ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129512 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #370 เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 07:51:36 am »
5 อาหารสำคัญสำหรับคนนอนดึกที่ขาดไม่ได้

-http://ch3.sanook.com/32335/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99-


รายการ “กาละแมร์”

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีไลฟสไตล์ชอบนอนดึก หรือไม่ก็อาจจะประกอบอาชีพที่หลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ และสิ่งที่ตามมาคือระบบในร่างกายมันจะฟ้องออกมาด้วยอาการเจ็บป่วย เช่น มึนศีรษะ, เวียนหัว, คลื่นไส้, เป็นหวัดง่าย, ภูมิแพ้กำเริบ ดังนั้น คนนอนดึกควรหันมาดูแลตัวเองให้มากกว่าคนปกติ เริ่มจากอาหารการกินเลย ต่อจากนี้ คืออาหารเฉพาะสำหรับคนนอนดึกที่ควรรับประทาน

1. เนื้อสีขาว  หาเนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ ทานบ้าง  เพราะจะช่วยสร้าง “เคมีสมอง” ที่จำเป็นสำหรับคนนอนดึก  ได้แก่ โดพามีน,เอพิเนฟริน

2. ข้าวกล้องงอก หรือ ถั่วดำ ถั่วแดง ลูกเดือย เพราะธัญพืชพวกนี้จะมี กาบ้า (GABA)  เป็นสารช่วยสื่อประสาทสมองทำให้ความจำดีคิดอ่านได้ว่องไว

3.ช็อกโกแลตดำ(Dark Chocolate)  เป็นเสมือนเครื่องดื่มชูกำลังเสริมสร้างเรี่ยวแรงอย่างหนึ่ง แทนเพราะมี “ฟลาโวนอยด์” ช่วยให้เลือดไหลลื่นในสมองป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

4.ใบบัวบก  ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติและยังมีสารช่วยลดการอักเสบของร่างกายจากภาวะนอนดึก  หาบัวบกรับประทานสดหรือเอามาปั่นเป็นน้ำคั้นสีเขียวดื่มบ่อยๆ  จะช่วยให้สดชื่นตื่นตัวดี

5. ดื่มน้ำให้มาก  ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆที่สุดแต่มักถูกมองข้าม การ “ดื่มน้ำสะอาด”  ดีต่อสมองเป็นที่สุดเพราะก้อนสมองต้องอาศัยน้ำในการบำรุงเช่นเดียวกับร่างกายที่นอนดึก  คนนอนดึกจะปากแห้งเพราะร่างกายคนนอนดึกไม่ได้พักจึงมีการสูญเสียน้ำไปจนปากคอแห้งเป็นผงนั่นเอง


----------------------------------------------------------------------------



หมูทอดน้ำปลา สูตรทำง่าย ท้าให้ลอง

-http://cooking.kapook.com/view97655.html-



หมูทอดน้ำปลา สูตรทำง่าย ท้าให้ลอง

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก หมอดูพาแด๊ก

          หมูทอด เมนูง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่จะทำให้ออกมาอร่อยโดนใจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเจอวิธีทำหมูทอดน้ำปลาสูตรนี้เข้าไป บอกเลยว่าง่ายมาก !

           ถ้าลองได้หมูทอดน้ำปลา หรือหมูทอดน่ากิน ๆ แบบนี้มากินกับข้าวสวยร้อน ๆ แค่นี้ก็ฟินแล้วเนอะ ถือเป็นเมนูคุ้นเคยกินกันมาตั้งแต่เด็กยันโต เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี แต่ถ้าทำกินเอง เชื่อว่ามีหลายครั้งที่ทอดออกมาแล้วไม่อร่อย บ้างก็หมักไม่เข้าเนื้อ จืดไปบ้าง เค็มไปบ้าง ไม่อร่อยอย่างที่ควรจะเป็น วันนี้กระปุกดอทคอมนำวิธีทำหมูทอดน้ำปลาสูตรทำง่าย ๆ จาก เฟซบุ๊ก หมอดูพาแด๊ก มาฝาก ที่แค่เห็นภาพเชื่อว่า หลายคนกำลังนั่งซับน้ำลายกันอยู่แน่ ๆ ไปดูวิธีทำหมูทอดน้ำปลากันเลยจ้า

 ส่วนผสม
         
          หมูสามชั้น 1 กิโลกรัม

          น้ำปลาอย่างดี 7-8 ช้อนโต๊ะ

          พริกไทยขาวป่นตามชอบ

          ไข่ไก่ 1 ฟอง

          ผงปรุงรส เล็กน้อย

          แป้งประกอบอาหารโกกิ 10-15 ช้อนโต๊ะ

          น้ำเย็น

          น้ำมันปาล์ม สำหรับทอด

          น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือเล็กน้อย

วิธีทำ
         
          1. ใช้มีดแกะสลักจิ้มให้ทั่วชิ้นหมู (เคล็ดลับ : สำคัญมากคือ ไปซื้อมีดแกะสลักมาจิ้ม ๆ ให้ทั่วหมูเลยครับ จิ้มหนังด้วย หมูจะนิ่ม น้ำหมักจะเข้าเนื้อหมู สุกเร็วครับ)
         
          2. หมักหมูโดยใส่น้ำปลา พริกไทยป่น ไข่ไก่ ผงปรุงรสเล็กน้อย และแป้งประกอบอาหารโกกิ จากนั้นพรมน้ำเย็นบาง ๆ ลงไป แล้วค่อย ๆ นวดจนเข้ากันประมาณ 5 นาที จากนั้นหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที




          3. ใส่น้ำมันปาล์มลงในกระทะให้ท่วม ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำมัน (เพื่อหมูจะไม่อมน้ำมัน) และเกลือเล็กน้อย (กันหมูติดกระทะ) ใช้ไฟค่อนข้างแรง จากนั้นนำหมูลงทอด โดยทอดทีละข้างให้เกรียมจนเนื้อหมูเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล (ตามรูป) จากนั้นตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน หั่นเป็นชิ้น ๆ พร้อมเสิร์ฟ







          เป็นอย่างไรบ้างคะ กับวิธีทำหมูทอดน้ำปลาจานนี้ ทำง่าย ๆ แถมยังอร่อยแบบนี้ ขอท้าให้ลองค่ะ



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #371 เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 08:50:38 pm »
.





.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #372 เมื่อ: กันยายน 06, 2014, 09:03:48 pm »
อาหารกินแก้หิว ช่วงคุมน้ำหนักลดพุง ลดโรค


-http://men.sanook.com/3745/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%A7-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-


นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำอาหารที่ทานแล้วไม่อ้วน หาทานง่าย ราคาประหยัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก พร้อมระบุปัจจัยที่ทำให้ปัจจุบันนี้ผู้คนพุงปลิ้น คือ กินแป้ง นอนดึก นั่งนาน


1. เม็ดแมงลัก มีวิตามินเอสูง มีเส้นใยละลายน้ำ เมื่อแช่น้ำ เม็ดแมงลักจะพองตัวช่วยให้อิ่มแต่ไม่อ้วน

2. ถั่วลิสง ควรทานถั่วลิสงคั่วแบบไม่ปรุงรสจะได้ใยอาหารจากถั่ว แม้ถั่วจะมีพลังงานสูง แต่ด้วยใยอาหารของถั่วกับโปรตีน จะช่วยให้รู้สึกไม่หิวจนเกินไป

3. แอปเปิ้ลเขียว อุดมไปด้วย เพคติน ช่วยให้อิ่มท้อง

4. มะนาว น้ำมะนาวที่ขมนิดๆ จะช่วยให้รู้สึกหายหิวได้นานนับ ชั่วโมงหลังจากกิน เพราะสารพิเศษจากเปลือกมะนาว

5. ทูน่า ช่วยให้อิ่มจากโปรตีนของปลา และมีคุณค่าจากไขมันต้านชรา อาทิ โอเมก้า 3

6. ไข่ต้ม มีส่วนช่วยลดไขมันได้ ส่วนไข่ขาวก็เป็นโปรตีนล้วน ที่ช่วยให้ไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก เพราะจะไปสร้างกล้ามเนื้อที่เผาผลาญไขมันโดยธรรมชาติ"

ที่มา : นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

---------------------------------------------------------------------------

ถอยให้ห่าง!!! อาหารเร่งแก่ ตัวการร้ายทำวัยร่วงโรย

-http://men.sanook.com/3769/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A2/-


1. อาหารที่มีรสหวานจัด หรืออาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลและแป้งในปริมาณที่มากเกินไป จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมของร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอย

2.อาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์พบมากในมาร์การีนหรือเนยเทียม ผลิตภัณฑ์เบเกอรี คุกกี้ เฟรนช์ฟรายด์ การกินอาหารที่มีไขมันทรานส์ในปริมาณมาก จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้แก่ก่อนวัยได้ โดยจะทำให้เซลล์ผิวขาดความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอย

3.อาหารทอดด้วยน้ำมันซ้ำซาก เช่น ปาท่องโก๋ ทอดมัน ไก่ทอด เป็นต้น น้ำมันที่ทอดอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีทำให้เกิดอนุมูลอิสระ และอาจเกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้อีกด้วย

4.แอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวที่เร่งความแก่ให้มาเยือนก่อนเวลาอันควร

เมื่อรู้จักอาหารเร่งแก่ที่ควรหลีกเลี่ยงแล้ว คราวนี้มาดูอาหารที่มีประโยชน์ที่ช่วยต้านความแก่บ้าง ได้แก่ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้ พืชสมุนไพรต่างๆ อาหารที่มีวิตามินซีและอี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายและริ้วรอยแห่งวัย นอกจากนี้อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเลือกน้ำดื่มสะอาดหรือน้ำแร่ก็ได้ เพราะน้ำที่เราดื่มเสมือนเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ และยังช่วยในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยให้เราดูสดใสอ่อนกว่าวัยได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก
spokedark.tv
-http://www.spokedark.tv/-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #373 เมื่อ: กันยายน 07, 2014, 10:40:23 am »
ดอกอัญชัญ

คนไทยได้ใช้ดอกอัญชันเป็นสีผสมอาหารมานานแล้ว เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้ หรือนำน้ำคั้นดอกอัญชันใส่ในข้าวสารเพื่อหุงข้าว จะได้ข้าวสุกสมุนไพรที่ให้คุณต่อร่างกาย
วันเสาร์ 6 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/264561/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

คนไทยได้ใช้ดอกอัญชันเป็นสีผสมอาหารมานานแล้ว เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้ หรือนำน้ำคั้นดอกอัญชันใส่ในข้าวสารเพื่อหุงข้าว จะได้ข้าวสุกสมุนไพรที่ให้คุณต่อร่างกาย ในตำรายาไทยโบราณระบุถึงดอกอัญชันไว้ว่า รากมีรสเย็นใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ เป็นยาระบาย ช่วยบำรุงสายตา แก้ตาอักเสบ ตาฟาง ตาแฉะ เมื่อนำรากมาถูฟันจะแก้ปวดฟัน  ส่วนสารแอนโธไซยานิน ที่มีอยู่ในดอกอัญชัน จะช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น ทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------------


สามารถป้องกันยุงที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก และเท้าช้างได้ สารสกัดตะไคร้หอมที่ผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำมันหอมระเหยกลิ่นชะมดเช็ด
วันพฤหัสบดี 4 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/264090/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ตะไคร้หอมเป็น พืชล้มลุก มีอายุหลายปี มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นตั้งตรง ออกเป็นกอ มีกลิ่นหอม ใบเดี่ยว น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอม สามารถป้องกันยุงที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก และเท้าช้างได้ สารสกัดตะไคร้หอมที่ผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำมันหอมระเหยกลิ่นชะมดเช็ด เมื่อนำมาทดสอบกับยุงลายและยุงรำคาญตัวเมีย จะมีประสิทธิภาพในการไล่ยุงได้ นอก จากนี้ยังมีผลในการควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงได้อีกด้วย.


-------------------------------------------------------------------------------------------------------

มีสีเทาออกขาว ก้านรังยาว โพรงรังเล็ก น้ำหนักเบา และไม่มีผึ้งตายอยู่ในรัง คนไทยเมื่อครั้งอดีตจะกินรังผึ้งเพื่อขับลมในร่างกาย ถอนพิษ ถ่ายพยาธิ แก้ปวด และใช้บำบัดอาการคันตามผิวหนัง
วันศุกร์ 5 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/264452/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


รังผึ้ง คือรังของตัวผึ้ง ส่วนมากจะเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ หน้าผา หรือใต้ชายคาบ้าน และตามโพรงไม้ รังผึ้งชั้นดีคือ รังที่สร้างไว้กลางแจ้งเป็นรังเดี่ยว มีสีเทาออกขาว ก้านรังยาว โพรงรังเล็ก น้ำหนักเบา และไม่มีผึ้งตายอยู่ในรัง คนไทยเมื่อครั้งอดีตจะกินรังผึ้งเพื่อขับลมในร่างกาย ถอนพิษ ถ่ายพยาธิ แก้ปวด และใช้บำบัดอาการคันตามผิวหนัง วัณโรค ต่อมน้ำเหลือง ปวดฟัน ฝีบวม กลากเกลื้อนตามมือ และปวดบวมจากผึ้งต่อย



-------------------------------------------------------------------------------------------------------


ขนมโบราณบางชนิดเป็นขนมเฉพาะในงานสำคัญ อย่างงานแต่งงาน ไม่ใช่ขนมกินเล่นทั่ว ๆ ไป หากปล่อยให้เป็นแค่ขนมโบราณ หรือขนมมงคลเพียงอย่างเดียว นานวันคงจะหายไป
วันอาทิตย์ 7 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/264843/%E2%80%98%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%87%E2%80%99+%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88..%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A1-

ขนมโบราณบางชนิดเป็นขนมเฉพาะในงานสำคัญ อย่างงานแต่งงาน ไม่ใช่ขนมกินเล่นทั่ว ๆ ไป หากปล่อยให้เป็นแค่ขนมโบราณ หรือขนมมงคลเพียงอย่างเดียว นานวันคงจะหายไป เพราะคนรุ่นใหม่ ๆ ไม่มีใครรู้จัก จึงต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย  อย่าง “ขนมกง” ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้... 

***********             

อินทนา สาระบัน เจ้าของขนมกงโบราณ “สูตรแม่อรุณ” จ.กำแพงเพชร เล่าว่า แม่อรุณเจ้าของสูตรได้ทำขนมกงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 จนถึงปัจจุบัน โดยประวัติของขนมกงที่ ต.หนองแก จ.กำแพงเพชร นี้ สันนิษฐานกันว่าพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป มักทำกันในเทศกาลตรุษสงกรานต์ และประเพณีแต่งงานของ ต.หนองแก โดยขนมกงนี้เป็นขนมมงคลที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ในประเพณีแต่งงาน นอกจากนี้ ในแง่ของชีวิต ขนมกงนี้ยังมีความหมายดี ๆ อีกด้วย

“เมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ ๆ ก็เริ่มไม่รู้จัก หากไม่ปรับเปลี่ยนให้มีรสชาติใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ขนมกงนี้คงจะใช้เฉพาะในงานมงคลเท่านั้น ไม่ใช่ขนมทานเล่นทั่ว ๆ ไป” อินทนา กล่าว

ปัจจุบัน ขนมกงโบราณ “สูตรแม่อรุณ”นี้ มีทั้งหมด 6 รสชาติ ได้แก่ ถั่วเขียวดั้งเดิม, ถั่วเขียวงาดำ, ถั่วเขียวใบเตย, ถั่วเขียวชาเขียว, ถั่วเขียวกาแฟ และถั่วเขียวสาหร่ายทะเล

อุปกรณ์ในการทำขนมกง หลัก ๆ มี เครื่องบดแป้ง, เตาแก๊ส, กระทะทองเหลืองขนาดใหญ่, ไม้พาย, ไม้นวดแป้ง, ที่ตัดแป้ง, ตะแกรงรองขนม, ถาดสเตนเลส และอุปกรณ์ในครัวอื่น ๆ 
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #374 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2014, 06:19:15 am »
ปัญหาร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ไม่สะอาด ทางร้านรับผิดชอบไม่เต็มที่ ผู้บริโภคสามารถทำอะไรได้บ้าง?
วันอังคาร 7 ตุลาคม 2557 เวลา 05:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/271940/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94+%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%3F-

ปัจจุบันการทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในห้างสรรพสินค้า กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนเมือง เนื่องด้วยความสะดวกสบายที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเตรียมวัตถุดิบในการทำอาหารเอง และสามารถมั่นใจในเรื่องความสดใหม่และความสะอาดของวัตถุดิบอีกด้วย แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น มีกรณีศึกษาที่พูดถึงความสะอาดของร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ตามห้างสรรพสินค้าอยู่มากมาย พบแมลงตามโต๊ะอาหาร หรือตามถาดอาหารบ้าง

ล่าสุดเกิดกรณีพบตัวอ่อนแมลงสาบอยู่ตามถาดอาหารและที่นั่งในร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พบว่าในหม้อน้ำซุปที่รับประทาน มีตัวอ่อนแมลงสาบถูกต้มจนเปื่อยแล้ว ซึ่งมาจากอาหารหรือของสดที่ตักมาจากถาดอาหาร นอกจากนี้ยังพบบนโต๊ะอาหาร และกล่องทิชชู่ด้วย ผู้ใช้บริการจึงรีบแจ้งผู้จัดการร้านทันที แต่ได้รับเพียงคำขอโทษและข้อเสนอโปรโมชั่นลดราคา เมื่อนำเรื่องไปแจ้งผ่านแฟนเพจของร้านดังกล่าว ก็ได้รับการติดต่อจากผู้ดูแลว่ารับทราบเรื่องแล้ว ขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะหามาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทมีนโยบายในการควบคุมดูแลคุณภาพ รักษามาตรฐานอาหารและความสะอาดทุกสาขา

หลายคนตั้งคำถามว่า ในฐานะผู้บริโภคแล้ว เราสามารถทำอะไรกับเหตุการณ์แบบนี้ได้บ้าง นอกจากรอทางร้านรับผิดชอบด้วยการยื่นข้อเสนอเป็นโปรโมชั่นล่อตาล่อใจ บัตรกำนัลส่วนลดไว้ทานในครั้งต่อไป โดยที่ไม่รู้ว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน วันนี้ 'เดลินิวส์ออนไลน์' มีโอกาสสอบถาม ผ.อ. ทรงศิริ จุมพล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลากสินค้า ถึงการรับมือเมื่อผู้บริโภคเจอเหตุการณ์ดังกล่าว

ผ.อ. ทรงศิริ กล่าวว่า ในด้านผู้บริโภค ขณะรัประทานอาหารอยู่แล้วพบสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งอันตรายในอาหาร ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะไม่จ่ายค่าอาหารในมื้อนั้นได้ จากนั้นสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ผ่านสายด่วน 1166 ผ่านทางเว็บไซต์ของสคบ. หรือกรอกแบบฟอร์มคุ้มครองผู้บริโภคผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่นได้ เพื่อให้ชดเชยค่าเสียหาย โดยทางสคบ. จะเชิญผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภค มาพูดคุยเจรจาไกล่เกลี้ยปัญหา และชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้

สำหรับการเรียกร้องให้ตรวจสอบความสะอาดของร้านอาหารรวมทั้งคุณภาพของอาหาร ผู้บริโภคสามารถแจ้งไปยัง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สายด่วน 1556 หรือ สำนักงานเขตหรือเทศบาลของพื้นที่ตั้งร้านอาหารนั้นๆ เพื่อให้อนามัยของแต่ละพื้นที่สามารถเข้าตรวจสอบร้านอาหารได้ หรือในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร ก็สามารถส่งเรื่องไปยังสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร โทร. 02-245-3933, 02-245-3845ได้เช่นกัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ประกอบการร้านอาหารควรหมั่นตรวจสอบคุณภาพอาหาร และทำความสะอาดพื้นที่ร้านอาหารรวมทั้งภาชนะที่ใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะต่อให้ผู้บริโภคได้รับเงินค่าชดเชยมากเพียงใด แต่ถ้าปัญหาด้านความสะอาดส่งผลต่อสุขภาพจนอาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต มีเงินมากเพียงใดก็ซื้อกลับมาไม่ได้

@ArnonNunn

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #375 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2014, 08:37:27 am »
ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27261/%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-33-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-


ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของฝรั่ง

 

               1.              มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี

               2.              ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

               3.              ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ

               4.              เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

               5.              ช่วยลดไขมันในเลือด

               6.              สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง

               7.              ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

               8.              ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

               9.              ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

              10.            ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้

              11.            ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง

              12.            ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน

              13.            ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม

              14.            ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

              15.            รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล

              16.            น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ

              17.            น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ

              18.            ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง

              19.            ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด

              20.            ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก

              21.            ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย

              22.            ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

              23.            ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้

              24.            ใบใช้แก้แพ้ยุง

              25.            ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

              26.            ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

              27.            รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง

              28.            ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

              29.            ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป

              30.            การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

              31.            เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า

              32.            นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด

              33.            นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ www.phyathai.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #376 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2014, 06:18:56 pm »
สาหร่ายของขวัญจากท้องทะเล

-http://men.sanook.com/4205/-





สาหร่ายทะเลเป็นอาหารยอดฮิตของหลายๆ คน ด้วยความอร่อยจากการปรุงรสทั้งยังเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอยู่ 18 ชนิด
และคุณประโยชน์พิเศษและสำคัญต่อร่างกายของคนเรามีดังต่อไปนี้

• ไอโอดีน ร่างกายของเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อป้องกันโรคคอพอก

• ธาตุเหล็ก จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูมีน้ำมีนวล บำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางาม

• ทองแดง มีหน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง และผมร่วงง่าย

• สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

• ใยอาหาร ช่วยทำให้ท้องไม่ผูก และยังช่วยเร่งการขับถ่ายสารพิษต่างๆ ในทางเดินอาหาร

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #377 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2014, 07:28:38 pm »
"กล้วย" พืชประโยชน์สารพัดนึก แต่หากบริโภคไม่คิด มีสิทธิ์ถึง "ตาย"


-http://campus.sanook.com/1374445/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-


"กล้วย" เป็นพืชที่ขึ้นทั่วๆ ไปในเขตร้อน โดยเฉพาะในบ้านเราประเทศไทยมีความคุ้นเคยกันมาแต่โบร่ำโบราณ คนไทยสมัยก่อนปลูกเป็นไม้ประจำ "บ้าน" เลยทีเดียว มีแทบทุกบ้านช่อง เพื่อใช้ประโยชน์สารพัดที่ผู้เขียนคุ้นเคยมากๆ เมื่อ 50-60 ปีที่ผ่านมา ปู่ ย่า ตา ยาย คุณพ่อ คุณแม่สมัยก่อนจะนิยมใช้เป็นอาหารเลี้ยงทารก

โดยเฉพาะพออายุได้ 1 เดือน ผู้เฒ่าผู้แก่จะนิยมบดกล้วยเละๆ เรียกภาษาชาวบ้านว่า "กล้วยบด" แล้วป้อนให้ลูกหลานกินเป็นอาหารเสริมประจำวันนอกจาก "นมแม่" ว่าไปแล้วคุณแม่ของผู้เขียนเองก็เคยป้อนกล้วยบดให้กินเช่นเดียวกันนอกจากนมแม่

มีเหตุการณ์ประทับใจอันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องกล้วยเมื่อประมาณปี2517ขณะนั้นผู้เขียนเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลสิงห์บุรีออกตรวจผู้ป่วยนอก(OPD) พบคุณแม่ทารกรายหนึ่งพาลูกชายอายุ 1 เดือนเศษไปโรงพยาบาลด้วยอาการท้องอืด อาเจียน กระสับกระส่าย ร้องไห้ไม่ยอมหยุด หลังจากป้อนกล้วยได้ 1 ชั่วโมง ผู้เขียนได้ซักว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลได้เลี้ยงลูกทารกอย่างไร อะไรบ้าง ได้ประวัติว่า คุณย่าบดกล้วยให้หลานกินจนอิ่ม หลังจากนั้น 3-4 ชั่วโมง มีอาการร้องไห้ไม่หยุด ท้องอืดขึ้นเรื่อยๆ จึงมาโรงพยาบาลสิงห์บุรี

ผู้เขียนได้ตรวจร่างกายพบว่าท้องอืดโป่งพอง เคาะท้องมีเสียงลมเต็มในช่องท้อง เด็กกระสับกระส่าย เคาะบริเวณท้องแถวรอบๆ สะดือมีเสียงคล้ายๆ มีลมในท้อง จึงได้ส่งเด็กไปเอกซเรย์ พบว่ามีลมแทรกอยู่ในช่องท้องใต้กระบังลม จึงได้วินิจฉัยว่าเด็กคนนี้กระเพาะแตกจากคุณย่าป้อนกล้วย จึงรีบนำไปผ่าตัดเปิดช่องท้องพบกล้วยน้ำว้าเต็มท้อง ได้เอาออกแล้วล้างช่องท้อง เย็บแผลกระเพาะติดกันเอาไว้ที่เดิม ผู้ป่วยรายนี้อยู่โรงพยาบาล 3-4 วัน มีอาการติดเชื้อ ไข้สูง จึงเสียชีวิต

นี่คือเหตุการณ์หนึ่งของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย 50 ปีเศษขึ้นไป นิยมการเลี้ยงลูกตามวัฒนธรรมประเพณีการเลี้ยงดูมาแต่โบราณ ด้วยความไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าใจผิด ความระมัดระวังน้อย จึงเกิดอุบัติเหตุโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นข้อพึงสังวรของคนรุ่นใหม่ขณะนี้เหตุการณ์เช่นนี้น้อยลง หรือไม่เกิดแล้วในประเทศไทย

แต่ ณ วันนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) และประเทศไทยเรา โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีโครงการรณรงค์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และนอกจากนี้ กรมอนามัย โดย "กองอนามัยครอบครัว" ได้เสนอให้บรรจุการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็น "จปฐ" (ความจำเป็นพื้นฐาน) ของประชาชน เพื่อให้เด็กเจริญเติบโตมีสติปัญญา อารมณ์เข้ากับสังคมได้ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เริ่มในปี 2538-2539 จนถึงปัจจุบัน

ผู้เขียนเลยนำ "กล้วย" มาช่วยขยายความให้กระจ่างขึ้นในมิติต่างๆ

"กล้วย" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Musa ABB group (Triploid) CV" "Nam Wa"-กล้วยน้ำว้า ชื่อภาษาอังกฤษ Banana, Cultivated banana

ชื่อท้องถิ่น กล้วยมะลิอ่อง กล้วยกะทิอ่อง กล้วยไข่ กล้วยใต้ กล้วยนาก กล้วยน้ำว้า กล้วยเล็บมือนาง กล้วยส้ม กล้วยหอม กล้วยหอมจันทร์ กล้วยหักมุก กล้วยยาไข่ กล้วยสะกุย

"กล้วย" จัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มี "ลำต้น" อยู่ใต้ดินที่เราเรียกกันว่า "หน่อกล้วย" ส่วนที่เหนือต้นเป็นลำต้นเทียม เกิดจากภายในห่อหุ้มซ้อนกัน มีลักษณะคล้ายเป็นลำต้นใบเดียวขนาดใหญ่ออกเรียงเวียนสลับกันรูปขอบขนาน ปลายตัด ขอบเวียน เส้นกลางใบแข็งมีเส้นใยจำนวนมากออกจากเส้นกลางไปทั้ง 2 ข้าง ขนานกันไปจรดขอบใน

ก้านใบยาวเป็นส่วน ดอกออกเป็นช่อเรียกว่า "ปลี" ห้อยลง ก้านช่อดอกแข็ง ดอกย่อยแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน

ดอกเพศเมียจะอยู่ตอนล่างของช่อดอกและบานก่อน แต่ละช่อย่อยจะรองรับด้วยใบประดับขนาดใหญ่สีม่วงแดง (กาบปลี) ดอกย่อยรูปทรงกระบอก มีกลีบดอก 6 กลีบ มี 1 กลีบเดี่ยวขนาดเล็ก ที่เหลืออีก 5 กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก "ผล" ทรงกระบอกหรือมีเหลี่ยมเล็กน้อย เปลือกหนาสีเขียว เมื่อสุกเปลือกจะมีสีเหลือง มีรสหวานรับประทานได้

ส่วน "ผลดิบ" ใช้เป็นยาสมุนไพร รักษาอาการจุกเสียดและอาการท้องเสีย

"กล้วย" เป็นพืชที่มีคุณค่า เป็นพืชประจำครัวเรือน ยังมีคำคำหนึ่งที่เป็นมงคลว่า ปลูกเอาไว้หน้าบ้านหรือหลังบ้านก็ได้ จะทำอะไรก็ให้สำเร็จง่ายๆ แบบ "กล้วยๆ" กล้วยเป็นพืชใช้ประโยชน์ได้สารพัดทุกๆ ส่วนของกล้วย นอกจากเป็นอาหารแล้ว ลำต้น ใบ...และอื่นๆ มีคุณค่า ได้แก่ ส่วนที่ใช้ผลดิบ ผลสุก หัวปลี ผล ใบ และราก

คุณค่าทางโภชนาการให้คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน กากไฟเบอร์ กรดอะมิโน วิตามินเอ บี ซี แคลเซียม เหล็ก โพแทสเซียม ทองแดง แทนนิน

สรรพคุณและการใช้ประโยชน์

ผลดิบ : ใช้ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาท้องเสียเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย โดยหั่นทั้งเปลือกเป็นแว่นตากแห้งแล้วบดเป็นผง ปั้นเป็นเม็ดหรือชงในน้ำร้อนดื่ม ใช้ครั้งละประมาณเท่ากับกล้วยครึ่งซีกหนึ่งผล หรือนำผลมาใช้โรยรักษาแผลเน่าเปื่อย แผลติดเชื้อ แผลเรื้อรัง

ผลสุก : ช่วยขับถ่ายระบายท้อง มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา แก้ท้องผูก บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วยสุก ผู้เขียนเองมีประสบการณ์ตรง รับประทานวันละ 1-2 ผล อาทิตย์กิน 2-3 วัน ช่วยขับถ่ายได้ดี ท้องไม่อืดไม่เฟ้อ "ต้นแบบ" ที่ผู้เขียนสัมผัสมาคือท่านหลวงพ่อจรัญ ฐิตธฺมโม เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ท่านฉันกล้วยน้ำว้าสุกทุกวัน วันละ 1-2 ผล ขณะนี้อายุ 85 ปีแล้วแข็งแรงดี ผิวพรรณผ่องใส หลวงพ่อบอกท้องไม่อืด ขับถ่ายดีมาก สบายดี ที่สำคัญคือ ผู้เขียนประทับใจที่ท่านมีผิวพรรณ "เปล่งปลั่ง" เสมอ น่าสนใจ

เปลือกผลดิบ : ใช้สมานแผล

หัวปลี : แก้โรคลำไส้ แก้โลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงน้ำนม บำรุงโลหิต คั้นน้ำบำรุงโลหิตแก้ถ่ายเป็นมูกเลือด

ยาง : ใช้สมานแผล ห้ามเลือด

ใบ : ใช้ต้มอาบแก้เม็ดผดผื่นคัน ปิ้งปิดแผลไฟไหม้

ราก : ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไอ ท้องเสีย แก้บิด แก้ผื่นคัน

กาบต้น : ลำต้นใช้ทำเชือก ทำแพ เลี้ยงหมู และประเพณีลอยกระทง ใช้ทำกระทงลอยน้ำ

นอกจากนี้ ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของบางจังหวัด เช่น สุโขทัย เขาจะปลูกกล้วยมากทั้งอำเภอ เช่น อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง ชาวบ้านจะตัด "ใบตอง" ขึ้นรถ 10 ล้อไปขายที่ท่าเตียน หรืออย่างกล้วยไข่ ต้องไปที่จังหวัดกำแพงเพชร กล้วยเล็บมือนางต้องไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น

สิ่งอื่นที่ควรต้องรู้เพิ่มเติมคือ สารสำคัญๆ ฤทธิ์ทางเภสัช อาหารเป็นพิษผลข้างเคียงอื่นๆ เพราะอะไรที่มีประโยชน์ก็ต้องมีโทษที่เราควรต้องรู้ จะได้ "พึงระวัง ป้องกัน ไม่ให้เกิดกับตัวเรา"

สารสำคัญที่มีอยู่ใน "กล้วย" คือ "สารแทนนิน" มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเสียได้

สาร Sitoindoside เป็นกลุ่มสเตียรอยด์ (Steriod) เพราะฉะนั้น การใช้ระยะยาวจึงต้องระมัดระวัง เนื่องจากยังไม่มีผู้ศึกษาพิษเรื้อรังของสารกลุ่มนี้

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา : สิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า "กล้วย" คนส่วนใหญ่ที่กินกันเป็นประจำ นอกจากจะซื้อหาง่าย ราคาถูก สะดวกกิน ยังส่งผลในการได้รับวิตามิน ท้องไม่อืด ในเรื่องระบายท้องเป็นหลัก กล้วยยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของท้องเสียที่ทำให้เกิดโรคไทฟอยด์อีกด้วย

ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารโดยเฉพาะรายที่กินยาแก้ปวดไขข้ออักเสบต่างๆเช่นกลุ่มยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) และยังเชื่อว่าแป้งจากผลกล้วยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อเมือกในทางเดินอาหารได้ด้วย

ผู้เขียนเห็นว่า"กล้วย"เป็นพืชที่ใช้ประโยชน์สารพัดนึกขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยแตกหน่อ

"คนไทย" สมัยก่อนใช้ปลูกเป็นไม้คู่บ้านคู่เรือนของคนไทย มีทุกบ้านเรือน นอกจากปลูกหรือเป็นสิ่งมงคลของบ้าน ขอให้บ้านนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้อะไรก็บรรลุวัตถุประสงค์โดยสะดวก แต่ที่สำคัญ เวลา "คน" จะเข้าเรือนออกเรือน โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวในพิธีมงคลสมรส เขาใช้ "ต้นกล้วย" ทั้งต้น มี "เครือกล้วย" ใช้ยก "ต้นกล้วย" นำแห่ขันหมากของฝ่ายชาย "เจ้าบ่าว" ไปสู่ขอ "เจ้าสาว" มักจะมีต้นอ้อยควบคู่ไปด้วย

คนโบราณเขาถือเคล็ดว่า ขอให้มีการสู่ขอให้ประสบความสุขความสำเร็จในครอบครัว เจริญงอกงาม มีลูกๆ หลานๆ ออกมาสืบตระกูลที่อุดมสมบูรณ์คือ การแตกหน่อแตกกอของหน่อกล้วยและต้นอ้อยที่เจริญงอกงาม

แต่ผู้เขียนต่อเติมว่า ขอให้เจ้าบ่าวสู่ขอฝ่ายหญิงโดยพ่อตาแม่ยายยินยอมยก "ลูกสาว" ให้ฝ่ายชายง่ายดายเหมือน "ปอกกล้วยเข้าปาก" ไงเล่าครับ




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #378 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2014, 02:20:08 pm »
น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว น้ำหมากเม่า เครื่องดื่มจากผักผลไม้พื้นบ้าน


-http://cooking.kapook.com/view102025.html-






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักพื้นบ้านของไทย เคยแต่ซื้อมาดื่มไม่เคยทำเอง แต่รู้หรือไม่ว่าทำง่ายนิดเดียวเองนะ

          ในวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำสูตรการทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักพื้นบ้านมาฝากถึง 3 อย่างด้วยกัน คือ น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า เผื่อว่าถ้าในวันหนึ่งวันใดคุณได้ไปเที่ยวสวนผักและผลไม้ตามต่างจังหวัดแล้วได้มีโอกาสซื้อผัก-ผลไม้สด ๆ เหล่านี้กลับมาบ้าน หรือมีคนซื้อมาฝากจากสวนแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี ลองมาทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพดื่มเองดูบ้างก็น่าจะดีไม่น้อยเลย เป็นสูตรมาจาก นิตยสารแม่บ้าน ลองมาดูมาชมกันเลย

น้ำเสาวรส
           
          น้ำเสาวรสกลิ่นหอมดื่มแล้วชื่นใจ แถมยังมีวิตามินซีสูง รวมทั้งวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา และบำรุงผิวอีกด้วย

ส่วนผสม
           
          เนื้อเสาวรส 500 กรัม

          น้ำตาลทราย 200 กรัม

          น้ำเปล่า 500 กรัม

          เกลือป่นหยาบ 1/2 ช้อนชำ

วิธีทำ
           
          1. ใส่เนื้อเสาวรสและน้ำเปล่าลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด จากนั้นเทใส่หม้อ
           
          2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนจนส่วนผสมเดือด ยกลงกรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง นำเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม



น้ำหมากเม่า
           
          ในผลมะเม่าสุกมีสารอาหาร วิตามิน กรดอินทรีย์ และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกสารแอนโทไซยานินและสารกลุ่มโพลีฟีนอลสูง ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ชะลอความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตันในสมอง และช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่าย

  ส่วนผสม
           
          ลูกหมากเม่าสุก 200 กรัม

          น้ำเปล่า 1 ลิตร

          น้ำตาลทราย 200 กรัม

          เกลือป่นหยาบ 1/2 ช้อนชำ

  วิธีทำ
           
          1. ใส่ลูกหมากเม่าสุกและน้ำาเปล่า ลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด เทใส่หม้อ
           
          2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนจนส่วนผสมเดือด ยกลงกรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง นำเเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม



 น้ำฟักข้าว
           
          น้ำฟักข้าวมีเบต้าแคโรทีนสูง มีไลโคปีนจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวเป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย

 ส่วนผสม
           
          ลูกฟักข้ำวสุก 1 กิโลกรัม

          น้ำต้มสุก 1,500 มิลลิลิตร

          น้ำตาลทราย 150 กรัม

          น้ำะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

          เกลือป่นหยาบ 1 ช้อนชำ

วิธีทำ
           
          1. ผ่าครึ่งฟักข้าว ใช้ช้อนตักเมล็ดออก ใส่ลงในกระชอนตาห่าง ๆ ใช้ช้อนขูดจนเนื้อเยื่อสีแดง ๆ ออกจากเมล็ดจนหมด
           
          2. ใส่เนื้อเยื่อสีแดง ๆ ลงในน้ำาต้มสุก คนให้เข้ากัน กรองด้วยกระชอนตาถี่ ๆ
           
          3. ใส่น้ำตาลทราย น้ำามะนาว และเกลือป่น คนให้เข้ากันชิมรส เปรี้ยว หวาน ตามชอบ นำเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม

          ก็เพิ่งจะรู้ว่า น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า ทำไม่ยากอย่างที่เคยคิด แบบนี้ก็ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อมาดื่มแล้ว ทำเองซะเลยดีกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
-http://www.maeban.co.th/-
ปีที่ 39 ฉบับที่ 545 ตุลาคม 2557



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #379 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2014, 02:57:47 pm »
ประโยชน์มากมายจาก มะนาว

-http://guru.sanook.com/6430/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-



ประโยชน์ของมะนาว มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

          1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

          2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

          3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

          4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

          5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

          6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

          7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

          8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

          9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

          10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

          11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

          12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

          13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

          14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

          15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

          17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

          18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

          19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

          20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

          21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

          22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

          23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

          24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

          25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

          26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

          27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

          28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

          29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

          30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

          31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

          32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

          33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

          34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

          35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

          36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

          37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

          38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

          39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

          40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

          41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

          42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

          43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

          44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

          45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

          46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

          47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

          48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

          49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

          50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

          51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

          52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

          53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

          54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

          55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

          56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

          57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

          58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

          59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

          60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

          61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

          62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

          63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

          64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

          65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

          66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

          67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

          68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

          69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

          70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

          71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

          72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

          - ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น

ที่มา -http://learners.in.th/blog/kugkikkaticat/26091-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)