อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (73/85) > >>

sithiphong:
ผักหวานบ้านเป็นผักที่มีรสหวานเย็น จึงช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้ รากใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ ช่วยแก้ซาง พิษซาง ต้นและใบใช้ตำผสมกับสารหนู
วันเสาร์ 16 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259608/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



คนไทยเมื่ออดีตใช้ต้นและใบผักหวานบ้านตำผสมกับรากอบเชยใช้เป็นยาพอกรักษาแผลในจมูก ตำรับยาหมอพื้นบ้านบางพื้นที่ใช้รากเข้าตำรับยาฝนแก้อาการเจ็บในปาก ปากเหม็น ผักหวานบ้านเป็นผักที่มีรสหวานเย็น จึงช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้  รากใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ ช่วยแก้ซาง พิษซาง ต้นและใบใช้ตำผสมกับสารหนู ใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนังติดเชื้อ  รากและใบ นำมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกรักษาฝี แก้แผลฝี เป็นต้น.


------------------------------------------------------------------------------------

เห็ดแห้งเป็นการถนอมเห็ดไว้รับประทานนาน ๆ ทำโดยเอาน้ำออกจากดอกเห็ด เพื่อหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลส์เห็ดรวมทั้งจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งใน และรอบ ๆ ดอกเห็ด
วันพฤหัสบดี 14 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259226/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



เห็ดแห้งเป็นการถนอมเห็ดไว้รับประทานนาน ๆ ทำโดยเอาน้ำออกจากดอกเห็ด เพื่อหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลส์เห็ดรวมทั้งจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งใน และรอบ ๆ ดอกเห็ด ทำได้หลายวิธี ตากแดด เตาอบแสงอาทิตย์ เป็นต้น ขั้นตอนการทำ เริ่มด้วยแช่น้ำเย็นประมาณ 30 นาที เรียงดอกเห็ดลงในตะแกรงนำไปตากแดด กลับดอกเห็ดทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อดอกเห็ดเริ่มหมาดนำมาเทรวมกันตากต่ออีก 3–6 วัน ก็จะได้ดอกเห็ดแห้งตามต้องการ เมื่อดอกเห็ดแห้งแล้วทำการเก็บไว้เพื่อการใช้ประโยชน์มาประกอบอาหารตามที่ต้องการต่อไป โดยที่คุณค่าทางอาหารจะไม่เปลี่ยนแปลง.



------------------------------------------------------------------------------------

การปลูกผักกูดในบริเวณบ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายได้บางส่วนแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม และยังสามารถเก็บยอดอ่อนมาทำเป็นอาหารได้ด้วย
วันศุกร์ 15 สิงหาคม 2557 เวลา 00:53 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/259536/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5+%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94-



ช่วงวันหยุดยาว วันแม่ ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเดินตลาดสดที่จังหวัดเชียงราย พบว่ามีข้าวของมาวางขายจำนวนมาก ทั้งของสด สมุนไพร พืชผักพื้นบ้าน และแล้วก็ต้องมาสะดุดตากับผักชนิดหนึ่งที่มีน่าตาแปลกๆ มียอดอ่อนม้วนๆ หงิกงอ ชาวบ้านจะเรียกพืชชนิดนี้ว่า “ผักกูด” คนรุ่นใหม่น้อยคนนักที่จะคุ้นเคย หรือได้รับประทานผักชนิดนี้ ผักกูดจะถูกนำมาวางขายอย่างเรียงราย ราคาก็ถูกมากเมื่อเทียบกับปริมาณ ขายกันเพียงกำละประมาณ ๕ บาท ในกระแสที่ผู้คนหันกลับมาให้ความสำคัญกับธรรมชาติมากขึ้น ประกอบกับภาวะอาหารการกินที่แพงขึ้นมากในตอนนี้ การปลูกผักกูดในบริเวณบ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายได้บางส่วนแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม และยังสามารถเก็บยอดอ่อนมาทำเป็นอาหารได้ด้วยอีกทั้งยังเป็นผักที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ดังนั้น หากมีโอกาส ก็ลองหาผักกูดมาปลูก และเก็บยอดอ่อนมาทำอาหาร รับรองว่าจะต้องชอบกันทุกคน บทความสุขภาพสัปดาห์นี้ ผู้เขียนจึงขอนำประโยชน์ดีๆ ที่มีอยู่ในผักกูดมาให้คุณผู้อ่านได้ ทราบกันนะคะ

ในบรรดาผักกูดที่มีหลายชนิดนั้น ผักกูด ( Paco Fern ) จัดเป็นเฟิร์นชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังเป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์อีกด้วย นิยมนำยอดอ่อน และใบอ่อนมาปรุงอาหารหรือลวกจิ้มน้ำพริก เฟิร์นชนิดนี้ มักขึ้นอยู่ตามบริเวณที่ลุ่มชุ่มน้ำ ริมลำธาร หนอง บึง ในพื้นที่เปิดโล่ง หรือมีร่มเงาบ้าง ที่ระดับความสูงไม่มากถึงสูงปานกลาง กระจายพันธุ์อยู่ในเขตร้อนทั่วไปของเอเชีย ตั้งแต่ภาคกลางของจีน ภาคใต้ของญี่ปุ่น ลงไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิกในบ้านเราพบได้ทั่วไปแทบทุกภูมิภาค ที่สภาพดินไม่แห้งแล้ง

ผักกูดชนิดที่กินได้นี้ ตอนอายุยังน้อย ใบจะแตกเป็นรูปขนนกชั้นเดียวคู่ขนานกันไปตั้งแต่โคนใบถึงปลายใบ เมื่ออายุมากขึ้น ใบจะเปลี่ยนเป็นรูปขนนก ๒ ชั้น ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอย เติบโตได้ดีในฤดูฝนในที่โล่งแจ้งและมีน้ำชื้นแฉะ จะพบในป่าโปร่งที่มีแสงแดดส่องมากกว่าในพื้นที่ป่าทึบ พบขึ้นหนาแน่นตามบริเวณลำธาร หรือบริเวณต้นน้ำ ปลูกได้ตามชายคลอง ห้วยหนอง ต้นจะแห้งเฉาในฤดูแล้ง แต่จะแตกหน่อใหม่ในฤดูฝน ผักกูดชอบความชื้นสูง และบริเวณดินชื้นแฉะผักกูดเป็นผักบอกสภาวะแวดล้อมให้เราทราบว่า บริเวณไหนอากาศไม่ดี ดินไม่บริสุทธิ์มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่เจริญหรือแตกต้นในบริเวณนั้น เราสามารถใช้ผักกูดเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมได้ เนื่องจากบริเวณที่มีผักกูดขึ้นนั้น จะเป็นพื้นที่ๆมีอากาศ บริสุทธิ์ ดินดี ไม่มีสารเคมีเจือปน หากต้องการหาผักกูด ต้องไปหาตามพื้นที่ๆ ใกล้ลำธาร หรือพื้นที่มีน้ำขังแฉะและมีอากาศเย็น

ส่วนที่ใช้บริโภคของผักกูก คือ ยอดอ่อน ใบอ่อน แต่ในช่วงหน้าแล้ง ผักกูดจะมีรสชาติอร่อยกว่าฤดูอื่นๆนะคะ

ในส่วนที่รับประทานได้ ๑๐๐ กรัม จะให้พลังงาน ๑๙ กิโลแคลอรี่ มีเส้นใย ๑.๔กรัม แคลเซียม ๕ มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๓๕ มิลลิกรัม เหล็ก ๓๖.๓ มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมี วิตามินเอ วิตามินบี๑ วิตามินบี๒ วิตามินซี และไนอาซิน ค่อนข้างสูง ผักกูดจะมีรสจืดอมหวาน กรอบ หยุ่น เป็นผักที่มีเส้นใยกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายดี เก็บยอดอ่อนและ ใบอ่อน นำมาลวกหรือต้มให้สุก ใช้เป็นผักจิ้มกินกับน้ำพริกตาแดง น้ำพริกต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำพริกถั่ว (น้ำพริกเจ) หรือนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ยำ ผัด ต้มกะทิ แกงจืด แกงเลียง แกงส้ม แกงแคร่วมกับผักชนิดต่างๆ เมนูอาหารจากผักกูดที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย ไข่เจียวผักกูด แกงจืดผักกูดหมูสับ เป็นต้น สามารถทำกินได้ง่าย หรือจะลองดัดแปลงเป็นเมนูอื่นๆ อีกก็ได้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะนำใบอ่อน ยอดอ่อน มาแกงกับปลาน้ำจืด หรือลวกจิ้มน้ำพริกชนิดต่างๆ นำมาทำยำผักกูด หรือผัดน้ำมันหอย แกงกะทิกับปลาย่าง ลวกกะทิ ไม่นิยมกินสดๆ กัน เพราะจะมียางเป็นเมือกอยู่ที่ก้าน แม้จะเก็บใบสดไว้ในตู้เย็น เก็บได้ ๒ - ๓วัน ก็จะเป็นเมือก ควรเก็บใบสดกินวันต่อวัน จะดีกว่าเก็บมามากๆ แล้วกินไม่หมด

ผักกูดยังมีสรรคุณทางยา หากนำใบผักกูดมาต้มน้ำดื่ม แก้ไข้ตัวร้อน บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง ลดโคเลสเตอรอลในเม็ดเลือด

ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานดิบ เพราะว่าผักกูดมีสารออกซาเลตสูง ควรต้มหรือปรุงให้สุกก่อนนะคะ

ทราบประโยชน์ของผักกูดแล้ว เดินตลาดครั้งต่อๆไป อย่าลืมหาผักกูดมาปรุงอาหารกันนะคะ

โดย “PrincessFangy”

Twitter @Princessfangy

ข้อมูลบางส่วนจาก http://agrimedia.agritech.doae.go.th



------------------------------------------------------------------------------------


สาละเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ดอกใหญ่สีแดงชมพู เกสรสีเหลืองใหญ่ กลีบดอกคล้ายดอกบัว
วันศุกร์ 15 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259404/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



สาละเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ดอกใหญ่สีแดงชมพู เกสรสีเหลืองใหญ่ กลีบดอกคล้ายดอกบัว ใบเดี่ยวออกเวียนสลับตามปลายกิ่งรูปใบหอกกลับ ปลายแหลม โคนสอบ มน ขอบใบจักตื้น ๆ  ในอดีตนิยมนำต้นสาละมาทำเครื่องเรือน เช่น เสา ไม้แป ไม้เคร้า ขื่อ ใช้ต่อเรือ ทำเกวียน บางประเทศนำมาทำไม้หมอนรองรางรถไฟ ทำสะพาน ส่วนเมล็ดนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ ในเมล็ดมีน้ำมันนำมาประกอบอาหารได้   เช่น ทำเนย คนไทยโบราณเคี้ยวเอาน้ำมันมาใช้กับตะเกียง รวมทั้งใช้ทำสบู่ในทางการแพทย์แผนไทยนำยางใช้สมานแผล ห้ามเลือด แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบเป็นต้น.





sithiphong:
10 เมนูเสี่ยงทิ้งค้างมื้อ ระวังอาหารเป็นพิษ

-http://club.sanook.com/40507/10-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%89/-


โรคอาหารเป็นพิษ พบได้ทั่วโลก การระบาดมักเกิดจากการบริโภคอาหารทะเลที่ปรุงไม่สุกและน้ำที่ปนเปื้อน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่อบอุ่นของปี สำหรับประเทศไทยอัตราป่วยโรคอาหารเป็นพิษมีแนวโน้มสูงขึ้นมีรายงานระบุเชื้อก่อโรคได้เพียงร้อยละ 0.1-6 เนื่องจากอาการป่วยไม่รุนแรง ผู้ป่วยมักไม่มารับการตรวจและรักษา ในสถานบริการสุขภาพ การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนทั่วถึง สดใหม่และสะอาด หมั่นล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย ป้องกันโรคได้

 

10 เมนูเสี่ยง

นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคอาหารเป็นพิษ เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้อธิบายถึงอาการป่วยที่เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ได้แก่ ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ พยาธิ ปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี หรือโลหะหนัก เป็นต้นซึ่งอาจมีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การเก็บรักษา การประกอบอาหาร และการบริการอาหาร บางครั้งอาการอาหารเป็นพิษ อาจเกิดจากการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษโดยตรง เช่น เมล็ดสบู่ดำ ลูกโพธิ์ ปลาปักเป้า คางคก เป็นต้น

 

การระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ พบได้จากการที่คนจำนวนมากรับประทานอาหารปนเปื้อนร่วมกัน และมีอาการอย่างรวดเร็วหลังจากรับประทานอาหารแล้ว อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ส่วนใหญ่ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและปวดมวนท้องรุนแรงเฉียบพลัน บางครั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้และปวดศีรษะ บางครั้งมีอาการคล้ายเป็นบิด ถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูก ไข้สูง และมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง เป็นโรคที่ไม่ค่อยรุนแรง มีระยะเวลาดำเนินโรค 1-7 วัน การติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกายและการตายพบได้ แต่พบน้อยมาก ระยะฟักตัว ปกติ 6-25 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4-30 ชั่วโมง การติดต่ออาหารที่ต้องให้ระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าปรุงไว้นานหรือค้างมือ 10 เมนู ได้แก่ ลาบ และก้อยดิบ ยำกุ้งเต้นยำหอยแครง ข้าวผัดโรยเนื้อปู อาหารผสมกะทิ หรือราดกะทิ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมจีน ข้าวมันไก่ ส้มตำ สลัดผัก น้ำและน้ำแข็ง

 

10 เมนูเสี่ยง

นายแพทย์โสภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โรคอาหารเป็นพิษ มักป่วยไม่รุนแรง รักษาได้ตามอาการ เช่น อาการปวดท้อง และการทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ ด้วยสารละลายเกลือแร่ และน้ำตาลทางปาก ไม่แนะนำการให้ยาปฏิชีวนะ การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษทุกสาเหตุสำคัญที่สุด ด้วยมาตรการป้องกันโรคตามกฎหลัก 10 ประการดังนี้

1. เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบควรรับประทานเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่เท่านั้น หากมีปริมาณที่เหลือแล้วไม่ควรเก็บไว้ เพราะจะบูดเสียง่าย ผักสดต้องล้างให้สะอาด

2. ปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนทั่วถึง ในกลุ่มของอาหารทะเลต้องปรุงสุก หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะกุ้ง หอย ปลาหมึก

3. ควรกินอาหารที่สุกใหม่ๆ ควรรับประทานทันทีไม่เกิน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุงเสร็จเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมักเสียง่ายไม่ควรทิ้งค้างคืน

4. ระมัดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน

5. อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อน

6. แยกอาหารดิบและอาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน ส่วนอาหารถุงและอาหารกล่อง ควรบรรจุแยกกันระหว่างข้าวและกับข้าว

7. ล้างมือก่อนจับต้องอาหารเข้าสู่ปาก

8. รักษาความสะอาดของห้องครัว อุปกรณ์ประกอบอาหารและรับประทานอาหาร

9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ

10. ใช้น้ำสะอาด น้ำดื่มและน้ำแข็งควรเลือกที่บรรจุภัณฑ์มีเครื่องหมาย อย.รับรอง ภาชนะปิดแน่นและไม่นำน้ำแข็งที่ใช้แช่ของมารับประทาน

 

และสำหรับส้มตำที่นิยมรับประทานกันมาก ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการปรุงจะใส่วัตถุดิบที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคทั้งปลาร้า ปูดอง ผักสด ทั้งมะละกอ มะเขือ หากล้างไม่สะอาดจะทำให้เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วงได้ง่าย มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น อาเจียนมาก รับประทานอาหารและน้ำไม่ได้ ถ่ายเหลวไม่หยุด มีไข้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ให้รีบมาพบแพทย์

ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร 0-2590 3183 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นายแพทย์โสภณ กล่าว

 

ข้อมูลจาก :: กรมควบคุมโรค

ภาพประกอบจาก :: thinkstockphotos.com

sithiphong:
ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !


-http://guru.sanook.com/27261/%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-33-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของฝรั่ง

 

               1.              มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี

               2.              ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

               3.              ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ

               4.              เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

               5.              ช่วยลดไขมันในเลือด

               6.              สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง

               7.              ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

               8.              ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

               9.              ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

              10.            ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้

              11.            ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง

              12.            ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน

              13.            ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม

              14.            ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

              15.            รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล

              16.            น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ

              17.            น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ

              18.            ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง

              19.            ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด

              20.            ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก

              21.            ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย

              22.            ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

              23.            ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้

              24.            ใบใช้แก้แพ้ยุง

              25.            ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

              26.            ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

              27.            รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง

              28.            ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

              29.            ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป

              30.            การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

              31.            เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า

              32.            นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด

              33.            นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ www.phyathai.com



sithiphong:
21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด

-http://cooking.kapook.com/view95757.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          น้ำจิ้ม ถือเป็นเครื่องจิ้ม เครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น แถมอาหารบางอย่างก็ไม่สามารถยกไปเสิร์ฟได้เลยถ้าไม่มีน้ำจิ้ม แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า น้ำจิ้มแต่ละถ้วยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

          ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ก็ยังไล่เรียงชื่อน้ำจิ้มแต่ละถ้วยไม่หมดสักที มีหลายชนิดซะเหลือเกิน เลือกกินเลือกจิ้มคู่กับอาหารได้มากมายทั้งคาว-หวาน โดยเฉพาะคนไทย น้ำจิ้มถือเป็นเครื่องเคียงที่ขาดไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะกินอาหารเมนูไหน ๆ ก็มักจะมีน้ำจิ้มแซมมาให้เห็นอยู่เสมอ แต่ทว่า น้ำจิ้มแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไป ส่วนผสมก็แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อดย่างไรว่า น้ำจิ้มยอดฮิตที่เราชอบกินกันนั้นมีวิธีทำอย่างไรบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ได้รวบรวมสูตรน้ำจิ้ม และวิธีทำน้ำจิ้มยอดฮิตมาฝากถึง 21 สูตรน้ำจิ้มด้วยกัน ชอบสูตรไหนก็เลือกจิ้มกันได้ตามใจชอบเลยจ้า

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มสุกี้

1. น้ำจิ้มสุกี้
         
          ถ้าวันไหนครอบครัวของคุณเกิดอยากจะจัดปาร์ตี้สุกี้ขึ้นมา แล้วกลัวว่า น้ำจิ้มที่ซื้อมาจะไม่พอ ก็มาทำกินเองซะเลยดีกว่า ได้ทีเดียวหม้อเบ้อเริ่ม เป็นน้ำจิ้มสุกี้สูตรมาจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

สิ่งที่ต้องเตรียม
         
          ซอสพริก 1 ขวดใหญ่

          น้ำส้มสายชู 3 ทัพพี

          ซอสมะเขือเทศ 1 ทัพพี

          ซีอิ๊วขาว 3 ทัพพี

          ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี

          กระเทียมดอง 2 ทัพพี

          น้ำตาลทราย 3 ทัพพี

          พริกชีฟ้าแดง 9 เม็ด

          กระเทียม 6 กลีบ

          เต้าหู้ยี้ 4 ชิ้น

          งาขาวคั่ว บดพอหยาบ 1 กำมือ

          น้ำมันงา 2 ทัพพี

          ผักชี และผักชีฝรั่งซอย

วิธีทำ
         
          1. ใส่ซอสพริกลงในกระทะ ตามด้วยน้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำกระเทียมดอง และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
          2. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้เข้ากันจนแหลก ใส่เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำลงไป บดทุกอย่างจนเข้ากัน จากนั้นตักใส่ในกระทะที่มีซอสพริก
         
          3. คนส่วนผสมในกระทะเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนผสมจนเดือด ปิดไฟ
         
          4. ใส่งาขาวคั่วบดลงไป ตามด้วยน้ำมันงา ค่อย ๆ คนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ผักชีและผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้กินกับสุกี้




21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มซีฟู้ด

2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
         
          อีกหนึ่งสูตรน้ำจิ้มที่ใคร ๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดสามารถนำไปจิ้มกินกับอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมก็คงจะเป็นอาหารทะเล ย่างสด ๆ ร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดเด็ด ๆ แบบนี้ อร่อยเด็ด !

ส่วนผสม
         
          พริกขี้หนูสวน 20 เม็ด

          พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด

          กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย

          รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือ 4 ช้อนชา

          น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา

          น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย

          น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
         
          1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
         
          2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




3. น้ำจิ้มหมูกระทะ
         
          คงจะมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่ชอบทำหมูกระทะกินกันเอง สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้กันไป นอกจากจะหมักหมู และเครื่องต่าง ๆ ให้อร่อยแล้ว หัวใจหลักสำคัญของอาหารปิ้งย่างก็ต้องอยู่ที่น้ำจิ้มด้วย ไปซื้อแบบสำเร็จมากินก็ไม่ถูกปาก ลองมาทำกินเองดีกว่าตามสูตรที่เรานำมาฝากนี้เลย รับรองว่า อร่อยจ้า

ส่วนผสม
         
          ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วย

          ซอสพริก 3/4 ถ้วย

          ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย

          เต้าหู้ยี้ บดพอหยาบ 1 ก้อน

          น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ

          พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

          ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา

          งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. ใส่ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วขาว และเต้าหู้ยี้ ลงในหม้อคนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง คนผสมตลอดเวลาจนเดือด
         
          2. ใส่น้ำมันงา พริกไทย ผงพะโล้ และงาขาวคั่วครึ่งหนึ่งลงไป คนผสมจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย โรยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ




4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
         
          เมนูหมูสะเต๊ะถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีเสน่ห์อยู่ที่น้ำจิ้ม เนื้อสัตว์หมักเครื่องเทศย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มสะเต๊ะผัดหอม ๆ รสหวานกลมกล่อม  ๆ ยิ่งได้กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดยิ่งอร่อยครบรสขึ้นไปอีกว่าแล้วก็มาจดสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะไปลองทำกันเลยจ้า

ส่วนผสม
         
          กะทิ 2 ถ้วย

          ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/2 ถ้วย

          น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ

          น้ำตาลทรายปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ

          น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ

          เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. ใส่กะทิ 1 ถ้วย ลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนกะทิแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงและถั่วลิสงคั่วบดลงผัดให้เข้ากัน เติมกะทิที่เหลือ คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟลง หมั่นคนตลอดเวลา
         
          2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือ เคี่ยวจนข้น และมีน้ำมันลอยหน้า ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




5. น้ำจิ้มอาจาด
         
          ในเมื่อมีน้ำจิ้มสะเต๊ะอร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องมาคู่กับน้ำจิ้มอาจาด เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย น้ำจิ้มอาจาดไม่ใช่แค่กินกับเมนูสะเต๊ะได้อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปกินกับพวกทอดมัน ขนมปังหน้าหมู หรืออาหารทอด ๆ อย่างอื่นได้อีกด้วย

ส่วนผสม
         
          น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย

          เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

          แตงกวาซอย

          หอมแดงซอย

          พริกชี้ฟ้าแดงเม็ดใหญ่ซอย

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. เวลาเสิร์ฟ ตักอาจาดใส่ถ้วย ตามด้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มแจ่ว

6. น้ำจิ้มแจ่ว
         
          เชื่อเลยว่า น้ำจิ้มแจ่วสไตล์อีสานเป็นอีกหนึ่งน้ำจิ้มที่หลายคนชอบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าทำกินเอง จะอร่อยเหมือนที่แถมมาจากร้านหรือเปล่า รับรองว่าสูตรน้ำจิ้มแจ่วด้านล่างนี้ อร่อยเป๊ะ ! เป็นสูตรมาจาก คุณเนินน้ำ

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 50 กรัม

          น้ำอุ่น 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ

          น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

          พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ

          หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอนุ่ม คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
         
          2. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาเข้าด้วยกันในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเหนียว เติมพริกป่น ข้าวคั่วป่น คนพอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนอุ่น
         
          3. ตักใส่ถ้วยโรยด้วยผักชีฝรั่งซอย และหอมแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



7. น้ำจิ้มลูกชิ้น
         
          เวลาซื้อลูกชิ้นสุดโปรดแบบเป็นกิโล ๆ มากิน ถึงแม้ว่าเนื้อลูกชิ้นจะอร่อยนุ่มนิ่มขนาดไหน แต่ถ้านำมาจิ้มกินกับน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปธรรมดา ๆ ก็หมดราคากันพอดี แบบนี้ก็ต้องทำน้ำจิ้มลูกชิ้นไว้กินเองได้แล้ว

ส่วนผสม
         
          พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 20 เม็ด

          กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ

          กระเทียมดอง 3 หัว

          น้ำ 1 ถ้วย

          น้ำมะขามเปียก 1 1/4 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย

          เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. ใส่พริกแห้ง กระเทียม กระเทียมดอง และน้ำลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงไป เคี่ยวจนข้นเหนียว ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




8. น้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวาน
         
          พอถึงหน้าสะเดาออกดอก วัยรุ่นเก๋า ๆ หน่อยก็จะปลื้มปริ่ม เพราะจะได้ซื้อสะเดามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แต่ถ้าเป็นวัยว้าวุ้นก็คงจะร้องยี้ให้กับความขมปี๋ของสะเดา แต่พอเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวานก็ช่วยลดความขมลงไปได้เยอะ แถมเข้ากันดีอย่าบอกใครเชียว ถ้าที่บ้านไหนได้รับสะเดามาเป็นของฝากหน้าหนาว ก็ลองมาทำน้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวานกินกันเองเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย

          น้ำปลา 1/4 ถ้วย

          หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย

          หอมแดงเจียว

          พริกขี้หนูแห้งทอด

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้พออุ่น
         
          2. ใส่หอมแดงซอย คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย โรยหอมแดงเจียว และพริกขี้หนูแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ




9. น้ำจิ้มข้าวมันไก่
         
          ข้าวมันไก่หลากหลายสูตร จะเจ้าดัง ๆ หรือไม่ดัง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ทีเด็ดดความอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำจิ้ม ถ้าน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะลองทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มกินเอง จะไปกลัวอะไร เพราะเรามีสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อย ๆ มาฝากแล้ว

ส่วนผสม
         
          เต้าเจี้ยว บดพอหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ

          ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา

          น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ

          ขิงอ่อนสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูแดงสับละเอียด

วิธีทำ
         
          1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนผสมจนละลายเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มข้าวหมกไก่

10. น้ำจิ้มข้าวหมกไก่ (น้ำจิ้มสะระแหน่)
         
          หลายคนเรียกน้ำจิ้มชนิดว่า น้ำจิ้มข้าวหมกไก่กันจนติดปาก และอาจจะนึกไปว่าทำมาจากพริกขี้หนูเขียวผสมกับใบโหระพาหรือผักชี แต่จริง ๆ แล้วเป็นน้ำจิ้มที่ผสมใบสะระแหน่ เลยทำให้น้ำจิ้มข้าวหมกไก่มีกลิ่นหอมเย็น ๆ ซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรมาจาก คุณบ่งบ๊ง ที่นำเสนอไว้ในวิธีทำข้าวหมกไก่ แถมน้ำจิ้มข้าวหมกไก่สูตรนี้ยังสามารถนำไปกินกับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนได้อีกด้วยนะคะ

ส่วนผสม
         
          น้ำส้มสายชู

          น้ำตาลทราย

          กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ

          พริกชี้ฟ้าเขียว หรือพริกขี้หนูเขียว

          ผักชีไทย

          ใบสะระแหน่

          เกลือป่น

          นมเปรี้ยว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย พักไว้จนเย็น
         
          2. ใส่กระเทียม พริก ผักชีไทย และใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมให้ละเอียด เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำส้มสายชู เติมเกลือป่น ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




11. น้ำจิ้มหอยทอด
         
          หอยทอดก็เป็นอาหารจานเดียวอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทำกินกันเองที่บ้าน เพราะวิธีทำไม่ได้ยากจนเกินไป แน่นอนว่า หอยทอดจะอร่อยได้ครบรสนั้น ต้องมีน้ำจิ้มหอยทอดอร่อย ๆ เคียงคู่กันมาด้วย ไหน ๆ ก็ทำหอยทอดกินเองแล้ว ก็ทำน้ำจิ้มหอยทอดกินเองไปด้วยเลยน่าจะดีนะคะ

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 2 เม็ด

          น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

          เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

          น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย+2 ช้อนโต๊ะ

          ซอสพริก 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชูลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนส่วนผสมข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่พริกชี้ฟ้าโขลกละเอียด และซอสพริก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




12. น้ำจิ้มข้าวขาหมู
         
          ข้าวขาหมู ถ้าให้กินแบบไม่มีน้ำจิ้มก็คงจะเลี่ยนไปหน่อย ใครที่ทำข้าวขาหมูเป็นแล้วก็ลองมาทำน้ำจิ้มข้าวขาหมูรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ กินแก้เลี่ยนควบคู่กันไปด้วย

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด

          กระเทียมไทย 20 กลีบ

          รากผักชี 3 ราก

          เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

          น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกชี้ฟ้าเหลือง กระเทียม รากผักชี และเกลือเข้าด้วยกันพอหยาบ
         
          2. เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




13. น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)
         
          ถึงเวลาไหว้เจ้าทีไร ก็จะได้กินไก่ต้มน้ำปลา หรือไก้ต้มถาดเบ้อเริ่ม แต่ถ้ากินแบบไร้น้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงจะจืดชืดไร้รสชาติ มาทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลากินเองซะเลยดีกว่า เตรียมไว้เวลาไหว้เจ้าปีหน้า จะได้พร้อมแซ่บ !

ส่วนผสม
         
          พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ

          กระเทียม 5 กลีบ

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมไก่ต้มน้ำปลา




14. น้ำจิ้มขนมจีบ
         
          ใครที่ชอบกินขนมจีบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันไม่ชอบกินคู่กับซอสเปรี้ยวหรือน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่เหม็น ๆ ก็ลองมาทำน้ำจิ้มขนมจีบสูตรนี้ เตรียมไว้กินกับขนมจีบดู ถึงจะมีจิ๊กโฉ่ผสมอยู่ด้วย แต่รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน อร่อยแน่นอน

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด

          กระเทียมไทย 2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

          ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่) 2 ช้อนโต๊ะ

          เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกชี้ฟ้ากับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย จิ๊กโฉ่ และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย ใส่เครื่องที่โขลกไว้ คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม


15. น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม
         
          เวลากินอาหารประเภทลวกจิ้ม เราก็จะได้เห็นน้ำจิ้มเต้าเจี๊ยวเสิร์ฟมาเคียงคู่อยู่เสมอ กินคู่กันได้ความอร่อยที่เข้ากันดีมาก รสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป แถมยังดับกลิ่นคาวของปลา หรืออาหารทะเลได้หมดจดอีกด้วย

ส่วนผสม
         
          เต้าเจี้ยวดำ บดพอหยาบ 1/3 ถ้วย

          ขิงแก่โขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูสีเขียว-แดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วย

          น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. ใส่เต้าเจี้ยวดำบดลงในอ่างผสม ใส่ขิง พริกขี้หนู และน้ำต้มสุก คนผสมให้เข้ากัน
         
          2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




16. น้ำจิ้มเต้าหู้ทอด
         
          น้ำจิ้มเต้าหู้ทอดที่นอกจากจะไว้กินกับเต้าหู้ทอดได้แล้ว ยังสามารถไว้กินกับอาหารทอดเพื่อนซี้อย่าง เผือดทอด มันทอด และข้าวโพดดทอดได้อีกด้วย

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย

          เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/4 ถ้วย

          พริกป่น ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนส่วนผสมเดือด และข้น ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้
         
          2. ตักส่วนผสมใส่ถ้วย เติมพริกป่น และถั่วลิสงคั่วบดหยาบ คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ




17. น้ำจิ้มยำมะม่วง
         
          เวลาที่สั่งปลาแดดเดียวทอด ปลาทอดน้ำปลา ยำปลาดุกฟู ก็จะเห็นน้ำจิ้มยำมะม่วงถ้วยนี้เสิร์ฟมาเพิ่มรสชาติความแซ่บอยู่ด้วยเสมอ มีมะม่วงเปรี้ยวขูดเป็นเส้น ๆ เพิ่มความเปรี้ยวแซ่บขึ้นไปอีก

ส่วนผสม
         
          น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามความชอบ

          น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

          มะม่วงดิบสับเป็นเส้น

          หัวหอมแดงซอย

          เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามชอบ)

          ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน

  วิธีทำ

          1. ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. เติมน้ำมะนาวลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยมะม่วงสับ หอมแดงซอย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ และใบขึ้นฉ่าย พร้อมเสิร์ฟ




18. น้ำจิ้มเทมปุระ
         
          อาหารญี่ปุ่นแบบทอดพวกเทมปุระ นอกจากจะมีความอร่อยกรุบกรอบของตัวอาหารเองแล้ว อย่าลืมนะคะว่า น้ำจิ้มเทมปุระก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เทมปุระของคุณครบเครื่องความอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มเทมปุระตำรับญี่ปุ่นแท้ ๆ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปดาชิ หรือน้ำซุปปลาโอแห้ง ที่จะทำให้น้ำจิ้มถ้วยนี้ของคุณ แตะความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ มากขึ้น มาดูวิธีทำกันเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          น้ำซุปดาชิ 1/2 ถ้วย (น้ำซุปปลา)

          ซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) 1/3 ถ้วย

          เหล้ามิริน หรือสาเก 1/3 ถ้วย

          ขิงและหัวไช้เท้าขูดละเอียดปริมาณตามชอบ

ส่วนผสม น้ำซุปดาชิ

          น้ำ 3 ถ้วย

          สาหร่ายคอมบุ (เช็ดให้สะอาด) 2 ชิ้น

          ปลาโอขูดแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ

          หมายเหตุ : ถ้าไม่สะดวกให้ใช้ผงฮอนดาดชิสำเร็จรูปผสมกับน้ำแทน

วิธีทำ

          1. ทำน้ำซุปดาชิ โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สาหร่ายคมบุลงต้มด้วยไฟอ่อนจนสาหร่ายพองเต็มที่ (ประมาณ 30 นาที) ตักสาหร่ายออก
         
          2. ใส่ปลาโอขูดแห้งลงต้มด้วยไฟแรงจนเดือดอีกครั้ง ช้อนเอาฟองอากาศออก ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที จนเนื้อปลาจมลงด้านล่าง จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          3. ใส่น้ำซุปดาชิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และมิรินลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมกับกับขิงและหัวไช้เท้าขูด




19. น้ำจิ้มเมี่ยงคำ
         
          อาหารว่างแบบไทย ๆ อย่างเมี่ยงคำ ทีเด็ดก็อยู่ที่น้ำจิ้มเมี่ยงคำ หวาน ๆ เค็ม ๆ ตักราดบนเครื่องเคียงเคี้ยวกันตำโต ๆ กินอิ่มกินเพลินกันได้ทั้งครอบครัว อร่อยครบเครื่อง แถมยังมีประโยชน์ด้วย วันหยุดนี้ใครอยากจะลองทำเมี่ยงคำกินกันก็ลองมาดูสูตรน้ำจิ้มเมี่ยงคำกันทางนี้เลย

ส่วนผสม
         
          ข่าหั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น

          ตะไคร้ซอยบาง 1 ต้น

          กะปิอย่างดี 2 ช้อนชา

          น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย

          กุ้งแห้งโขลกละเอียด

          ถั่วลิสงโขลกละเอียด

          มะพร้าวคั่วโขลกละเอียด

วิธีทำ
         
          1. โขลกข่ากับตะไคร้ให้ละเอียด ใส่กะปิลงโขลกผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำ และน้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่โขลกไว้คนผสมให้เข้ากัน เคี่ยวจนส่วนผสมเหนียวและข้น ยกลงจากเตา พักไว้พออุ่น
         
          3. ใส่กุ้งแห้งโขลก ถั่วลิสงโขลก และมะพร้าวคั่วโขลกลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




20. น้ำปลาหวาน
         
          ถ้าพูดถึงมะม่วงเปรี้ยว ๆ ก็ต้องนึกถึงน้ำปลาหวาน ยังไงซะก็ต้องมาคู่กัน จิ้มกินกันเพลิน ๆ อร่อยสะใจดีจริง ๆ ถ้าวันไหนเกิดเปรี้ยวปาก อยากกินมะม่วงน้ำปลาหวานขึ้นมา ก็มาดูวิธีทำน้ำปลาหวานกันทางนี้ ทำใส่โหล แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้เป็นเดือน ๆ เลยนะจ๊ะ อยากจะกินตอนไหนก็จัดไปเลย

ส่วนผสม
           
          น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม

          กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา

          น้ำปลาอย่างดี 4 ช้อนโต๊ะ

          กุ้งแห้งตำพอหยาบ  ¼ ถ้วยตวง

          หอมแดงซอยบาง  5 หัว

          พริกขี้หนูสวนซอย ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
           
          1. ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิ และน้ำปลา ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลาย
           
          2. ใส่กุ้งแห้ง หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย เคี่ยวจนน้ำปลาหวานมีลักษณะใสขึ้น ปิดไฟ ยกลง ทิ้งไว้สักพักให้ฟองหายไป
           
          3. ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอย และพริกขี้หนูซอยเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ




21. กะปิหวาน
         
          เวลาได้มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดมาสักหนึ่งลูก นอกจากน้ำปลาหวานคู่ชีพแล้วจะมีอะไรเด็ดไปกว่า กะปิหวาน นึกถึงก็น้ำลายสอข้างปาก แผล่บ ! ลองมาดูวิธีทำกะปิหวานรสเด็ดที่ว่านี้กันเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          กะปิอย่างดี 5 ช้อนโต๊ะ

          น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

          น้ำ 1/4 ถ้วย

          หอมแดงซอย

          พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
         
          1. ใส่กะปิ น้ำตาลทราย และน้ำ ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งบนไฟกลาง เคี่ยวจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่หอมแดง และพริกขี้หนูซอยลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

          เป็นอย่างไรกันบ้างกับสูตรน้ำจิ้มหลากหลายสูตรที่เรานำมาฝาก นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม ๆ เท่านั้นนะคะ ใครชอบสูตรไหน แบบไหน ก็เลือกจิ้มกันได้ตามชอบเลยจ้า



http://cooking.kapook.com/view95757.html

sithiphong:
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารสกัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com



-------------------------------------------------------------------------


ผลวิจัยชี้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเกินไป ทั้งราเม็ง บะหมี่เหลือง รวมถึงวุ้นเส้น เพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน


-http://campus.sanook.com/1373117/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2/-



ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร นิวทริชั่น ( Nutrition ) พบว่า "ราเม็ง" รวมถึงผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอื่นๆ อาจทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน โดยเฉพาะผู้หญิง โดยนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ยืนยันว่า ผลวิจัยชุดนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนจำนวนมากหันมาบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปริมาณมาก โดยไม่รู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

ทั้งนี้ ผลวิจัยนี้ได้มาจากการศึกษาผู้ใหญ่อายุระหว่าง 19-64 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน ผ่านการสำรวจโดยตัวแทนของสถาบันตรวจสอบโภชนาการและสุขภาพแห่งชาติเกาหลีเมื่อปี 2007-2009 พบว่า การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทั้ง ราเม็ง , บะหมี่เหลือง , วุ้นเส้น และอื่นๆ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ จะมีส่วนเชื่อมโยงกับโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งจะไปทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบไต รวมถึงระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายทำงานผิดปกติ และเนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมักใส่อยู่ในถ้วยโฟม ซึ่งมีสารบีพีเอ ซึ่งเป็นสารรบกวนระบบฮอร์โมน ดังนั้น ผู้หญิงที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อยๆ จึงมีผลกระทบกับร่างกายมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังเต็มไปด้วยส่วนผสมที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารกันบูด ผงชูรส และมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูงมาก

อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีตัวเลขการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อคนต่อปีมากที่สุดในโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงพบคนเกาหลีมีปัญหาสุขภาพกันมาก ทั้งโรคหัวใจและโรคอ้วน

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version