อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (74/85) > >>

sithiphong:
มาแรงจริง! "มะม่วงหาว มะนาวโห่" มหัศจรรย์สมุนไพร แบบไม้ประดับ (มุมเกษตร)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2557 10:54 น.


-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000096581-



     มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นพืชอีกตัวหนึ่ง ที่กำลังได้รับการจับตาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะด้วยคุณสมบัติ และคุณประโยชน์สรรพคุณ จากผลงานวิจัยพบว่า มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีสรรพคุณถึง 53 ประการในการดูแลปรับสมดุลร่างกาย เฉกเช่น สมุนไพรไทยอีกหลายตัว
       
       มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีคุณสมบัติเด่น คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันมะเร็ง ชะลอการแก่ก่อนวัย ช่วยบำรุงโลหิต ขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคหัวใจ รักษาโรคปอด และถุงลมโป่งพองได้ ฯลฯ และด้วยคุณสมบัติมากมายของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ทำให้ ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป พยายามหาพืชสมุนไพร ชนิดนี้มาปลูก หรือ หาซื้อผลของมะม่วงหาว มะนาวโห่ มารับประทานกัน

ทั้งนี้ มะม่วงหาวมะนาวโห่ ที่ได้รับความนิยม มากไม่ใช่เพียงเพราะคุณสมบัติมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่มะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นเป็นที่ชื่นชอบกลุ่มคนที่ชอบปลูกไม้ประดับ ด้วย เพราะผลและดอกที่สวยงาม บวกกับคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น ยิ่งส่งผลให้มะม่วงหาว มะนาวโห่ ได้รับความนิยมจากคนที่ซื้อไปไม้ประดับมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับ แต่สามารถรับประทานเป็นยาได้
       
       สำหรับมะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่ เพราะปลูก และดูแลง่าย ซึ่งสรรพคุณทางยานั้นใช้ได้ทุกส่วน ราก ลำต้น ใบ และผล และในส่วนของผลก็จะมี 4 ระยะ แต่ละระยะให้สีแตกต่างกัน ทำให้เหมาะกับการเป็นไม้ประดับอย่างมาก แต่ถ้านำไปรับประทานเป็นผลก็จะต้องเป็นผลที่ออกสีดำ เลยจะให้รสชาติ อมเปรี้ยว อมหวาน

    นอกจาก ผลที่รับประทานสด แล้ว ผลที่สุก ยังสามารถนำมาทำเป็นน้ำมะม่วงหาว มะนาวโห่ ได้อีกด้วย หรือ นำไปทำเป็นแยม น้ำหมัก รวมไปการนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู และโลชั่น (เพราะเป็นผลไม้ทีมีวิตามินสูงทำให้ผิวชุมชื่น และลดอาการคันศรีษะได้)


   ทั้งนี้ ถ้าใครสนใจ เรื่องราวของมะม่วงหาวมะนายโห่ มีสวนเกษตร หลายแห่ง ที่ปลูกพืชชนิดนี้ ไม่ว่า จะเป็น สอยดาวการ์เด้น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และ บ้านสวนมะม่วงหาว มะนาวโห่ ที่บางนกแขวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม หรือ บ้านสวนลุงเสน่ห์ ป้าอัมพร ที่ จังหวัดสระบุรี ทั้ง 3 แห่ง จัดว่าเป็นสวนขนาดใหญ่ และครบวงจร ทั้ง เพาะต้นขายเป็นไม้ประดับ ขายผล และขายผลิตภัณฑ์แปรรูป และปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่ ที่ปลูกอีกหลายสวน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการขายต้น เพื่อเป็นไม้ประดับ

   ในส่วนของ ราคามะม่วงหาวมะนาวโห่ นั้น ถ้าขายเป็นผลราคาค่อนข้างสูง จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 500-700 บาท แต่ถ้าเป็นต้นขายเริ่มต้นที่ต้นละ 100 บาท ไปจนถึงหลักพัน บาท ขึ้นอยู่กับอายุ และขนาดของต้น












sithiphong:

ปลูกมะนาวในกระถาง มีกินเพียงพอในครอบครัว - เกษตรทั่วไทย


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/262442/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-



หลายปีที่ผ่านมามะนาวจะมีราคาค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนด้วยเป็นช่วงที่มะนาวติดผลน้อย ขณะที่ตลาดยังมีความต้องการเท่าเดิม
วันพฤหัสบดี 28 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

หลายปีที่ผ่านมามะนาวจะมีราคาค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนด้วยเป็นช่วงที่มะนาวติดผลน้อย ขณะที่ตลาดยังมีความต้องการเท่าเดิม ที่สำคัญคนไทยกับมะนาวนั้นนับเป็นสิ่งที่คู่กันในเรื่องของรสชาติ

หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกมะนาวกันมากขึ้นและในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการเพาะปลูกเพื่อบังคับการออกลูกนอกฤดูกาล เช่น การปลูกในวงบ่อซีเมนต์ เป็นต้น

สำหรับประชาชนทั่วไปที่มีพื้นที่น้อยแต่สนใจที่จะปลูกมะนาวเพื่อเก็บผลไว้บริโภคเองภายในครัวเรือนประเภทตู้กับข้าวข้างบ้าน เช่นบริเวณระเบียงบ้าน หรือข้างบ้านแบบในเมืองหลวง และสามารถบังคับให้ออกผลตามที่ต้องการได้ วันนี้มีแนวทางที่จะทำได้แล้ว โดยที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ได้ศึกษาแนวทางการเพาะปลูกในรูปแบบดังกล่าวและประสบความสำเร็จสามารถขยายผลสู่การปลูกของผู้คนโดยทั่วไปได้

วันก่อนเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ ได้อธิบายถึงวิธีการในการปลูกมะนาวในภาชนะทั่วไปหรือกระถางให้กับคณะเยาวชนในโครงการค่ายอาสา สืบสานพระราชดำริ ที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ได้ร่วมกับศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์จัดขึ้น  โดยการเปิดโอกาสให้เยาวชนจากสถาบันการศึกษาพื้นที่ภาคอีสานมาศึกษาเรียนรู้งานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริภายในศูนย์ฯ เพื่อนำไปประยุกต์ปฏิบัติใช้ในสถาบันการศึกษาและการประกอบอาชีพของตนเองในอนาคต ว่าการปลูกมะนาวในกระถางนั้นทำกันอย่างไร ขั้นต้นเจ้าหน้าที่แนะนำว่าควรใช้กระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 18-20 นิ้ว ขึ้นไป

เมื่อได้กระถางแล้วก็นำมาใส่ดินปลูกที่ผสมด้วยดินธรรมดากับปุ๋ยคอก ขี้เถ้า แกลบในอัตราส่วนเท่ากัน คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำต้นกล้าที่เพาะมาหรือกิ่งตอนก็ได้ นำลงปลูก ปิดทับด้วยดินปลูกคลุมด้วยฟางข้าวหรือเศษหญ้าแห้ง รดน้ำทันทีให้ชุ่ม ส่วนพันธุ์แนะนำในการปลูกแบบนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าควรเป็นพันธุ์ตาอิติ หรือแป้นพิจิตรเพราะทนต่อโรคแคงเกอร์ศัตรูร้ายของมะนาว หากชอบมะนาวที่ไม่มีเมล็ดก็เป็นพันธุ์ตาอิติ หากต้องการผิวเปลือกบางให้กลิ่นมะนาวและน้ำดีก็ควรเป็นแป้นพิจิตร

ส่วนแมลงศัตรูพืชอาจจะมีหนอนชอนใบหรือหนอนที่กินใบอ่อนของมะนาวเข้ามาทำลายได้ ก็ไม่ต้องตกใจสามารถป้องกันและแก้ไขได้แบบภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย โดยการใช้ยาฉุน ที่คนชนบทนำมามวลใบตองแห้งหรือใบจากสูบเป็นบุรี่จำนวน 1 จับ แช่ในน้ำสะอาด 1 ลิตร เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง แล้วกรองเอาน้ำที่เป็นสีชามาผสมกับเหล้าขาว 35 ดีกรี จำนวน 1 เป๊ก กวนให้เข้ากันใส่ป๊อกเกอร์ ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งใบและกิ่ง โดยฉีดวันเว้นวัน จนครบ 7 วัน จึงหยุด กลิ่นยาฉุนจะรบกวนแมลงไม่อยากเข้าใกล้ ส่วนเหล้าขาวจะช่วยให้สารจากยาฉุนจับเกาะใบและเร่งปฏิกิริยาในยาฉุนให้ออกฤทธิ์ดียิ่งขึ้น สูตรนี้ไม่อันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้  แต่หากนำมาดื่มตรงนี้อันตราย

จากนั้นนำกระถางที่ปลูกมะนาวเรียบร้อยแล้วไปวางในที่ที่สามารถรับแสงแดดได้อย่างน้อยวันละ 4-6 ชั่วโมง รดน้ำเช้า-เย็นให้ชุ่ม แต่ในช่วงที่มีเป้าหมายเพื่อการบังคับดอกให้งดน้ำ ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อการบำรุงต้นเพียงอย่างเดียว ต้นละประมาณ 1 กำมือ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพราะพื้นที่หากินของรากมีน้อยด้วยอยู่ในกระถาง  ประมาณ  7-8 เดือนมะนาวจะเริ่มให้ผลผลิต แต่ถ้า 2 ปีขึ้นไปจะให้ลูกได้อย่างเต็มที่

ส่วนการเจริญเติบโตด้วยการปลูกในกระถางจะยืนยาวได้ประมาณ 5 ปีหลังจากนั้นรากมะนาวจะออกมาเต็มพื้นที่ปลูกเบียดเสียดกันในภาชนะทำให้อาหารที่ใส่ลงไปไม่เพียงพอแก่ความต้องการ มะนาวก็จะเริ่มเฉาและไม่ให้ลูก แม้จะใส่ปุ๋ยคอกอย่างต่อเนื่องและจำนวนมากก็ตาม แก้ได้ทางเดียวคือรื้อออกแล้วปลูกต้นใหม่ดินใหม่ในภาชนะเดิม.





-----------------------------------------------------------------------------------


--- อ้างจาก: sithiphong ที่ กรกฎาคม 31, 2014, 06:20:15 am ---สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

-http://cooking.kapook.com/view94031.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มล้างพิษ เชื่อเลยว่า คนที่รักสุขภาพหลาย ๆ คนน่าจะคิดถึง น้ำมะนาวโซดา เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในตอนนี้ มะนาวโซดา หรือมะนาวผสมโซดา กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตเลยทีเดียว เพราะมีความเชื่อว่า น้ำมะนาวผสมโซดา จะช่วยรักษามะเร็งได้ แต่ก็มีแพทย์ออกมาเตือนแล้วว่า น้ำมะนาวผสมโซดาไม่ได้ช่วยรักษามะเร็งแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวก่อเซลล์มะเร็งได้เท่านั้นเอง

          แต่ถึงแม้น้ำมะนาวโซดาแก้วนี้ จะไม่ได้ช่วยรักษาโรคมะเร็งอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ แต่น้ำมะนาวโซดา สามาถช่วยล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ได้นะจ๊ะ แต่ก็ต้องระวังให้มากหน่อยสำหรับผู้ที่เป็นโรคกะเพาะ หรือผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร เพราะมะนาวและโซดามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะเข้าไปกัดกระเพาะเข้าได้ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอควรนะคะ

          เอาล่ะ มาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ทำน้ำมะนาวผสมโซดาเพียว ๆ ไร้รสชาติใด ๆ ดื่มจนเบื่อ แล้วเกิดอยากจะลองทำน้ำมะนาวโซดาแบบมีรสชาติใหม่ ๆ ดื่มดูบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็มี 10 สูตรน้ำมะนาวโซดามาฝาก ที่ไม่ใช่แค่มะนาวกับโซดาเท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่า จะมีสูตรไหนโดนใจกันบ้าง

1. น้ำมะนาวโซดา

          ก่อนที่จะไปสนุกกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีน้ำมะนาวโซดาเป็นส่วนผสม ลองมาดูน้ำมะนาวโซดาแบบพื้นฐานกันก่อนเลย ว่าที่เขาฮิตดื่มกันเนี่ยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

ส่วนผสม
           
           น้ำตาลทราย

           น้ำ

           น้ำมะนาวคั้น

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม



สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

2. น้ำผึ้งมะนาวโซดา
           
          น้ำผึ้งมะนาวโซดา น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ไม่สามารถดื่มโซดาเพียว ๆ ได้น่าจะเหมาะ มีขายให้เราได้ซื้อมาดื่มกันอยู่บ่อย ๆ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ชุ่มคอดีเหลือเกิน แต่ใครที่อยากจะลองทำเองเพื่อให้มั่นใจว่า น้ำผึ้งที่ผสมลงไปนั้น แท้ 100% ก็ลงมือกันเลย

ส่วนผสม
           
           น้ำผึ้ง

           น้ำมะนาว

           โซดา

           น้ำแข็ง

           มะนาวฝานเป็นชิ้นบาง และใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง

วิธีทำ

          ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ตามด้วยโซดาแช่เย็นจัด แต่งด้วยมะนาวฝาน และใบสะระแหน่ พร้อมดื่ม

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Completely Delicious
-http://www.completelydelicious.com/2013/05/watermelon-lime-soda.html-

3. แตงโมมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้จับแตงโมเนื้อหวานฉ่ำเข้ามาผสมกับมะนาวและโซดา เพิ่มหวานสดชื่นขึ้นอีกเป็นกอง แถมแตงโมมะนาวโซดาแก้วนี้ยังสามารถทำเป็นค็อกเทลได้ด้วยนะคะ แค่เติมวอดก้าลงไปอีกสักหน่อยก็ฟินแล้ว

ส่วนผสม

           แตงโมแกะเม็ด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ถ้วย

           โซดาแช่เย็นจัด 2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย (จากมะนาว 2 ลูก)

           เปลือกมะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาวคั้น และเปลือกมะนาวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่เนื้อแตงโมลงปั่นในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เทใส่เหยือก เติมน้ำเชื่อมมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Will Cook for Smiles
-http://www.willcookforsmiles.com/2013/06/float-party-and-raspberry-key-lime-italian-soda.html-

4. ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบเครื่องดื่มแบบเปรี้ยวจี๊ด คงจะต้องยกให้ ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา แก้วนี้เลย แถมสีสันยังสดใส เหมาะจะทำเป็นเครื่องดื่มต้อนรับหน้าร้อนสุด ๆ

ส่วนผสม
         
           ราสป์เบอร์รีสด 450 กรัม

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           มะนาว 2 ลูก

           น้ำ 1/3 ถ้วย

           โซดา

วิธีทำ
         
          1. ทำน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รี โดยใส่ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมให้เข้ากันพอนิ่ม จากนั้นขูดผิวมะนาวใส่ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว ใช้ช้อนค่อย ๆ บดเนื้อราสป์เบอร์รีจนละเอียด เติมน้ำลงไป เคี่ยวส่วนผสมประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมใส และเหนียว ยกลงกรองผ่านตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          2. ใส่โซดาลงในแก้ว ประมาณ 3/4 แก้ว เติมน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รีลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


5. เลมอนมินต์ม็อกเทล
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้น่าจะสร้างความสดชื่นได้ดีทีเดียว ที่นอกจากจะได้รสชาติเปรี้ยวซ่าจากเลมอนและโซดาแล้ว ยังได้กลิ่นมินต์หอมจาก ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มะนาวโดยตรง แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้กันแน่ ๆ

ส่วนผสม
         
           เลมอนเหลือง 1 ลูก

           ใบสะระแหน่ (เด็ดเป็นใบ)

           น้ำเชื่อม

           น้ำแข็ง

           โซดา

วิธีทำ

          1. หั่นเลมอนเหลืองเป็นชิ้น ๆ บีบน้ำเลมอนลงในอ่างผสมพร้อมเปลือก ตามด้วยใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ไม้ บดส่วนผสมให้เข้ากัน
         
          2. เทส่วนผสมเฉพาะของเหลวลงในเชคเกอร์ ใส่น้ำแข็งตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ประมาณ 1/2 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเกือบเต็ม ใส่เลมอนเหลืองฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว แต่งใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ดูวิธีทำได้ที่ Jen's Favorite Cookies
-http://jensfavoritecookies.com/2013/03/01/grapefruit-soda/-

6. เกรปฟรุตมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้สีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ แถมยังหอมกลิ่นจากเกรปฟรุต มะนาว และเลมอนด้วย ที่นอกจากจะสดชื่นแล้ว ยังผ่อนคลายเบา ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ

ส่วนผสม
         
           เกรปฟรุต 3 ลูก

           เลมอน 2 ลูก

           มะนาว 1 ลูก

           โซดากลิ่นมะนาว 4 ถ้วย

วิธีทำ

          1. คั้นน้ำเกรปฟรุต น้ำเลมอน และน้ำมะนาว จากนั้นเทใส่แก้ว คนผสมให้เข้ากัน นำเข้าแช่เย็น เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำผลไม้ลงในแก้ว ตามด้วยโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


7. น้ำขิงมะนาวโซดา
           
          น้ำขิงมะนาวโซดาแก้วนี้ เป็นเครื่องดื่มล้างพิษที่จะช่วยเรียกคืนความสดชื่นให้กับร่างกายที่หนักแอลกอฮอล์ ยิ่งถ้าใครชอบกินขิง รสชาติเผ็ดร้อนอยู่แล้วก็น่าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ

ส่วนผสม

           ขิงขูดละเอียด 3/4 ถ้วย (หรือประมาณ 4 ออนซ์)

           น้ำมะนาว 1 ถ้วย

           น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           น้ำแข็ง

           โซดาแช่เย็นจัด

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อมโดย นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายและน้ำ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม หรือนานประมาณ 2 นาที ยกลงจากเตา
         
          2. ใส่ขิงขูดลงในน้ำเชื่อมร้อน ๆ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนขิงเข้ากันดีกับน้ำเชื่อม
         
          3. หลังจากครบเวลา เติมน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน ยกลงกรองผ่านกระชอนหรือตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นเทน้ำขิงมะนาวใส่แก้วที่มีน้ำแข็งประมาณ 2/3 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเต็มแก้ว พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


-http://www.peanutbutterandpeppers.com/2013/07/12/cherry-lime-soda/-
ดูวิธีทำได้ที่ Peanut Butter and Peppers

8. เชอร์รีมะนาวโซดา
         
          เชอร์รีมะนาวโซดาแก้วนี้อาจจะสะดวกสำหรับคนที่หาซื้อผลเชอร์รีสด ๆ ไม่ได้ แถมยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย ดีต่อสุขภาพจริง ๆ

ส่วนผสม
         
           น้ำเชอร์รี 100% 1/3 ถ้วย

           น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา

           สารให้ความหวานแทนน้ำตาล 1 ซอง

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
         
          ผสมน้ำเชอร์รี น้ำมะนาว และน้ำตาลเทียม คนผสมให้เข้ากัน เทลงแก้ว ตามด้วยน้ำแข็ง และโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



9. น้ำอ้อยมะนาวโซดา
         
          ใครจะไปเชื่อว่า น้ำอ้อยบ้าน ๆ เนี่ย จะสามารถมาผสมรวมกับน้ำมะนาวและโซดา ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าแต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองกันสักหน่อยแล้ว เป็นสูตรเด็ดมาจากนิตยสาร Health & Cuisine

ส่วนผสม

           น้ำอ้อยคั้นสด 3 ถ้วย

           เลมอนหั่นซีก 2 ซีก

           โซดา 1/2 ถ้วย

           น้ำแข็งตามชอบ

วิธีทำ
           
          บีบเลมอนใส่ลงในน้ำอ้อย คนผสมห้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งและเปลือกเลมอนที่เหลือลงแก้ว รินน้ำอ้อยลงไป ตามด้วยโซดา พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Baked Bree
-http://bakedbree.com/mint-lime-tea-cooler-

10. ชามะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบดื่มชามะนาวด้วยการเติมโซดาลงไปให้สดชื่นยิ่งขึ้น แถมยังได้กลิ่นมินต์หอม ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย

ส่วนผสม

           น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย

           น้ำ 2/3 ถ้วย

           ใบสะระแหน่ เด็ดเป็นใบ 1 ถ้วย

           ชาสำเร็จรูปสำหรับชงดื่ม ตามชอบ 8 ซอง

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ

          1. ทำน้ำเชื่อมกลิ่นมินต์ โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ใส่ใบสะระแหน่ คนผสมจนเป็นน้ำเชื่อม และมีกลิ่นมินต์ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น กรองเอาใบสะระแหน่ออก เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำร้อนจัดลงในถ้วย ใส่ชาสำเร็จรูปลงในถ้วย รอจนชาเปลี่ยนสี ประมาณ 3 นาที
         
          3. ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำชา และน้ำมะนาว ใส่มะนาวฝานบาง และใบสะระแหน่เล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเติมโซดาลงไป ชิมรสตามชอบ เทใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

          ว้าว เครื่องดื่มล้างพิษที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาวโซดาแต่ละเมนูน่าดื่มทั้งนั้นเลย ใครที่รักสุขภาพ หรือกำลังมองหาเครื่องดื่มอร่อย ๆ ใหม่ ๆ ก็ลองเข้ามาจดสูตรกันได้เลยค่ะ

--- End quote ---

sithiphong:
ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ



-http://health.kapook.com/view96875.html-











เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ใบย่านาง สมุนไพรโบราณสุดมหัศจรรย์ที่เปี่ยมสรรพคุณทางยา และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เรามาทำความรู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้กันเถอะ

         ย่านาง เป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ตั้งแต่โบราณในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงการนำมาทำอาหารหลากหลายชนิด ซึ่ง หมอเขียว ใจเพชร นักวิชาการสาธารณสุข ครูฝึกแพทย์แผนไทย และนักบำบัดสุขภาพทางเลือก เคยนำมาอธิบายไว้ในหนังสือ "ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์" เกี่ยวกับประโยชน์และสรรพคุณมากมายของย่านาง ซึ่งทางภาคอีสานหมอยาโบราณเรียกย่านางว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษากลางว่า "หมื่นปีไม่แก่" และในปัจจุบัน ย่านาง ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก เพื่อรักษาอาการป่วยต่าง ๆ รวมทั้งการปรับสมดุลในร่างกาย เรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันให้มากกว่านี้ดีกว่า รับรองว่าจะต้องทึ่งกับสรรพคุณที่มากมายของย่านางแน่นอนค่ะ

          ก่อนที่จะไปดูกันถึงเรื่องสรรพคุณและประโยชน์ เรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ

          ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass ทางภาคเหนือเรียกว่า จ้อยนาง ภาคกลางเรียก เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว และภาคใต้จะเรียกว่า ยาดนาง เป็นพืชในตระกูลไม้เลื้อย กิ่งอ่อนมีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิวค่อนข้างเรียบ รากมีขนาดใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนานปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 ซม. กว้าง 2-4 ซม. ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1 ซม. ดอกออกตามซอกโคนก้านใบเป็นช่องยาว 2-5 ซม. ช่อหนึ่ง ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3-5 ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้นไม่มีกลีบดอก ผลรูปร่างกลมรีขนาดเล็ก สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดงและกลายเป็นสีดำ ย่านางเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น สามารถช่วยดับพิษร้อนต่าง ๆ ได้

คุณค่าทางโภชนาการของใบย่านาง

ในใบย่านาง 100 กรัมจะ มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้

          พลังงาน 95 กิโลแคลอรี่
          เส้นใย 7.9 กรัม
          แคลเซียม 155 มิลลิกรัม
          ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม
          เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
          วิตามินเอ 30625 IU
          วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม
          วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
          ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 141 มิลลิกรัม
          โปรตีน 15.5 เปอร์เซนต์
          ฟอสฟอรัส 0.24 เปอร์เซนต์
          โพแทสเซียม 1.29 เปอร์เซนต์
          แคลเซียม 1.42 เปอร์เซนต์
          แทนนิน 0.21 เปอร์เซนต์

สรรพคุณทางยาของย่านาง

          ย่านางนั้นมีสรรพคุณทางยาที่ขึ้นชื่อมากมาย ซึ่งสรรพคุณทางยาไม่ได้มีเพียงแค่ในใบย่านางเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนอื่น ๆ ของต้นก็มีประโยชน์มากมายเช่นกัน

ราก

          รากของย่านาง นิยมนำมาใช้เพื่อแก้อาการไข้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ หรือ ไข้ทับระดู และอาการเบื่อเมา นอกจากนี้รากของย่านางยังเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตำรับยาเบญจโลกวิเชียร หรือยา 5 ราก หรือแก้วห้าดวง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ในบัญชียาสมุนไพร โดยยาดังกล่าวเป็นสามารถรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในขณะเริ่มแรกได้ โดยนำรากแห้งต้มกับน้ำครั้งละ 1 กำมือ แล้วดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

ใบ

           ใบย่านาง คือเป็นส่วนที่มีประโยชน์และถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมากที่สุด เพราะเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น และมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกจากนี้ถูกจัดเอาไว้ในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้

รักษาและป้องกันโรคภัยต่าง ๆ

          ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
          ช่วยป้องกันและบำบัดการเกิดโรคหัวใจ
          ช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้
          สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ จะทำให้ก้อนเนื้อมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง
          ช่วยป้องกันและรักษาโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะ
          ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ
          ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง
          มีส่วนช่วยช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่าง ๆ
          มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย
          ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
          ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
          ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง
          ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ
          ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ
          ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
          ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์

ระบบทางเดินอาหาร

          ช่วยรักษาอาการท้องเสีย เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุได้
          ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน
          ช่วยแก้อาการท้องผูก ลดอาการแสบท้อง
          ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ
          ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้
          ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน

ระบบทางเดินหายใจ

          ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด
          ช่วยรักษาอาการของโรคไซนัสอักเสบ

ระบบผิวหนัง

          ช่วยชะลอและลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
          ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายแตกใต้ผิวหนังได้ง่าย
          ช่วยรักษาอาการตกกระที่ผิวเป็นจ้ำ ๆ สีน้ำตาลตามร่างกาย
          ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด
          รักษาสิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนอง โดยการน้ำใบย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากจนเหลว แล้วนำมาทา
          ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
          ช่วยรักษาอาการผิวหนังมีความผิดปกติคล้ายรอยไหม้
          ช่วยป้องกันและรักษาอาการส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า
          ช่วยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าผุ โดยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย หรือในเล็บมีสีน้ำตาลดำคล้ำ อาการอักเสบที่โคนเล็บ

ระบบสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ

          ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี
          ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ
          ช่วยแก้อาการปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการปัสสาวะออกมาเป็นเลือด
          ช่วยรักษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้
          ช่วยบำบัดรักษาโรคต่อมลูกหมากโต
          ช่วยป้องกันโรคไส้เลื่อน
          ช่วยรักษาอาการตกขาว

สร้างเสริมและบำรุงสุขภาพ

          ช่วยลดน้ำหนัก โดยการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน
          ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกายให้แข็งแรง
          ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย
          ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
          ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย
          ช่วยในการบำรุงรักษาตับ และไต
          ช่วยรักษาและบำบัดอาการอัมพฤกษ์
          ช่วยแก้อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียของร่างกาย
          ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
          ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
          ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้
          ช่วยแก้อาการง่วงนอนหลังการรับประทานอาหาร
          ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล
          ช่วยในการบำรุงสายตาและรักษาโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้ง ตามัว แสบตา ปวดตา ตาลาย เป็นต้น
          ช่วยรักษาอาการปากคอแห้ง ริมฝีปากแตกหรือลอกเป็นขุย
          ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น มีสีเหลืองหรือเขียว หรืออาการเสมหะพันคอ
          ช่วยลดอาการนอนกรน
          ช่วยแก้อาการเจ็บปลายลิ้น
          ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคหัวใจ
          ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด
          ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ

เถา

           เถาของย่านางช่วยลดความร้อนและแก้พิษตานซาง และยังมีข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุอีกว่า สามารถช่วยต้านมาลาเรีย และยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ได้

ประโยชน์ของใบย่านาง

          ใบย่านางนั้นมีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ทำให้ผมดำและนุ่มชุ่มชื้น และยังมีการนำมาทำเป็นอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของหน่อไม้ เพราะน้ำใบย่านางนั้นสามารถช่วยต้านพิษกรดยูริกที่มีในหน่อไม้ได้ แถมยังนิยมนำมาทำอาหารชนิดต่าง ๆ เช่น แกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ แกงอ่อม แกงเห็ด แกงเลียง หรือรับประทานสด ๆ กับน้ำพริกอีกด้วย

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

วิธีการทำน้ำใบย่านาง

          โดยส่วนใหญ่แล้วการนำย่านางมาใช้นั้นมักจะนำมาใช้โดยการคั้นน้ำและเอาไปเป็นส่วนผสมในการทำอาหารนำมาดื่มเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งหมอเขียวก็ได้แนะนำวิธีใช้ใบย่านางเอาไว้ในหนังสือ เรามาดูกันดีกว่าว่า น้ำใบย่านางนั้นมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง

วิธีการทำน้ำใบย่านางสูตรหมอเขียว

          สูตรนี้ เป็นการใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิลล์ คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลของร่างกาย ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้

ใบย่านาง

          เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี
          ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
          ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
          ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

วิธีทำ

          1. ใช้ใบย่านางสด มาล้างทำความสะอาดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง)

          2. กรองน้ำใบย่านางที่ได้ผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ

          3. ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหาร หรือตอนท้องว่างหรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชม. มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วันโดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลัก

หมายเหตุ

          ถ้าจะให้ได้รสชาติ คั้นกับใบเตย จะหอมอร่อยมาก หรือจะใส่กับน้ำมะพร้าวก็จะหอมชื่นใจมากขึ้น ( แต่ถ้าใส่น้ำมะพร้าวจะเสียเร็วนะ) ผักฤทธิ์เย็น นำมาคั้นร่วมกับย่านางก็ได้  เช่น  ผักบุ้ง ตำลึง ใบบัวบก ใบเตย

วิธีการทำน้ำใบย่านางสูตรทั่วไป

ส่วนผสม

          ใช้ใบย่านาง 30-50 ใบ
          น้ำดื่ม 4.5 ลิตร
          ใบเตย 10 ใบ

วิธีการทำ

          1. ตัดหรือฉีกใบย่านางและใบเตยให้เล็กลง แล้วนำไปโขลกให้ละเอียด หรือขยี้ หรือนำไปปั่น

          2. กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่เอาแต่น้ำสีเขียว แล้วนำไปดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้ 4 - 5 วัน ถ้ารสชาติเริ่มเปรี้ยวควรทิ้งทันที

วิธีการทำน้ำใบย่างนางสูตรที่ 2

ส่วนผสม

          ใบย่านาง 5-20 ใบ
          ใบเตย 1-3 ใบ
          บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ
          หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น
          ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ
          ใบเสลดพังพอน ครึ่ง–1 กำมือ
          ว่านกาบหอย 3-5 ใบ

วิธีการทำ
 
          1. ตัดหรือฉีกใบย่านาง ใบเตย ใบบัวบก หญ้าปักกิ่ง ใบเบญจรงค์ และใบเสลดพังพอนให้เล็กลง แล้วนำไปโขลกให้ละเอียด หรือขยี้ หรือนำไปปั่น

          2. กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่เอาแต่น้ำสีเขียว แล้วนำไปดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้ 4 - 5 วัน ถ้ารสชาติเริ่มเปรี้ยวควรทิ้งทันที

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

นอกจากนี้ยังมี วิธีทำน้ำใบย่านางอีกสารพัดสูตรตามเข้าไปดูเลยค่ะ "สูตรน้ำใบย่านาง"

เทคนิควิธีการปั่นใบย่านาง

          การทำน้ำใบย่านาง โดยใช้เครื่องปั่นให้คงคุณค่าสารอาหาร เทคนิคอยู่ที่วิธีการปั่นคือ ไม่ควรกดปั่นครั้งเดียวจนใบย่านางละเอียด ควรใช้วิธีกดปั่น แล้วนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว แล้วรีบกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุน แล้วกดปั่นอีกครั้งนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็วแล้วรีบกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุนทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนใบย่านางละเอียด วิธีนี้ทำให้โมเลกุลของสารอาหารไม่เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม เสร็จแล้วจึงนำมากรองเอาแต่น้ำค่ะ

แกงหน่อไม้ใบย่านาง

          หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมต้มหน่อไม้ต้องใส่ใบย่านาง ? ก็เพราะมีความเชื่อกันมาว่า หน่อไม้มีฤทธิ์ร้อน กินมาก ๆ จะทำให้ท้องอืด จึงต้องแก้ด้วยน้ำใบย่านางซึ่งมีฤทธิ์เย็น นี่เองที่ทำให้หน่อไม้กับใบย่านางกลายเป็นของคู่กันไปซะแล้ว

          ถ้ารู้แล้วว่า หน่อไม้กับใบย่านางเป็นของคู่กัน แบบนี้ก็ต้องลองมาทำเมนูที่มีทั้งหน่อไม้และใบย่านางกันดูสักหน่อย กับเมนูที่มีชื่อว่า แกงหน่อไม้ใบย่านาง เมนูโปรดของคออาหารอีสานรสแซ่บ ที่จะพาทุกคนไปอร่อยไปกับหน่อไม้กรอบ ๆ เข้ากันดีกับน้ำใบย่านาง แถมยังมีผัก และเห็ดนานาชนิดเต็มถ้วยไปหมด กลิ่นหอมฟุ้งเลยทีเดียว ยิ่งถ้าใครชอบกินปลาร้าด้วยแล้ว รับรองเลยว่าเด็ดโดนใจ แถมในน้ำใบย่านางยังมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอีกด้วย

          เอาล่ะ ถ้าใครสนใจจะเข้าครัวไปทำ แกงหน่อไม้ใบย่านางกันแล้ว ก็ตามมาดูวิธีทำแกงหน่อไม้ใบย่านางด้านล่างนี้กันได้ที่นี่เลยค่ะ "วิธีทำแกงหน่อไม้ใบย่านาง"


โทษของใบย่านาง

          ในปัจจุบันยังไม่มีการวิจัยใดพิสูจน์ได้ว่าใบย่านางนั้นมีโทษต่อร่างกายอย่างไร แต่ก็มีคำเตือนว่าผู้ที่ป่วยในโรคไตระยะสุดท้ายไม่ควรดื่มน้ำใบย่านาง เพราะสารอาหารอย่างวิตามินเอ ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมที่อยู่ในใบย่านางนั้นจะทำให้เกิดการคั่งได้หากการทำงานของไตลดลง

          นอกจากนี้ใบย่านางถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น ใบย่านางแคปซูล สบู่ใบย่านาง แชมพูใบย่านาง เครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ได้สะดวกมากขึ้น แต่ก็ควรที่จะศึกษาให้ดีก่อนนำมาใช้ เพราะบางทีอาจจะมีส่วนผสมบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพื่อความปลอดภัย ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้จะดีที่สุดนะคะ

         เป็นอย่างไรกันบ้างได้ทราบสรรพคุณที่มากมายจนน่ามหัศจรรย์ของสมุนไพรย่านางกันไปแล้ว คงจะเริ่มสนใจนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้กันแล้วใช่ไหมล่ะ แต่ก็ควรใช้ให้ถูกวิธีและเหมาะสมนะ เพราะสมุนไพรชนิดนี้ถึงมีแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าหากเราใช้มากเกินไปและไม่ถูกวิธีก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้นะจ้ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย
- สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
- morkeaw.net
- frynn.com

sithiphong:
20 ประโยชน์ของสะตอ และวิธีดับกลิ่น


-http://guru.sanook.com/27257/20-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99/-



สะตอ ภาษาอังกฤษ Bitter bean, Twisted cluster bean, Stink bean เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก นิยมใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้ และในประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ ก็นิยมนำสะตอมาทำเป็นอาหารรับประทานเช่นกัน



วิธีดับกลิ่นสะตอ เมื่อทานสะตอเข้าไปแล้วหลังทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ที่รับประทานสะตอเป็นประจำอยู่แล้ว คุณเคยรู้หรือไม่ว่าสะตอมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง สะตออุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี อีกด้วย ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของสะตอและสรรพคุณของสะตอกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง?


ประโยชน์ของสะตอ
1.ประโยชน์สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา
2.ช่วยทำให้เจริญอาหาร
3.ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
4.ประโยชน์ของสะตอ ช่วยลดความดันโลหิต
5.ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น
6.มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
7.สะตอประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
8.เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
9.สรรพคุณของสะตอ ช่วยขับลมในลำไส้
10.ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
11.สะตอ สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
12.สรรพคุณสะตอ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย
13.แก้ปัสสาวะพิการ
14.ช่วยแก้ไตพิการ
15.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
16.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
17.สะตอทําอะไรได้บ้าง เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น
18.และยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ
19.ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
20.ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.termsuk.com

------------------------------------------------------------------------------



สายพันธุ์ของสะตอ

-http://nempchill.brinkster.net/bee1.htm-


พันธุ์ สะตอมี 2 ชนิด คือ





สะตอข้าว



สะตอข้าว  ลักษณะฝักเป็นเกลียว ยาวประมาณ 31 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. จำนวนเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-20 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนเนื้อเมล็ดไม่ค่อยแน่น อายุการให้ผลผลิต 3-5 ปี หลังปลูก

 

สะตอดาน

สะตอดาน  ฝักมีลักษณะตรงแบนไม่บิดเบี้ยว ยาวประมาณ 32 ซม. ความกว้างกว้างกว่าสะตอข้าวเล็กน้อย มีเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-15 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นฉุนรสเผ็ด เนื้อเมล็ดแน่น อายุการเก็บเกี่ยว 5-7 ปี

 





sithiphong:


ทำน้ำผลไม้มีวิตามินซี น้ำตาล ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ไขมัน มิวซิเลจ คนไทยเมื่อครั้งอดีตรับประทานผลสุกเพื่อขับเสมหะ แก้ไอ และเป็นยาระบาย
วันเสาร์ 30 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.


พุทราป่า เป็นต้นไม้สูงมีหนามเล็กแหลม ผลกลมเล็ก เมล็ดโตมีเมือกมาก รสเปรี้ยว ผลสุกหรือผลแก่จัด ใช้รับประทานเป็นผลไม้ หรือนำมาเชื่อมเป็นผลไม้เชื่อม ทำน้ำผลไม้มีวิตามินซี น้ำตาล ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ไขมัน มิวซิเลจ คนไทยเมื่อครั้งอดีตรับประทานผลสุกเพื่อขับเสมหะ แก้ไอ และเป็นยาระบาย ผลแห้งหรือใบนำไปปิ้งไฟ หรือคั่วหรืออบให้แห้งนำมาชงน้ำดื่ม แก้ไอ เมล็ดนำมาเผาไฟ แล้วป่น ใช้รักษาซางชักของเด็ก หรือตำสุมหัวเด็ก รักษาอาการหวัดคัดจมูก และอาการบวม เป็นต้น.



-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/262856/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version