปากเหม็น ผักหวานบ้านเป็นผักที่มีรสหวานเย็น จึงช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้  รากใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ ช่วยแก้ซาง พิษซาง ต้นและใบใช้ตำผสมกับสารหนู ใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนังติดเชื้อ  รากและใบ นำมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกรักษาฝี แก้แผลฝี เป็นต้น.


------------------------------------------------------------------------------------

เห็ดแห้งเป็นการถนอมเห็ดไว้รับประทานนาน ๆ ทำโดยเอาน้ำออกจากดอกเห็ด เพื่อหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลส์เห็ดรวมทั้งจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งใน และรอบ ๆ ดอกเห็ด
วันพฤหัสบดี 14 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259226/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



เห็ดแห้งเป็นการถนอมเห็ดไว้รับประทานนาน ๆ ทำโดยเอาน้ำออกจากดอกเห็ด เพื่อหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลส์เห็ดรวมทั้งจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งใน และรอบ ๆ ดอกเห็ด ทำได้หลายวิธี ตากแดด เตาอบแสงอาทิตย์ เป็นต้น ขั้นตอนการทำ เริ่มด้วยแช่น้ำเย็นประมาณ 30 นาที เรียงดอกเห็ดลงในตะแกรงนำไปตากแดด กลับดอกเห็ดทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อดอกเห็ดเริ่มหมาดนำมาเทรวมกันตากต่ออีก 3–6 วัน ก็จะได้ดอกเห็ดแห้งตามต้องการ เมื่อดอกเห็ดแห้งแล้วทำการเก็บไว้เพื่อการใช้ประโยชน์มาประกอบอาหารตามที่ต้องการต่อไป โดยที่คุณค่าทางอาหารจะไม่เปลี่ยนแปลง.



------------------------------------------------------------------------------------

การปลูกผักกูดในบริเวณบ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายได้บางส่วนแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม และยังสามารถเก็บยอดอ่อนมาทำเป็นอาหารได้ด้วย
วันศุกร์ 15 สิงหาคม 2557 เวลา 00:53 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/259536/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5+%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94-



ช่วงวันหยุดยาว วันแม่ ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเดินตลาดสดที่จังหวัดเชียงราย พบว่ามีข้าวของมาวางขายจำนวนมาก ทั้งของสด สมุนไพร พืชผักพื้นบ้าน และแล้วก็ต้องมาสะดุดตากับผักชนิดหนึ่งที่มีน่าตาแปลกๆ มียอดอ่อนม้วนๆ หงิกงอ ชาวบ้านจะเรียกพืชชนิดนี้ว่า “ผักกูด” คนรุ่นใหม่น้อยคนนักที่จะคุ้นเคย หรือได้รับประทานผักชนิดนี้ ผักกูดจะถูกนำมาวางขายอย่างเรียงราย ราคาก็ถูกมากเมื่อเทียบกับปริมาณ ขายกันเพียงกำละประมาณ ๕ บาท ในกระแสที่ผู้คนหันกลับมาให้ความสำคัญกับธรรมชาติมากขึ้น ประกอบกับภาวะอาหารการกินที่แพงขึ้นมากในตอนนี้ การปลูกผักกูดในบริเวณบ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายได้บางส่วนแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม และยังสามารถเก็บยอดอ่อนมาทำเป็นอาหารได้ด้วยอีกทั้งยังเป็นผักที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ดังนั้น หากมีโอกาส ก็ลองหาผักกูดมาปลูก และเก็บยอดอ่อนมาทำอาหาร รับรองว่าจะต้องชอบกันทุกคน บทความสุขภาพสัปดาห์นี้ ผู้เขียนจึงขอนำประโยชน์ดีๆ ที่มีอยู่ในผักกูดมาให้คุณผู้อ่านได้ ทราบกันนะคะ

ในบรรดาผักกูดที่มีหลายชนิดนั้น ผักกูด ( Paco Fern ) จัดเป็นเฟิร์นชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังเป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์อีกด้วย นิยมนำยอดอ่อน และใบอ่อนมาปรุงอาหารหรือลวกจิ้มน้ำพริก เฟิร์นชนิดนี้ มักขึ้นอยู่ตามบริเวณที่ลุ่มชุ่มน้ำ ริมลำธาร หนอง บึง ในพื้นที่เปิดโล่ง หรือมีร่มเงาบ้าง ที่ระดับความสูงไม่มากถึงสูงปานกลาง กระจายพันธุ์อยู่ในเขตร้อนทั่วไปของเอเชีย ตั้งแต่ภาคกลางของจีน ภาคใต้ของญี่ปุ่น ลงไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิกในบ้านเราพบได้ทั่วไปแทบทุกภูมิภาค ที่สภาพดินไม่แห้งแล้ง

ผักกูดชนิดที่กินได้นี้ ตอนอายุยังน้อย ใบจะแตกเป็นรูปขนนกชั้นเดียวคู่ขนานกันไปตั้งแต่โคนใบถึงปลายใบ เมื่ออายุมากขึ้น ใบจะเปลี่ยนเป็นรูปขนนก ๒ ชั้น ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอย เติบโตได้ดีในฤดูฝนในที่โล่งแจ้งและมีน้ำชื้นแฉะ จะพบในป่าโปร่งที่มีแสงแดดส่องมากกว่าในพื้นที่ป่าทึบ พบขึ้นหนาแน่นตามบริเวณลำธาร หรือบริเวณต้นน้ำ ปลูกได้ตามชายคลอง ห้วยหนอง ต้นจะแห้งเฉาในฤดูแล้ง แต่จะแตกหน่อใหม่ในฤดูฝน ผักกูดชอบความชื้นสูง และบริเวณดินชื้นแฉะผักกูดเป็นผักบอกสภาวะแวดล้อมให้เราทราบว่า บริเวณไหนอากาศไม่ดี ดินไม่บริสุทธิ์มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่เจริญหรือแตกต้นในบริเวณนั้น เราสามารถใช้ผักกูดเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมได้ เนื่องจากบริเวณที่มีผักกูดขึ้นนั้น จะเป็นพื้นที่ๆมีอากาศ บริสุทธิ์ ดินดี ไม่มีสารเคมีเจือปน หากต้องการหาผักกูด ต้องไปหาตามพื้นที่ๆ ใกล้ลำธาร หรือพื้นที่มีน้ำขังแฉะและมีอากาศเย็น

ส่วนที่ใช้บริโภคของผักกูก คือ ยอดอ่อน ใบอ่อน แต่ในช่วงหน้าแล้ง ผักกูดจะมีรสชาติอร่อยกว่าฤดูอื่นๆนะคะ

ในส่วนที่รับประทานได้ ๑๐๐ กรัม จะให้พลังงาน ๑๙ กิโลแคลอรี่ มีเส้นใย ๑.๔กรัม แคลเซียม ๕ มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๓๕ มิลลิกรัม เหล็ก ๓๖.๓ มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมี วิตามินเอ วิตามินบี๑ วิตามินบี๒ วิตามินซี และไนอาซิน ค่อนข้างสูง ผักกูดจะมีรสจืดอมหวาน กรอบ หยุ่น เป็นผักที่มีเส้นใยกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายดี เก็บยอดอ่อนและ ใบอ่อน นำมาลวกหรือต้มให้สุก ใช้เป็นผักจิ้มกินกับน้ำพริกตาแดง น้ำพริกต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำพริกถั่ว (น้ำพริกเจ) หรือนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ยำ ผัด ต้มกะทิ แกงจืด แกงเลียง แกงส้ม แกงแคร่วมกับผักชนิดต่างๆ เมนูอาหารจากผักกูดที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย ไข่เจียวผักกูด แกงจืดผักกูดหมูสับ เป็นต้น สามารถทำกินได้ง่าย หรือจะลองดัดแปลงเป็นเมนูอื่นๆ อีกก็ได้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะนำใบอ่อน ยอดอ่อน มาแกงกับปลาน้ำจืด หรือลวกจิ้มน้ำพริกชนิดต่างๆ นำมาทำยำผักกูด หรือผัดน้ำมันหอย แกงกะทิกับปลาย่าง ลวกกะทิ ไม่นิยมกินสดๆ กัน เพราะจะมียางเป็นเมือกอยู่ที่ก้าน แม้จะเก็บใบสดไว้ในตู้เย็น เก็บได้ ๒ - ๓วัน ก็จะเป็นเมือก ควรเก็บใบสดกินวันต่อวัน จะดีกว่าเก็บมามากๆ แล้วกินไม่หมด

ผักกูดยังมีสรรคุณทางยา หากนำใบผักกูดมาต้มน้ำดื่ม แก้ไข้ตัวร้อน บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง ลดโคเลสเตอรอลในเม็ดเลือด

ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานดิบ เพราะว่าผักกูดมีสารออกซาเลตสูง ควรต้มหรือปรุงให้สุกก่อนนะคะ

ทราบประโยชน์ของผักกูดแล้ว เดินตลาดครั้งต่อๆไป อย่าลืมหาผักกูดมาปรุงอาหารกันนะคะ

โดย “PrincessFangy”

Twitter @Princessfangy

ข้อมูลบางส่วนจาก http://agrimedia.agritech.doae.go.th



------------------------------------------------------------------------------------


สาละเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ดอกใหญ่สีแดงชมพู เกสรสีเหลืองใหญ่ กลีบดอกคล้ายดอกบัว
วันศุกร์ 15 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259404/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



สาละเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ดอกใหญ่สีแดงชมพู เกสรสีเหลืองใหญ่ กลีบดอกคล้ายดอกบัว ใบเดี่ยวออกเวียนสลับตามปลายกิ่งรูปใบหอกกลับ ปลายแหลม โคนสอบ มน ขอบใบจักตื้น ๆ  ในอดีตนิยมนำต้นสาละมาทำเครื่องเรือน เช่น เสา ไม้แป ไม้เคร้า ขื่อ ใช้ต่อเรือ ทำเกวียน บางประเทศนำมาทำไม้หมอนรองรางรถไฟ ทำสะพาน ส่วนเมล็ดนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ ในเมล็ดมีน้ำมันนำมาประกอบอาหารได้   เช่น ทำเนย คนไทยโบราณเคี้ยวเอาน้ำมันมาใช้กับตะเกียง รวมทั้งใช้ทำสบู่ในทางการแพทย์แผนไทยนำยางใช้สมานแผล ห้ามเลือด แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบเป็นต้น.





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #361 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2014, 04:37:05 pm »
10 เมนูเสี่ยงทิ้งค้างมื้อ ระวังอาหารเป็นพิษ

-http://club.sanook.com/40507/10-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%89/-


โรคอาหารเป็นพิษ พบได้ทั่วโลก การระบาดมักเกิดจากการบริโภคอาหารทะเลที่ปรุงไม่สุกและน้ำที่ปนเปื้อน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่อบอุ่นของปี สำหรับประเทศไทยอัตราป่วยโรคอาหารเป็นพิษมีแนวโน้มสูงขึ้นมีรายงานระบุเชื้อก่อโรคได้เพียงร้อยละ 0.1-6 เนื่องจากอาการป่วยไม่รุนแรง ผู้ป่วยมักไม่มารับการตรวจและรักษา ในสถานบริการสุขภาพ การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนทั่วถึง สดใหม่และสะอาด หมั่นล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย ป้องกันโรคได้

 

10 เมนูเสี่ยง

นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคอาหารเป็นพิษ เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้อธิบายถึงอาการป่วยที่เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ได้แก่ ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ พยาธิ ปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี หรือโลหะหนัก เป็นต้นซึ่งอาจมีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การเก็บรักษา การประกอบอาหาร และการบริการอาหาร บางครั้งอาการอาหารเป็นพิษ อาจเกิดจากการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษโดยตรง เช่น เมล็ดสบู่ดำ ลูกโพธิ์ ปลาปักเป้า คางคก เป็นต้น

 

การระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ พบได้จากการที่คนจำนวนมากรับประทานอาหารปนเปื้อนร่วมกัน และมีอาการอย่างรวดเร็วหลังจากรับประทานอาหารแล้ว อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ส่วนใหญ่ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและปวดมวนท้องรุนแรงเฉียบพลัน บางครั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้และปวดศีรษะ บางครั้งมีอาการคล้ายเป็นบิด ถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูก ไข้สูง และมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง เป็นโรคที่ไม่ค่อยรุนแรง มีระยะเวลาดำเนินโรค 1-7 วัน การติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกายและการตายพบได้ แต่พบน้อยมาก ระยะฟักตัว ปกติ 6-25 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4-30 ชั่วโมง การติดต่ออาหารที่ต้องให้ระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าปรุงไว้นานหรือค้างมือ 10 เมนู ได้แก่ ลาบ และก้อยดิบ ยำกุ้งเต้นยำหอยแครง ข้าวผัดโรยเนื้อปู อาหารผสมกะทิ หรือราดกะทิ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมจีน ข้าวมันไก่ ส้มตำ สลัดผัก น้ำและน้ำแข็ง

 

10 เมนูเสี่ยง

นายแพทย์โสภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โรคอาหารเป็นพิษ มักป่วยไม่รุนแรง รักษาได้ตามอาการ เช่น อาการปวดท้อง และการทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ ด้วยสารละลายเกลือแร่ และน้ำตาลทางปาก ไม่แนะนำการให้ยาปฏิชีวนะ การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษทุกสาเหตุสำคัญที่สุด ด้วยมาตรการป้องกันโรคตามกฎหลัก 10 ประการดังนี้

1. เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบควรรับประทานเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่เท่านั้น หากมีปริมาณที่เหลือแล้วไม่ควรเก็บไว้ เพราะจะบูดเสียง่าย ผักสดต้องล้างให้สะอาด

2. ปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนทั่วถึง ในกลุ่มของอาหารทะเลต้องปรุงสุก หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะกุ้ง หอย ปลาหมึก

3. ควรกินอาหารที่สุกใหม่ๆ ควรรับประทานทันทีไม่เกิน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุงเสร็จเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมักเสียง่ายไม่ควรทิ้งค้างคืน

4. ระมัดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน

5. อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อน

6. แยกอาหารดิบและอาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน ส่วนอาหารถุงและอาหารกล่อง ควรบรรจุแยกกันระหว่างข้าวและกับข้าว

7. ล้างมือก่อนจับต้องอาหารเข้าสู่ปาก

8. รักษาความสะอาดของห้องครัว อุปกรณ์ประกอบอาหารและรับประทานอาหาร

9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ

10. ใช้น้ำสะอาด น้ำดื่มและน้ำแข็งควรเลือกที่บรรจุภัณฑ์มีเครื่องหมาย อย.รับรอง ภาชนะปิดแน่นและไม่นำน้ำแข็งที่ใช้แช่ของมารับประทาน

 

และสำหรับส้มตำที่นิยมรับประทานกันมาก ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการปรุงจะใส่วัตถุดิบที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคทั้งปลาร้า ปูดอง ผักสด ทั้งมะละกอ มะเขือ หากล้างไม่สะอาดจะทำให้เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วงได้ง่าย มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น อาเจียนมาก รับประทานอาหารและน้ำไม่ได้ ถ่ายเหลวไม่หยุด มีไข้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ให้รีบมาพบแพทย์

ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร 0-2590 3183 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นายแพทย์โสภณ กล่าว

 

ข้อมูลจาก :: กรมควบคุมโรค

ภาพประกอบจาก :: thinkstockphotos.com

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #362 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 06:11:31 am »
ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !


-http://guru.sanook.com/27261/%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-33-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของฝรั่ง

 

               1.              มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี

               2.              ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

               3.              ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ

               4.              เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

               5.              ช่วยลดไขมันในเลือด

               6.              สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง

               7.              ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

               8.              ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

               9.              ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

              10.            ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้

              11.            ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง

              12.            ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน

              13.            ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม

              14.            ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

              15.            รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล

              16.            น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ

              17.            น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ

              18.            ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง

              19.            ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด

              20.            ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก

              21.            ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย

              22.            ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

              23.            ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้

              24.            ใบใช้แก้แพ้ยุง

              25.            ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

              26.            ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

              27.            รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง

              28.            ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

              29.            ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป

              30.            การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

              31.            เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า

              32.            นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด

              33.            นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ www.phyathai.com



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #363 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2014, 06:22:28 am »
21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด

-http://cooking.kapook.com/view95757.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          น้ำจิ้ม ถือเป็นเครื่องจิ้ม เครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น แถมอาหารบางอย่างก็ไม่สามารถยกไปเสิร์ฟได้เลยถ้าไม่มีน้ำจิ้ม แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า น้ำจิ้มแต่ละถ้วยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

          ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ก็ยังไล่เรียงชื่อน้ำจิ้มแต่ละถ้วยไม่หมดสักที มีหลายชนิดซะเหลือเกิน เลือกกินเลือกจิ้มคู่กับอาหารได้มากมายทั้งคาว-หวาน โดยเฉพาะคนไทย น้ำจิ้มถือเป็นเครื่องเคียงที่ขาดไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะกินอาหารเมนูไหน ๆ ก็มักจะมีน้ำจิ้มแซมมาให้เห็นอยู่เสมอ แต่ทว่า น้ำจิ้มแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไป ส่วนผสมก็แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อดย่างไรว่า น้ำจิ้มยอดฮิตที่เราชอบกินกันนั้นมีวิธีทำอย่างไรบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ได้รวบรวมสูตรน้ำจิ้ม และวิธีทำน้ำจิ้มยอดฮิตมาฝากถึง 21 สูตรน้ำจิ้มด้วยกัน ชอบสูตรไหนก็เลือกจิ้มกันได้ตามใจชอบเลยจ้า

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มสุกี้

1. น้ำจิ้มสุกี้
         
          ถ้าวันไหนครอบครัวของคุณเกิดอยากจะจัดปาร์ตี้สุกี้ขึ้นมา แล้วกลัวว่า น้ำจิ้มที่ซื้อมาจะไม่พอ ก็มาทำกินเองซะเลยดีกว่า ได้ทีเดียวหม้อเบ้อเริ่ม เป็นน้ำจิ้มสุกี้สูตรมาจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

สิ่งที่ต้องเตรียม
         
          ซอสพริก 1 ขวดใหญ่

          น้ำส้มสายชู 3 ทัพพี

          ซอสมะเขือเทศ 1 ทัพพี

          ซีอิ๊วขาว 3 ทัพพี

          ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี

          กระเทียมดอง 2 ทัพพี

          น้ำตาลทราย 3 ทัพพี

          พริกชีฟ้าแดง 9 เม็ด

          กระเทียม 6 กลีบ

          เต้าหู้ยี้ 4 ชิ้น

          งาขาวคั่ว บดพอหยาบ 1 กำมือ

          น้ำมันงา 2 ทัพพี

          ผักชี และผักชีฝรั่งซอย

วิธีทำ
         
          1. ใส่ซอสพริกลงในกระทะ ตามด้วยน้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำกระเทียมดอง และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
          2. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้เข้ากันจนแหลก ใส่เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำลงไป บดทุกอย่างจนเข้ากัน จากนั้นตักใส่ในกระทะที่มีซอสพริก
         
          3. คนส่วนผสมในกระทะเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนผสมจนเดือด ปิดไฟ
         
          4. ใส่งาขาวคั่วบดลงไป ตามด้วยน้ำมันงา ค่อย ๆ คนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ผักชีและผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้กินกับสุกี้




21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มซีฟู้ด

2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
         
          อีกหนึ่งสูตรน้ำจิ้มที่ใคร ๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดสามารถนำไปจิ้มกินกับอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมก็คงจะเป็นอาหารทะเล ย่างสด ๆ ร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดเด็ด ๆ แบบนี้ อร่อยเด็ด !

ส่วนผสม
         
          พริกขี้หนูสวน 20 เม็ด

          พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด

          กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย

          รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือ 4 ช้อนชา

          น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา

          น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย

          น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
         
          1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
         
          2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




3. น้ำจิ้มหมูกระทะ
         
          คงจะมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่ชอบทำหมูกระทะกินกันเอง สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้กันไป นอกจากจะหมักหมู และเครื่องต่าง ๆ ให้อร่อยแล้ว หัวใจหลักสำคัญของอาหารปิ้งย่างก็ต้องอยู่ที่น้ำจิ้มด้วย ไปซื้อแบบสำเร็จมากินก็ไม่ถูกปาก ลองมาทำกินเองดีกว่าตามสูตรที่เรานำมาฝากนี้เลย รับรองว่า อร่อยจ้า

ส่วนผสม
         
          ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วย

          ซอสพริก 3/4 ถ้วย

          ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย

          เต้าหู้ยี้ บดพอหยาบ 1 ก้อน

          น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ

          พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

          ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา

          งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. ใส่ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วขาว และเต้าหู้ยี้ ลงในหม้อคนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง คนผสมตลอดเวลาจนเดือด
         
          2. ใส่น้ำมันงา พริกไทย ผงพะโล้ และงาขาวคั่วครึ่งหนึ่งลงไป คนผสมจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย โรยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ




4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
         
          เมนูหมูสะเต๊ะถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีเสน่ห์อยู่ที่น้ำจิ้ม เนื้อสัตว์หมักเครื่องเทศย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มสะเต๊ะผัดหอม ๆ รสหวานกลมกล่อม  ๆ ยิ่งได้กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดยิ่งอร่อยครบรสขึ้นไปอีกว่าแล้วก็มาจดสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะไปลองทำกันเลยจ้า

ส่วนผสม
         
          กะทิ 2 ถ้วย

          ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/2 ถ้วย

          น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ

          น้ำตาลทรายปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ

          น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ

          เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. ใส่กะทิ 1 ถ้วย ลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนกะทิแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงและถั่วลิสงคั่วบดลงผัดให้เข้ากัน เติมกะทิที่เหลือ คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟลง หมั่นคนตลอดเวลา
         
          2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือ เคี่ยวจนข้น และมีน้ำมันลอยหน้า ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




5. น้ำจิ้มอาจาด
         
          ในเมื่อมีน้ำจิ้มสะเต๊ะอร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องมาคู่กับน้ำจิ้มอาจาด เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย น้ำจิ้มอาจาดไม่ใช่แค่กินกับเมนูสะเต๊ะได้อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปกินกับพวกทอดมัน ขนมปังหน้าหมู หรืออาหารทอด ๆ อย่างอื่นได้อีกด้วย

ส่วนผสม
         
          น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย

          เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

          แตงกวาซอย

          หอมแดงซอย

          พริกชี้ฟ้าแดงเม็ดใหญ่ซอย

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. เวลาเสิร์ฟ ตักอาจาดใส่ถ้วย ตามด้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มแจ่ว

6. น้ำจิ้มแจ่ว
         
          เชื่อเลยว่า น้ำจิ้มแจ่วสไตล์อีสานเป็นอีกหนึ่งน้ำจิ้มที่หลายคนชอบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าทำกินเอง จะอร่อยเหมือนที่แถมมาจากร้านหรือเปล่า รับรองว่าสูตรน้ำจิ้มแจ่วด้านล่างนี้ อร่อยเป๊ะ ! เป็นสูตรมาจาก คุณเนินน้ำ

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 50 กรัม

          น้ำอุ่น 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ

          น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

          พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ

          หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอนุ่ม คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
         
          2. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาเข้าด้วยกันในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเหนียว เติมพริกป่น ข้าวคั่วป่น คนพอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนอุ่น
         
          3. ตักใส่ถ้วยโรยด้วยผักชีฝรั่งซอย และหอมแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



7. น้ำจิ้มลูกชิ้น
         
          เวลาซื้อลูกชิ้นสุดโปรดแบบเป็นกิโล ๆ มากิน ถึงแม้ว่าเนื้อลูกชิ้นจะอร่อยนุ่มนิ่มขนาดไหน แต่ถ้านำมาจิ้มกินกับน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปธรรมดา ๆ ก็หมดราคากันพอดี แบบนี้ก็ต้องทำน้ำจิ้มลูกชิ้นไว้กินเองได้แล้ว

ส่วนผสม
         
          พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 20 เม็ด

          กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ

          กระเทียมดอง 3 หัว

          น้ำ 1 ถ้วย

          น้ำมะขามเปียก 1 1/4 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย

          เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. ใส่พริกแห้ง กระเทียม กระเทียมดอง และน้ำลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงไป เคี่ยวจนข้นเหนียว ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




8. น้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวาน
         
          พอถึงหน้าสะเดาออกดอก วัยรุ่นเก๋า ๆ หน่อยก็จะปลื้มปริ่ม เพราะจะได้ซื้อสะเดามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แต่ถ้าเป็นวัยว้าวุ้นก็คงจะร้องยี้ให้กับความขมปี๋ของสะเดา แต่พอเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวานก็ช่วยลดความขมลงไปได้เยอะ แถมเข้ากันดีอย่าบอกใครเชียว ถ้าที่บ้านไหนได้รับสะเดามาเป็นของฝากหน้าหนาว ก็ลองมาทำน้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวานกินกันเองเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย

          น้ำปลา 1/4 ถ้วย

          หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย

          หอมแดงเจียว

          พริกขี้หนูแห้งทอด

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้พออุ่น
         
          2. ใส่หอมแดงซอย คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย โรยหอมแดงเจียว และพริกขี้หนูแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ




9. น้ำจิ้มข้าวมันไก่
         
          ข้าวมันไก่หลากหลายสูตร จะเจ้าดัง ๆ หรือไม่ดัง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ทีเด็ดดความอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำจิ้ม ถ้าน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะลองทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มกินเอง จะไปกลัวอะไร เพราะเรามีสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อย ๆ มาฝากแล้ว

ส่วนผสม
         
          เต้าเจี้ยว บดพอหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ

          ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา

          น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ

          ขิงอ่อนสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูแดงสับละเอียด

วิธีทำ
         
          1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนผสมจนละลายเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มข้าวหมกไก่

10. น้ำจิ้มข้าวหมกไก่ (น้ำจิ้มสะระแหน่)
         
          หลายคนเรียกน้ำจิ้มชนิดว่า น้ำจิ้มข้าวหมกไก่กันจนติดปาก และอาจจะนึกไปว่าทำมาจากพริกขี้หนูเขียวผสมกับใบโหระพาหรือผักชี แต่จริง ๆ แล้วเป็นน้ำจิ้มที่ผสมใบสะระแหน่ เลยทำให้น้ำจิ้มข้าวหมกไก่มีกลิ่นหอมเย็น ๆ ซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรมาจาก คุณบ่งบ๊ง ที่นำเสนอไว้ในวิธีทำข้าวหมกไก่ แถมน้ำจิ้มข้าวหมกไก่สูตรนี้ยังสามารถนำไปกินกับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนได้อีกด้วยนะคะ

ส่วนผสม
         
          น้ำส้มสายชู

          น้ำตาลทราย

          กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ

          พริกชี้ฟ้าเขียว หรือพริกขี้หนูเขียว

          ผักชีไทย

          ใบสะระแหน่

          เกลือป่น

          นมเปรี้ยว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย พักไว้จนเย็น
         
          2. ใส่กระเทียม พริก ผักชีไทย และใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมให้ละเอียด เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำส้มสายชู เติมเกลือป่น ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




11. น้ำจิ้มหอยทอด
         
          หอยทอดก็เป็นอาหารจานเดียวอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทำกินกันเองที่บ้าน เพราะวิธีทำไม่ได้ยากจนเกินไป แน่นอนว่า หอยทอดจะอร่อยได้ครบรสนั้น ต้องมีน้ำจิ้มหอยทอดอร่อย ๆ เคียงคู่กันมาด้วย ไหน ๆ ก็ทำหอยทอดกินเองแล้ว ก็ทำน้ำจิ้มหอยทอดกินเองไปด้วยเลยน่าจะดีนะคะ

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 2 เม็ด

          น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

          เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

          น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย+2 ช้อนโต๊ะ

          ซอสพริก 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชูลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนส่วนผสมข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่พริกชี้ฟ้าโขลกละเอียด และซอสพริก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




12. น้ำจิ้มข้าวขาหมู
         
          ข้าวขาหมู ถ้าให้กินแบบไม่มีน้ำจิ้มก็คงจะเลี่ยนไปหน่อย ใครที่ทำข้าวขาหมูเป็นแล้วก็ลองมาทำน้ำจิ้มข้าวขาหมูรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ กินแก้เลี่ยนควบคู่กันไปด้วย

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด

          กระเทียมไทย 20 กลีบ

          รากผักชี 3 ราก

          เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

          น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกชี้ฟ้าเหลือง กระเทียม รากผักชี และเกลือเข้าด้วยกันพอหยาบ
         
          2. เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




13. น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)
         
          ถึงเวลาไหว้เจ้าทีไร ก็จะได้กินไก่ต้มน้ำปลา หรือไก้ต้มถาดเบ้อเริ่ม แต่ถ้ากินแบบไร้น้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงจะจืดชืดไร้รสชาติ มาทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลากินเองซะเลยดีกว่า เตรียมไว้เวลาไหว้เจ้าปีหน้า จะได้พร้อมแซ่บ !

ส่วนผสม
         
          พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ

          กระเทียม 5 กลีบ

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมไก่ต้มน้ำปลา




14. น้ำจิ้มขนมจีบ
         
          ใครที่ชอบกินขนมจีบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันไม่ชอบกินคู่กับซอสเปรี้ยวหรือน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่เหม็น ๆ ก็ลองมาทำน้ำจิ้มขนมจีบสูตรนี้ เตรียมไว้กินกับขนมจีบดู ถึงจะมีจิ๊กโฉ่ผสมอยู่ด้วย แต่รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน อร่อยแน่นอน

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด

          กระเทียมไทย 2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

          ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่) 2 ช้อนโต๊ะ

          เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกชี้ฟ้ากับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย จิ๊กโฉ่ และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย ใส่เครื่องที่โขลกไว้ คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม


15. น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม
         
          เวลากินอาหารประเภทลวกจิ้ม เราก็จะได้เห็นน้ำจิ้มเต้าเจี๊ยวเสิร์ฟมาเคียงคู่อยู่เสมอ กินคู่กันได้ความอร่อยที่เข้ากันดีมาก รสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป แถมยังดับกลิ่นคาวของปลา หรืออาหารทะเลได้หมดจดอีกด้วย

ส่วนผสม
         
          เต้าเจี้ยวดำ บดพอหยาบ 1/3 ถ้วย

          ขิงแก่โขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูสีเขียว-แดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วย

          น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. ใส่เต้าเจี้ยวดำบดลงในอ่างผสม ใส่ขิง พริกขี้หนู และน้ำต้มสุก คนผสมให้เข้ากัน
         
          2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




16. น้ำจิ้มเต้าหู้ทอด
         
          น้ำจิ้มเต้าหู้ทอดที่นอกจากจะไว้กินกับเต้าหู้ทอดได้แล้ว ยังสามารถไว้กินกับอาหารทอดเพื่อนซี้อย่าง เผือดทอด มันทอด และข้าวโพดดทอดได้อีกด้วย

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย

          เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/4 ถ้วย

          พริกป่น ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนส่วนผสมเดือด และข้น ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้
         
          2. ตักส่วนผสมใส่ถ้วย เติมพริกป่น และถั่วลิสงคั่วบดหยาบ คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ




17. น้ำจิ้มยำมะม่วง
         
          เวลาที่สั่งปลาแดดเดียวทอด ปลาทอดน้ำปลา ยำปลาดุกฟู ก็จะเห็นน้ำจิ้มยำมะม่วงถ้วยนี้เสิร์ฟมาเพิ่มรสชาติความแซ่บอยู่ด้วยเสมอ มีมะม่วงเปรี้ยวขูดเป็นเส้น ๆ เพิ่มความเปรี้ยวแซ่บขึ้นไปอีก

ส่วนผสม
         
          น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามความชอบ

          น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

          มะม่วงดิบสับเป็นเส้น

          หัวหอมแดงซอย

          เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามชอบ)

          ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน

  วิธีทำ

          1. ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. เติมน้ำมะนาวลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยมะม่วงสับ หอมแดงซอย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ และใบขึ้นฉ่าย พร้อมเสิร์ฟ




18. น้ำจิ้มเทมปุระ
         
          อาหารญี่ปุ่นแบบทอดพวกเทมปุระ นอกจากจะมีความอร่อยกรุบกรอบของตัวอาหารเองแล้ว อย่าลืมนะคะว่า น้ำจิ้มเทมปุระก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เทมปุระของคุณครบเครื่องความอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มเทมปุระตำรับญี่ปุ่นแท้ ๆ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปดาชิ หรือน้ำซุปปลาโอแห้ง ที่จะทำให้น้ำจิ้มถ้วยนี้ของคุณ แตะความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ มากขึ้น มาดูวิธีทำกันเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          น้ำซุปดาชิ 1/2 ถ้วย (น้ำซุปปลา)

          ซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) 1/3 ถ้วย

          เหล้ามิริน หรือสาเก 1/3 ถ้วย

          ขิงและหัวไช้เท้าขูดละเอียดปริมาณตามชอบ

ส่วนผสม น้ำซุปดาชิ

          น้ำ 3 ถ้วย

          สาหร่ายคอมบุ (เช็ดให้สะอาด) 2 ชิ้น

          ปลาโอขูดแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ

          หมายเหตุ : ถ้าไม่สะดวกให้ใช้ผงฮอนดาดชิสำเร็จรูปผสมกับน้ำแทน

วิธีทำ

          1. ทำน้ำซุปดาชิ โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สาหร่ายคมบุลงต้มด้วยไฟอ่อนจนสาหร่ายพองเต็มที่ (ประมาณ 30 นาที) ตักสาหร่ายออก
         
          2. ใส่ปลาโอขูดแห้งลงต้มด้วยไฟแรงจนเดือดอีกครั้ง ช้อนเอาฟองอากาศออก ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที จนเนื้อปลาจมลงด้านล่าง จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          3. ใส่น้ำซุปดาชิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และมิรินลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมกับกับขิงและหัวไช้เท้าขูด




19. น้ำจิ้มเมี่ยงคำ
         
          อาหารว่างแบบไทย ๆ อย่างเมี่ยงคำ ทีเด็ดก็อยู่ที่น้ำจิ้มเมี่ยงคำ หวาน ๆ เค็ม ๆ ตักราดบนเครื่องเคียงเคี้ยวกันตำโต ๆ กินอิ่มกินเพลินกันได้ทั้งครอบครัว อร่อยครบเครื่อง แถมยังมีประโยชน์ด้วย วันหยุดนี้ใครอยากจะลองทำเมี่ยงคำกินกันก็ลองมาดูสูตรน้ำจิ้มเมี่ยงคำกันทางนี้เลย

ส่วนผสม
         
          ข่าหั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น

          ตะไคร้ซอยบาง 1 ต้น

          กะปิอย่างดี 2 ช้อนชา

          น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย

          กุ้งแห้งโขลกละเอียด

          ถั่วลิสงโขลกละเอียด

          มะพร้าวคั่วโขลกละเอียด

วิธีทำ
         
          1. โขลกข่ากับตะไคร้ให้ละเอียด ใส่กะปิลงโขลกผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำ และน้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่โขลกไว้คนผสมให้เข้ากัน เคี่ยวจนส่วนผสมเหนียวและข้น ยกลงจากเตา พักไว้พออุ่น
         
          3. ใส่กุ้งแห้งโขลก ถั่วลิสงโขลก และมะพร้าวคั่วโขลกลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




20. น้ำปลาหวาน
         
          ถ้าพูดถึงมะม่วงเปรี้ยว ๆ ก็ต้องนึกถึงน้ำปลาหวาน ยังไงซะก็ต้องมาคู่กัน จิ้มกินกันเพลิน ๆ อร่อยสะใจดีจริง ๆ ถ้าวันไหนเกิดเปรี้ยวปาก อยากกินมะม่วงน้ำปลาหวานขึ้นมา ก็มาดูวิธีทำน้ำปลาหวานกันทางนี้ ทำใส่โหล แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้เป็นเดือน ๆ เลยนะจ๊ะ อยากจะกินตอนไหนก็จัดไปเลย

ส่วนผสม
           
          น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม

          กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา

          น้ำปลาอย่างดี 4 ช้อนโต๊ะ

          กุ้งแห้งตำพอหยาบ  ¼ ถ้วยตวง

          หอมแดงซอยบาง  5 หัว

          พริกขี้หนูสวนซอย ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
           
          1. ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิ และน้ำปลา ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลาย
           
          2. ใส่กุ้งแห้ง หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย เคี่ยวจนน้ำปลาหวานมีลักษณะใสขึ้น ปิดไฟ ยกลง ทิ้งไว้สักพักให้ฟองหายไป
           
          3. ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอย และพริกขี้หนูซอยเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ




21. กะปิหวาน
         
          เวลาได้มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดมาสักหนึ่งลูก นอกจากน้ำปลาหวานคู่ชีพแล้วจะมีอะไรเด็ดไปกว่า กะปิหวาน นึกถึงก็น้ำลายสอข้างปาก แผล่บ ! ลองมาดูวิธีทำกะปิหวานรสเด็ดที่ว่านี้กันเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          กะปิอย่างดี 5 ช้อนโต๊ะ

          น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

          น้ำ 1/4 ถ้วย

          หอมแดงซอย

          พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
         
          1. ใส่กะปิ น้ำตาลทราย และน้ำ ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งบนไฟกลาง เคี่ยวจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่หอมแดง และพริกขี้หนูซอยลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

          เป็นอย่างไรกันบ้างกับสูตรน้ำจิ้มหลากหลายสูตรที่เรานำมาฝาก นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม ๆ เท่านั้นนะคะ ใครชอบสูตรไหน แบบไหน ก็เลือกจิ้มกันได้ตามชอบเลยจ้า



http://cooking.kapook.com/view95757.html
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #364 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2014, 10:04:54 pm »
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารสกัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com



-------------------------------------------------------------------------


ผลวิจัยชี้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเกินไป ทั้งราเม็ง บะหมี่เหลือง รวมถึงวุ้นเส้น เพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน


-http://campus.sanook.com/1373117/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2/-



ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร นิวทริชั่น ( Nutrition ) พบว่า "ราเม็ง" รวมถึงผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอื่นๆ อาจทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน โดยเฉพาะผู้หญิง โดยนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ยืนยันว่า ผลวิจัยชุดนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนจำนวนมากหันมาบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปริมาณมาก โดยไม่รู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

ทั้งนี้ ผลวิจัยนี้ได้มาจากการศึกษาผู้ใหญ่อายุระหว่าง 19-64 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน ผ่านการสำรวจโดยตัวแทนของสถาบันตรวจสอบโภชนาการและสุขภาพแห่งชาติเกาหลีเมื่อปี 2007-2009 พบว่า การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทั้ง ราเม็ง , บะหมี่เหลือง , วุ้นเส้น และอื่นๆ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ จะมีส่วนเชื่อมโยงกับโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งจะไปทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบไต รวมถึงระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายทำงานผิดปกติ และเนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมักใส่อยู่ในถ้วยโฟม ซึ่งมีสารบีพีเอ ซึ่งเป็นสารรบกวนระบบฮอร์โมน ดังนั้น ผู้หญิงที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อยๆ จึงมีผลกระทบกับร่างกายมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังเต็มไปด้วยส่วนผสมที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารกันบูด ผงชูรส และมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูงมาก

อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีตัวเลขการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อคนต่อปีมากที่สุดในโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงพบคนเกาหลีมีปัญหาสุขภาพกันมาก ทั้งโรคหัวใจและโรคอ้วน

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #365 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2014, 08:29:00 pm »
มาแรงจริง! "มะม่วงหาว มะนาวโห่" มหัศจรรย์สมุนไพร แบบไม้ประดับ (มุมเกษตร)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2557 10:54 น.


-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000096581-



     มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นพืชอีกตัวหนึ่ง ที่กำลังได้รับการจับตาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะด้วยคุณสมบัติ และคุณประโยชน์สรรพคุณ จากผลงานวิจัยพบว่า มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีสรรพคุณถึง 53 ประการในการดูแลปรับสมดุลร่างกาย เฉกเช่น สมุนไพรไทยอีกหลายตัว
       
       มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีคุณสมบัติเด่น คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันมะเร็ง ชะลอการแก่ก่อนวัย ช่วยบำรุงโลหิต ขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคหัวใจ รักษาโรคปอด และถุงลมโป่งพองได้ ฯลฯ และด้วยคุณสมบัติมากมายของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ทำให้ ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป พยายามหาพืชสมุนไพร ชนิดนี้มาปลูก หรือ หาซื้อผลของมะม่วงหาว มะนาวโห่ มารับประทานกัน

ทั้งนี้ มะม่วงหาวมะนาวโห่ ที่ได้รับความนิยม มากไม่ใช่เพียงเพราะคุณสมบัติมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่มะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นเป็นที่ชื่นชอบกลุ่มคนที่ชอบปลูกไม้ประดับ ด้วย เพราะผลและดอกที่สวยงาม บวกกับคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น ยิ่งส่งผลให้มะม่วงหาว มะนาวโห่ ได้รับความนิยมจากคนที่ซื้อไปไม้ประดับมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับ แต่สามารถรับประทานเป็นยาได้
       
       สำหรับมะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่ เพราะปลูก และดูแลง่าย ซึ่งสรรพคุณทางยานั้นใช้ได้ทุกส่วน ราก ลำต้น ใบ และผล และในส่วนของผลก็จะมี 4 ระยะ แต่ละระยะให้สีแตกต่างกัน ทำให้เหมาะกับการเป็นไม้ประดับอย่างมาก แต่ถ้านำไปรับประทานเป็นผลก็จะต้องเป็นผลที่ออกสีดำ เลยจะให้รสชาติ อมเปรี้ยว อมหวาน

    นอกจาก ผลที่รับประทานสด แล้ว ผลที่สุก ยังสามารถนำมาทำเป็นน้ำมะม่วงหาว มะนาวโห่ ได้อีกด้วย หรือ นำไปทำเป็นแยม น้ำหมัก รวมไปการนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู และโลชั่น (เพราะเป็นผลไม้ทีมีวิตามินสูงทำให้ผิวชุมชื่น และลดอาการคันศรีษะได้)


   ทั้งนี้ ถ้าใครสนใจ เรื่องราวของมะม่วงหาวมะนายโห่ มีสวนเกษตร หลายแห่ง ที่ปลูกพืชชนิดนี้ ไม่ว่า จะเป็น สอยดาวการ์เด้น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และ บ้านสวนมะม่วงหาว มะนาวโห่ ที่บางนกแขวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม หรือ บ้านสวนลุงเสน่ห์ ป้าอัมพร ที่ จังหวัดสระบุรี ทั้ง 3 แห่ง จัดว่าเป็นสวนขนาดใหญ่ และครบวงจร ทั้ง เพาะต้นขายเป็นไม้ประดับ ขายผล และขายผลิตภัณฑ์แปรรูป และปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่ ที่ปลูกอีกหลายสวน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการขายต้น เพื่อเป็นไม้ประดับ

   ในส่วนของ ราคามะม่วงหาวมะนาวโห่ นั้น ถ้าขายเป็นผลราคาค่อนข้างสูง จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 500-700 บาท แต่ถ้าเป็นต้นขายเริ่มต้นที่ต้นละ 100 บาท ไปจนถึงหลักพัน บาท ขึ้นอยู่กับอายุ และขนาดของต้น












คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #366 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2014, 09:48:29 pm »

ปลูกมะนาวในกระถาง มีกินเพียงพอในครอบครัว - เกษตรทั่วไทย


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/262442/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-



หลายปีที่ผ่านมามะนาวจะมีราคาค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนด้วยเป็นช่วงที่มะนาวติดผลน้อย ขณะที่ตลาดยังมีความต้องการเท่าเดิม
วันพฤหัสบดี 28 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

หลายปีที่ผ่านมามะนาวจะมีราคาค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนด้วยเป็นช่วงที่มะนาวติดผลน้อย ขณะที่ตลาดยังมีความต้องการเท่าเดิม ที่สำคัญคนไทยกับมะนาวนั้นนับเป็นสิ่งที่คู่กันในเรื่องของรสชาติ

หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกมะนาวกันมากขึ้นและในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการเพาะปลูกเพื่อบังคับการออกลูกนอกฤดูกาล เช่น การปลูกในวงบ่อซีเมนต์ เป็นต้น

สำหรับประชาชนทั่วไปที่มีพื้นที่น้อยแต่สนใจที่จะปลูกมะนาวเพื่อเก็บผลไว้บริโภคเองภายในครัวเรือนประเภทตู้กับข้าวข้างบ้าน เช่นบริเวณระเบียงบ้าน หรือข้างบ้านแบบในเมืองหลวง และสามารถบังคับให้ออกผลตามที่ต้องการได้ วันนี้มีแนวทางที่จะทำได้แล้ว โดยที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ได้ศึกษาแนวทางการเพาะปลูกในรูปแบบดังกล่าวและประสบความสำเร็จสามารถขยายผลสู่การปลูกของผู้คนโดยทั่วไปได้

วันก่อนเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ ได้อธิบายถึงวิธีการในการปลูกมะนาวในภาชนะทั่วไปหรือกระถางให้กับคณะเยาวชนในโครงการค่ายอาสา สืบสานพระราชดำริ ที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ได้ร่วมกับศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์จัดขึ้น  โดยการเปิดโอกาสให้เยาวชนจากสถาบันการศึกษาพื้นที่ภาคอีสานมาศึกษาเรียนรู้งานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริภายในศูนย์ฯ เพื่อนำไปประยุกต์ปฏิบัติใช้ในสถาบันการศึกษาและการประกอบอาชีพของตนเองในอนาคต ว่าการปลูกมะนาวในกระถางนั้นทำกันอย่างไร ขั้นต้นเจ้าหน้าที่แนะนำว่าควรใช้กระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 18-20 นิ้ว ขึ้นไป

เมื่อได้กระถางแล้วก็นำมาใส่ดินปลูกที่ผสมด้วยดินธรรมดากับปุ๋ยคอก ขี้เถ้า แกลบในอัตราส่วนเท่ากัน คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำต้นกล้าที่เพาะมาหรือกิ่งตอนก็ได้ นำลงปลูก ปิดทับด้วยดินปลูกคลุมด้วยฟางข้าวหรือเศษหญ้าแห้ง รดน้ำทันทีให้ชุ่ม ส่วนพันธุ์แนะนำในการปลูกแบบนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าควรเป็นพันธุ์ตาอิติ หรือแป้นพิจิตรเพราะทนต่อโรคแคงเกอร์ศัตรูร้ายของมะนาว หากชอบมะนาวที่ไม่มีเมล็ดก็เป็นพันธุ์ตาอิติ หากต้องการผิวเปลือกบางให้กลิ่นมะนาวและน้ำดีก็ควรเป็นแป้นพิจิตร

ส่วนแมลงศัตรูพืชอาจจะมีหนอนชอนใบหรือหนอนที่กินใบอ่อนของมะนาวเข้ามาทำลายได้ ก็ไม่ต้องตกใจสามารถป้องกันและแก้ไขได้แบบภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย โดยการใช้ยาฉุน ที่คนชนบทนำมามวลใบตองแห้งหรือใบจากสูบเป็นบุรี่จำนวน 1 จับ แช่ในน้ำสะอาด 1 ลิตร เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง แล้วกรองเอาน้ำที่เป็นสีชามาผสมกับเหล้าขาว 35 ดีกรี จำนวน 1 เป๊ก กวนให้เข้ากันใส่ป๊อกเกอร์ ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งใบและกิ่ง โดยฉีดวันเว้นวัน จนครบ 7 วัน จึงหยุด กลิ่นยาฉุนจะรบกวนแมลงไม่อยากเข้าใกล้ ส่วนเหล้าขาวจะช่วยให้สารจากยาฉุนจับเกาะใบและเร่งปฏิกิริยาในยาฉุนให้ออกฤทธิ์ดียิ่งขึ้น สูตรนี้ไม่อันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้  แต่หากนำมาดื่มตรงนี้อันตราย

จากนั้นนำกระถางที่ปลูกมะนาวเรียบร้อยแล้วไปวางในที่ที่สามารถรับแสงแดดได้อย่างน้อยวันละ 4-6 ชั่วโมง รดน้ำเช้า-เย็นให้ชุ่ม แต่ในช่วงที่มีเป้าหมายเพื่อการบังคับดอกให้งดน้ำ ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อการบำรุงต้นเพียงอย่างเดียว ต้นละประมาณ 1 กำมือ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพราะพื้นที่หากินของรากมีน้อยด้วยอยู่ในกระถาง  ประมาณ  7-8 เดือนมะนาวจะเริ่มให้ผลผลิต แต่ถ้า 2 ปีขึ้นไปจะให้ลูกได้อย่างเต็มที่

ส่วนการเจริญเติบโตด้วยการปลูกในกระถางจะยืนยาวได้ประมาณ 5 ปีหลังจากนั้นรากมะนาวจะออกมาเต็มพื้นที่ปลูกเบียดเสียดกันในภาชนะทำให้อาหารที่ใส่ลงไปไม่เพียงพอแก่ความต้องการ มะนาวก็จะเริ่มเฉาและไม่ให้ลูก แม้จะใส่ปุ๋ยคอกอย่างต่อเนื่องและจำนวนมากก็ตาม แก้ได้ทางเดียวคือรื้อออกแล้วปลูกต้นใหม่ดินใหม่ในภาชนะเดิม.





-----------------------------------------------------------------------------------

สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

-http://cooking.kapook.com/view94031.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มล้างพิษ เชื่อเลยว่า คนที่รักสุขภาพหลาย ๆ คนน่าจะคิดถึง น้ำมะนาวโซดา เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในตอนนี้ มะนาวโซดา หรือมะนาวผสมโซดา กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตเลยทีเดียว เพราะมีความเชื่อว่า น้ำมะนาวผสมโซดา จะช่วยรักษามะเร็งได้ แต่ก็มีแพทย์ออกมาเตือนแล้วว่า น้ำมะนาวผสมโซดาไม่ได้ช่วยรักษามะเร็งแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวก่อเซลล์มะเร็งได้เท่านั้นเอง

          แต่ถึงแม้น้ำมะนาวโซดาแก้วนี้ จะไม่ได้ช่วยรักษาโรคมะเร็งอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ แต่น้ำมะนาวโซดา สามาถช่วยล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ได้นะจ๊ะ แต่ก็ต้องระวังให้มากหน่อยสำหรับผู้ที่เป็นโรคกะเพาะ หรือผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร เพราะมะนาวและโซดามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะเข้าไปกัดกระเพาะเข้าได้ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอควรนะคะ

          เอาล่ะ มาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ทำน้ำมะนาวผสมโซดาเพียว ๆ ไร้รสชาติใด ๆ ดื่มจนเบื่อ แล้วเกิดอยากจะลองทำน้ำมะนาวโซดาแบบมีรสชาติใหม่ ๆ ดื่มดูบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็มี 10 สูตรน้ำมะนาวโซดามาฝาก ที่ไม่ใช่แค่มะนาวกับโซดาเท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่า จะมีสูตรไหนโดนใจกันบ้าง

1. น้ำมะนาวโซดา

          ก่อนที่จะไปสนุกกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีน้ำมะนาวโซดาเป็นส่วนผสม ลองมาดูน้ำมะนาวโซดาแบบพื้นฐานกันก่อนเลย ว่าที่เขาฮิตดื่มกันเนี่ยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

ส่วนผสม
           
           น้ำตาลทราย

           น้ำ

           น้ำมะนาวคั้น

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม



สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

2. น้ำผึ้งมะนาวโซดา
           
          น้ำผึ้งมะนาวโซดา น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ไม่สามารถดื่มโซดาเพียว ๆ ได้น่าจะเหมาะ มีขายให้เราได้ซื้อมาดื่มกันอยู่บ่อย ๆ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ชุ่มคอดีเหลือเกิน แต่ใครที่อยากจะลองทำเองเพื่อให้มั่นใจว่า น้ำผึ้งที่ผสมลงไปนั้น แท้ 100% ก็ลงมือกันเลย

ส่วนผสม
           
           น้ำผึ้ง

           น้ำมะนาว

           โซดา

           น้ำแข็ง

           มะนาวฝานเป็นชิ้นบาง และใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง

วิธีทำ

          ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ตามด้วยโซดาแช่เย็นจัด แต่งด้วยมะนาวฝาน และใบสะระแหน่ พร้อมดื่ม

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Completely Delicious
-http://www.completelydelicious.com/2013/05/watermelon-lime-soda.html-

3. แตงโมมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้จับแตงโมเนื้อหวานฉ่ำเข้ามาผสมกับมะนาวและโซดา เพิ่มหวานสดชื่นขึ้นอีกเป็นกอง แถมแตงโมมะนาวโซดาแก้วนี้ยังสามารถทำเป็นค็อกเทลได้ด้วยนะคะ แค่เติมวอดก้าลงไปอีกสักหน่อยก็ฟินแล้ว

ส่วนผสม

           แตงโมแกะเม็ด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ถ้วย

           โซดาแช่เย็นจัด 2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย (จากมะนาว 2 ลูก)

           เปลือกมะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาวคั้น และเปลือกมะนาวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่เนื้อแตงโมลงปั่นในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เทใส่เหยือก เติมน้ำเชื่อมมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Will Cook for Smiles
-http://www.willcookforsmiles.com/2013/06/float-party-and-raspberry-key-lime-italian-soda.html-

4. ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบเครื่องดื่มแบบเปรี้ยวจี๊ด คงจะต้องยกให้ ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา แก้วนี้เลย แถมสีสันยังสดใส เหมาะจะทำเป็นเครื่องดื่มต้อนรับหน้าร้อนสุด ๆ

ส่วนผสม
         
           ราสป์เบอร์รีสด 450 กรัม

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           มะนาว 2 ลูก

           น้ำ 1/3 ถ้วย

           โซดา

วิธีทำ
         
          1. ทำน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รี โดยใส่ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมให้เข้ากันพอนิ่ม จากนั้นขูดผิวมะนาวใส่ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว ใช้ช้อนค่อย ๆ บดเนื้อราสป์เบอร์รีจนละเอียด เติมน้ำลงไป เคี่ยวส่วนผสมประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมใส และเหนียว ยกลงกรองผ่านตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          2. ใส่โซดาลงในแก้ว ประมาณ 3/4 แก้ว เติมน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รีลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


5. เลมอนมินต์ม็อกเทล
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้น่าจะสร้างความสดชื่นได้ดีทีเดียว ที่นอกจากจะได้รสชาติเปรี้ยวซ่าจากเลมอนและโซดาแล้ว ยังได้กลิ่นมินต์หอมจาก ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มะนาวโดยตรง แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้กันแน่ ๆ

ส่วนผสม
         
           เลมอนเหลือง 1 ลูก

           ใบสะระแหน่ (เด็ดเป็นใบ)

           น้ำเชื่อม

           น้ำแข็ง

           โซดา

วิธีทำ

          1. หั่นเลมอนเหลืองเป็นชิ้น ๆ บีบน้ำเลมอนลงในอ่างผสมพร้อมเปลือก ตามด้วยใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ไม้ บดส่วนผสมให้เข้ากัน
         
          2. เทส่วนผสมเฉพาะของเหลวลงในเชคเกอร์ ใส่น้ำแข็งตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ประมาณ 1/2 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเกือบเต็ม ใส่เลมอนเหลืองฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว แต่งใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ดูวิธีทำได้ที่ Jen's Favorite Cookies
-http://jensfavoritecookies.com/2013/03/01/grapefruit-soda/-

6. เกรปฟรุตมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้สีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ แถมยังหอมกลิ่นจากเกรปฟรุต มะนาว และเลมอนด้วย ที่นอกจากจะสดชื่นแล้ว ยังผ่อนคลายเบา ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ

ส่วนผสม
         
           เกรปฟรุต 3 ลูก

           เลมอน 2 ลูก

           มะนาว 1 ลูก

           โซดากลิ่นมะนาว 4 ถ้วย

วิธีทำ

          1. คั้นน้ำเกรปฟรุต น้ำเลมอน และน้ำมะนาว จากนั้นเทใส่แก้ว คนผสมให้เข้ากัน นำเข้าแช่เย็น เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำผลไม้ลงในแก้ว ตามด้วยโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


7. น้ำขิงมะนาวโซดา
           
          น้ำขิงมะนาวโซดาแก้วนี้ เป็นเครื่องดื่มล้างพิษที่จะช่วยเรียกคืนความสดชื่นให้กับร่างกายที่หนักแอลกอฮอล์ ยิ่งถ้าใครชอบกินขิง รสชาติเผ็ดร้อนอยู่แล้วก็น่าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ

ส่วนผสม

           ขิงขูดละเอียด 3/4 ถ้วย (หรือประมาณ 4 ออนซ์)

           น้ำมะนาว 1 ถ้วย

           น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           น้ำแข็ง

           โซดาแช่เย็นจัด

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อมโดย นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายและน้ำ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม หรือนานประมาณ 2 นาที ยกลงจากเตา
         
          2. ใส่ขิงขูดลงในน้ำเชื่อมร้อน ๆ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนขิงเข้ากันดีกับน้ำเชื่อม
         
          3. หลังจากครบเวลา เติมน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน ยกลงกรองผ่านกระชอนหรือตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นเทน้ำขิงมะนาวใส่แก้วที่มีน้ำแข็งประมาณ 2/3 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเต็มแก้ว พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


-http://www.peanutbutterandpeppers.com/2013/07/12/cherry-lime-soda/-
ดูวิธีทำได้ที่ Peanut Butter and Peppers

8. เชอร์รีมะนาวโซดา
         
          เชอร์รีมะนาวโซดาแก้วนี้อาจจะสะดวกสำหรับคนที่หาซื้อผลเชอร์รีสด ๆ ไม่ได้ แถมยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย ดีต่อสุขภาพจริง ๆ

ส่วนผสม
         
           น้ำเชอร์รี 100% 1/3 ถ้วย

           น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา

           สารให้ความหวานแทนน้ำตาล 1 ซอง

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
         
          ผสมน้ำเชอร์รี น้ำมะนาว และน้ำตาลเทียม คนผสมให้เข้ากัน เทลงแก้ว ตามด้วยน้ำแข็ง และโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



9. น้ำอ้อยมะนาวโซดา
         
          ใครจะไปเชื่อว่า น้ำอ้อยบ้าน ๆ เนี่ย จะสามารถมาผสมรวมกับน้ำมะนาวและโซดา ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าแต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองกันสักหน่อยแล้ว เป็นสูตรเด็ดมาจากนิตยสาร Health & Cuisine

ส่วนผสม

           น้ำอ้อยคั้นสด 3 ถ้วย

           เลมอนหั่นซีก 2 ซีก

           โซดา 1/2 ถ้วย

           น้ำแข็งตามชอบ

วิธีทำ
           
          บีบเลมอนใส่ลงในน้ำอ้อย คนผสมห้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งและเปลือกเลมอนที่เหลือลงแก้ว รินน้ำอ้อยลงไป ตามด้วยโซดา พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Baked Bree
-http://bakedbree.com/mint-lime-tea-cooler-

10. ชามะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบดื่มชามะนาวด้วยการเติมโซดาลงไปให้สดชื่นยิ่งขึ้น แถมยังได้กลิ่นมินต์หอม ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย

ส่วนผสม

           น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย

           น้ำ 2/3 ถ้วย

           ใบสะระแหน่ เด็ดเป็นใบ 1 ถ้วย

           ชาสำเร็จรูปสำหรับชงดื่ม ตามชอบ 8 ซอง

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ

          1. ทำน้ำเชื่อมกลิ่นมินต์ โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ใส่ใบสะระแหน่ คนผสมจนเป็นน้ำเชื่อม และมีกลิ่นมินต์ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น กรองเอาใบสะระแหน่ออก เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำร้อนจัดลงในถ้วย ใส่ชาสำเร็จรูปลงในถ้วย รอจนชาเปลี่ยนสี ประมาณ 3 นาที
         
          3. ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำชา และน้ำมะนาว ใส่มะนาวฝานบาง และใบสะระแหน่เล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเติมโซดาลงไป ชิมรสตามชอบ เทใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

          ว้าว เครื่องดื่มล้างพิษที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาวโซดาแต่ละเมนูน่าดื่มทั้งนั้นเลย ใครที่รักสุขภาพ หรือกำลังมองหาเครื่องดื่มอร่อย ๆ ใหม่ ๆ ก็ลองเข้ามาจดสูตรกันได้เลยค่ะ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #367 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2014, 11:15:32 pm »
ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ



-http://health.kapook.com/view96875.html-











เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ใบย่านาง สมุนไพรโบราณสุดมหัศจรรย์ที่เปี่ยมสรรพคุณทางยา และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เรามาทำความรู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้กันเถอะ

         ย่านาง เป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ตั้งแต่โบราณในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงการนำมาทำอาหารหลากหลายชนิด ซึ่ง หมอเขียว ใจเพชร นักวิชาการสาธารณสุข ครูฝึกแพทย์แผนไทย และนักบำบัดสุขภาพทางเลือก เคยนำมาอธิบายไว้ในหนังสือ "ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์" เกี่ยวกับประโยชน์และสรรพคุณมากมายของย่านาง ซึ่งทางภาคอีสานหมอยาโบราณเรียกย่านางว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษากลางว่า "หมื่นปีไม่แก่" และในปัจจุบัน ย่านาง ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก เพื่อรักษาอาการป่วยต่าง ๆ รวมทั้งการปรับสมดุลในร่างกาย เรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันให้มากกว่านี้ดีกว่า รับรองว่าจะต้องทึ่งกับสรรพคุณที่มากมายของย่านางแน่นอนค่ะ

          ก่อนที่จะไปดูกันถึงเรื่องสรรพคุณและประโยชน์ เรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ

          ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass ทางภาคเหนือเรียกว่า จ้อยนาง ภาคกลางเรียก เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว และภาคใต้จะเรียกว่า ยาดนาง เป็นพืชในตระกูลไม้เลื้อย กิ่งอ่อนมีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิวค่อนข้างเรียบ รากมีขนาดใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนานปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 ซม. กว้าง 2-4 ซม. ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1 ซม. ดอกออกตามซอกโคนก้านใบเป็นช่องยาว 2-5 ซม. ช่อหนึ่ง ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3-5 ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้นไม่มีกลีบดอก ผลรูปร่างกลมรีขนาดเล็ก สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดงและกลายเป็นสีดำ ย่านางเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น สามารถช่วยดับพิษร้อนต่าง ๆ ได้

คุณค่าทางโภชนาการของใบย่านาง

ในใบย่านาง 100 กรัมจะ มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้

          พลังงาน 95 กิโลแคลอรี่
          เส้นใย 7.9 กรัม
          แคลเซียม 155 มิลลิกรัม
          ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม
          เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
          วิตามินเอ 30625 IU
          วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม
          วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
          ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 141 มิลลิกรัม
          โปรตีน 15.5 เปอร์เซนต์
          ฟอสฟอรัส 0.24 เปอร์เซนต์
          โพแทสเซียม 1.29 เปอร์เซนต์
          แคลเซียม 1.42 เปอร์เซนต์
          แทนนิน 0.21 เปอร์เซนต์

สรรพคุณทางยาของย่านาง

          ย่านางนั้นมีสรรพคุณทางยาที่ขึ้นชื่อมากมาย ซึ่งสรรพคุณทางยาไม่ได้มีเพียงแค่ในใบย่านางเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนอื่น ๆ ของต้นก็มีประโยชน์มากมายเช่นกัน

ราก

          รากของย่านาง นิยมนำมาใช้เพื่อแก้อาการไข้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ หรือ ไข้ทับระดู และอาการเบื่อเมา นอกจากนี้รากของย่านางยังเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตำรับยาเบญจโลกวิเชียร หรือยา 5 ราก หรือแก้วห้าดวง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ในบัญชียาสมุนไพร โดยยาดังกล่าวเป็นสามารถรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในขณะเริ่มแรกได้ โดยนำรากแห้งต้มกับน้ำครั้งละ 1 กำมือ แล้วดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

ใบ

           ใบย่านาง คือเป็นส่วนที่มีประโยชน์และถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมากที่สุด เพราะเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น และมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกจากนี้ถูกจัดเอาไว้ในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้

รักษาและป้องกันโรคภัยต่าง ๆ

          ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
          ช่วยป้องกันและบำบัดการเกิดโรคหัวใจ
          ช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้
          สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ จะทำให้ก้อนเนื้อมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง
          ช่วยป้องกันและรักษาโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะ
          ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ
          ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง
          มีส่วนช่วยช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่าง ๆ
          มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย
          ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
          ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
          ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง
          ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ
          ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ
          ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
          ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์

ระบบทางเดินอาหาร

          ช่วยรักษาอาการท้องเสีย เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุได้
          ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน
          ช่วยแก้อาการท้องผูก ลดอาการแสบท้อง
          ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ
          ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้
          ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน

ระบบทางเดินหายใจ

          ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด
          ช่วยรักษาอาการของโรคไซนัสอักเสบ

ระบบผิวหนัง

          ช่วยชะลอและลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
          ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายแตกใต้ผิวหนังได้ง่าย
          ช่วยรักษาอาการตกกระที่ผิวเป็นจ้ำ ๆ สีน้ำตาลตามร่างกาย
          ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด
          รักษาสิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนอง โดยการน้ำใบย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากจนเหลว แล้วนำมาทา
          ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
          ช่วยรักษาอาการผิวหนังมีความผิดปกติคล้ายรอยไหม้
          ช่วยป้องกันและรักษาอาการส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า
          ช่วยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าผุ โดยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย หรือในเล็บมีสีน้ำตาลดำคล้ำ อาการอักเสบที่โคนเล็บ

ระบบสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ

          ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี
          ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ
          ช่วยแก้อาการปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการปัสสาวะออกมาเป็นเลือด
          ช่วยรักษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้
          ช่วยบำบัดรักษาโรคต่อมลูกหมากโต
          ช่วยป้องกันโรคไส้เลื่อน
          ช่วยรักษาอาการตกขาว

สร้างเสริมและบำรุงสุขภาพ

          ช่วยลดน้ำหนัก โดยการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน
          ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกายให้แข็งแรง
          ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย
          ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
          ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย
          ช่วยในการบำรุงรักษาตับ และไต
          ช่วยรักษาและบำบัดอาการอัมพฤกษ์
          ช่วยแก้อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียของร่างกาย
          ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
          ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
          ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้
          ช่วยแก้อาการง่วงนอนหลังการรับประทานอาหาร
          ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล
          ช่วยในการบำรุงสายตาและรักษาโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้ง ตามัว แสบตา ปวดตา ตาลาย เป็นต้น
          ช่วยรักษาอาการปากคอแห้ง ริมฝีปากแตกหรือลอกเป็นขุย
          ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น มีสีเหลืองหรือเขียว หรืออาการเสมหะพันคอ
          ช่วยลดอาการนอนกรน
          ช่วยแก้อาการเจ็บปลายลิ้น
          ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคหัวใจ
          ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด
          ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ

เถา

           เถาของย่านางช่วยลดความร้อนและแก้พิษตานซาง และยังมีข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุอีกว่า สามารถช่วยต้านมาลาเรีย และยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ได้

ประโยชน์ของใบย่านาง

          ใบย่านางนั้นมีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ทำให้ผมดำและนุ่มชุ่มชื้น และยังมีการนำมาทำเป็นอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของหน่อไม้ เพราะน้ำใบย่านางนั้นสามารถช่วยต้านพิษกรดยูริกที่มีในหน่อไม้ได้ แถมยังนิยมนำมาทำอาหารชนิดต่าง ๆ เช่น แกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ แกงอ่อม แกงเห็ด แกงเลียง หรือรับประทานสด ๆ กับน้ำพริกอีกด้วย

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

วิธีการทำน้ำใบย่านาง

          โดยส่วนใหญ่แล้วการนำย่านางมาใช้นั้นมักจะนำมาใช้โดยการคั้นน้ำและเอาไปเป็นส่วนผสมในการทำอาหารนำมาดื่มเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งหมอเขียวก็ได้แนะนำวิธีใช้ใบย่านางเอาไว้ในหนังสือ เรามาดูกันดีกว่าว่า น้ำใบย่านางนั้นมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง

วิธีการทำน้ำใบย่านางสูตรหมอเขียว

          สูตรนี้ เป็นการใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิลล์ คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลของร่างกาย ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้

ใบย่านาง

          เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี
          ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
          ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
          ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

วิธีทำ

          1. ใช้ใบย่านางสด มาล้างทำความสะอาดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง)

          2. กรองน้ำใบย่านางที่ได้ผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ

          3. ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหาร หรือตอนท้องว่างหรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชม. มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วันโดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลัก

หมายเหตุ

          ถ้าจะให้ได้รสชาติ คั้นกับใบเตย จะหอมอร่อยมาก หรือจะใส่กับน้ำมะพร้าวก็จะหอมชื่นใจมากขึ้น ( แต่ถ้าใส่น้ำมะพร้าวจะเสียเร็วนะ) ผักฤทธิ์เย็น นำมาคั้นร่วมกับย่านางก็ได้  เช่น  ผักบุ้ง ตำลึง ใบบัวบก ใบเตย

วิธีการทำน้ำใบย่านางสูตรทั่วไป

ส่วนผสม

          ใช้ใบย่านาง 30-50 ใบ
          น้ำดื่ม 4.5 ลิตร
          ใบเตย 10 ใบ

วิธีการทำ

          1. ตัดหรือฉีกใบย่านางและใบเตยให้เล็กลง แล้วนำไปโขลกให้ละเอียด หรือขยี้ หรือนำไปปั่น

          2. กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่เอาแต่น้ำสีเขียว แล้วนำไปดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้ 4 - 5 วัน ถ้ารสชาติเริ่มเปรี้ยวควรทิ้งทันที

วิธีการทำน้ำใบย่างนางสูตรที่ 2

ส่วนผสม

          ใบย่านาง 5-20 ใบ
          ใบเตย 1-3 ใบ
          บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ
          หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น
          ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ
          ใบเสลดพังพอน ครึ่ง–1 กำมือ
          ว่านกาบหอย 3-5 ใบ

วิธีการทำ
 
          1. ตัดหรือฉีกใบย่านาง ใบเตย ใบบัวบก หญ้าปักกิ่ง ใบเบญจรงค์ และใบเสลดพังพอนให้เล็กลง แล้วนำไปโขลกให้ละเอียด หรือขยี้ หรือนำไปปั่น

          2. กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่เอาแต่น้ำสีเขียว แล้วนำไปดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้ 4 - 5 วัน ถ้ารสชาติเริ่มเปรี้ยวควรทิ้งทันที

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

นอกจากนี้ยังมี วิธีทำน้ำใบย่านางอีกสารพัดสูตรตามเข้าไปดูเลยค่ะ "สูตรน้ำใบย่านาง"

เทคนิควิธีการปั่นใบย่านาง

          การทำน้ำใบย่านาง โดยใช้เครื่องปั่นให้คงคุณค่าสารอาหาร เทคนิคอยู่ที่วิธีการปั่นคือ ไม่ควรกดปั่นครั้งเดียวจนใบย่านางละเอียด ควรใช้วิธีกดปั่น แล้วนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว แล้วรีบกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุน แล้วกดปั่นอีกครั้งนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็วแล้วรีบกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุนทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนใบย่านางละเอียด วิธีนี้ทำให้โมเลกุลของสารอาหารไม่เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม เสร็จแล้วจึงนำมากรองเอาแต่น้ำค่ะ

แกงหน่อไม้ใบย่านาง

          หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมต้มหน่อไม้ต้องใส่ใบย่านาง ? ก็เพราะมีความเชื่อกันมาว่า หน่อไม้มีฤทธิ์ร้อน กินมาก ๆ จะทำให้ท้องอืด จึงต้องแก้ด้วยน้ำใบย่านางซึ่งมีฤทธิ์เย็น นี่เองที่ทำให้หน่อไม้กับใบย่านางกลายเป็นของคู่กันไปซะแล้ว

          ถ้ารู้แล้วว่า หน่อไม้กับใบย่านางเป็นของคู่กัน แบบนี้ก็ต้องลองมาทำเมนูที่มีทั้งหน่อไม้และใบย่านางกันดูสักหน่อย กับเมนูที่มีชื่อว่า แกงหน่อไม้ใบย่านาง เมนูโปรดของคออาหารอีสานรสแซ่บ ที่จะพาทุกคนไปอร่อยไปกับหน่อไม้กรอบ ๆ เข้ากันดีกับน้ำใบย่านาง แถมยังมีผัก และเห็ดนานาชนิดเต็มถ้วยไปหมด กลิ่นหอมฟุ้งเลยทีเดียว ยิ่งถ้าใครชอบกินปลาร้าด้วยแล้ว รับรองเลยว่าเด็ดโดนใจ แถมในน้ำใบย่านางยังมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอีกด้วย

          เอาล่ะ ถ้าใครสนใจจะเข้าครัวไปทำ แกงหน่อไม้ใบย่านางกันแล้ว ก็ตามมาดูวิธีทำแกงหน่อไม้ใบย่านางด้านล่างนี้กันได้ที่นี่เลยค่ะ "วิธีทำแกงหน่อไม้ใบย่านาง"


โทษของใบย่านาง

          ในปัจจุบันยังไม่มีการวิจัยใดพิสูจน์ได้ว่าใบย่านางนั้นมีโทษต่อร่างกายอย่างไร แต่ก็มีคำเตือนว่าผู้ที่ป่วยในโรคไตระยะสุดท้ายไม่ควรดื่มน้ำใบย่านาง เพราะสารอาหารอย่างวิตามินเอ ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมที่อยู่ในใบย่านางนั้นจะทำให้เกิดการคั่งได้หากการทำงานของไตลดลง

          นอกจากนี้ใบย่านางถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น ใบย่านางแคปซูล สบู่ใบย่านาง แชมพูใบย่านาง เครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ได้สะดวกมากขึ้น แต่ก็ควรที่จะศึกษาให้ดีก่อนนำมาใช้ เพราะบางทีอาจจะมีส่วนผสมบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพื่อความปลอดภัย ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้จะดีที่สุดนะคะ

         เป็นอย่างไรกันบ้างได้ทราบสรรพคุณที่มากมายจนน่ามหัศจรรย์ของสมุนไพรย่านางกันไปแล้ว คงจะเริ่มสนใจนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้กันแล้วใช่ไหมล่ะ แต่ก็ควรใช้ให้ถูกวิธีและเหมาะสมนะ เพราะสมุนไพรชนิดนี้ถึงมีแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าหากเราใช้มากเกินไปและไม่ถูกวิธีก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้นะจ้ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย
- สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
- morkeaw.net
- frynn.com
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #368 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2014, 08:42:46 am »
20 ประโยชน์ของสะตอ และวิธีดับกลิ่น


-http://guru.sanook.com/27257/20-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99/-



สะตอ ภาษาอังกฤษ Bitter bean, Twisted cluster bean, Stink bean เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก นิยมใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้ และในประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ ก็นิยมนำสะตอมาทำเป็นอาหารรับประทานเช่นกัน



วิธีดับกลิ่นสะตอ เมื่อทานสะตอเข้าไปแล้วหลังทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ที่รับประทานสะตอเป็นประจำอยู่แล้ว คุณเคยรู้หรือไม่ว่าสะตอมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง สะตออุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี อีกด้วย ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของสะตอและสรรพคุณของสะตอกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง?


ประโยชน์ของสะตอ
1.ประโยชน์สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา
2.ช่วยทำให้เจริญอาหาร
3.ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
4.ประโยชน์ของสะตอ ช่วยลดความดันโลหิต
5.ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น
6.มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
7.สะตอประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
8.เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
9.สรรพคุณของสะตอ ช่วยขับลมในลำไส้
10.ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
11.สะตอ สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
12.สรรพคุณสะตอ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย
13.แก้ปัสสาวะพิการ
14.ช่วยแก้ไตพิการ
15.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
16.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
17.สะตอทําอะไรได้บ้าง เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น
18.และยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ
19.ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
20.ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.termsuk.com

------------------------------------------------------------------------------



สายพันธุ์ของสะตอ

-http://nempchill.brinkster.net/bee1.htm-


พันธุ์ สะตอมี 2 ชนิด คือ





สะตอข้าว



สะตอข้าว  ลักษณะฝักเป็นเกลียว ยาวประมาณ 31 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. จำนวนเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-20 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนเนื้อเมล็ดไม่ค่อยแน่น อายุการให้ผลผลิต 3-5 ปี หลังปลูก

 

สะตอดาน

สะตอดาน  ฝักมีลักษณะตรงแบนไม่บิดเบี้ยว ยาวประมาณ 32 ซม. ความกว้างกว้างกว่าสะตอข้าวเล็กน้อย มีเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-15 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นฉุนรสเผ็ด เนื้อเมล็ดแน่น อายุการเก็บเกี่ยว 5-7 ปี

 





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #369 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2014, 09:13:28 am »


ทำน้ำผลไม้มีวิตามินซี น้ำตาล ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ไขมัน มิวซิเลจ คนไทยเมื่อครั้งอดีตรับประทานผลสุกเพื่อขับเสมหะ แก้ไอ และเป็นยาระบาย
วันเสาร์ 30 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.


พุทราป่า เป็นต้นไม้สูงมีหนามเล็กแหลม ผลกลมเล็ก เมล็ดโตมีเมือกมาก รสเปรี้ยว ผลสุกหรือผลแก่จัด ใช้รับประทานเป็นผลไม้ หรือนำมาเชื่อมเป็นผลไม้เชื่อม ทำน้ำผลไม้มีวิตามินซี น้ำตาล ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ไขมัน มิวซิเลจ คนไทยเมื่อครั้งอดีตรับประทานผลสุกเพื่อขับเสมหะ แก้ไอ และเป็นยาระบาย ผลแห้งหรือใบนำไปปิ้งไฟ หรือคั่วหรืออบให้แห้งนำมาชงน้ำดื่ม แก้ไอ เมล็ดนำมาเผาไฟ แล้วป่น ใช้รักษาซางชักของเด็ก หรือตำสุมหัวเด็ก รักษาอาการหวัดคัดจมูก และอาการบวม เป็นต้น.



-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/262856/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)