ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129517 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #380 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2014, 08:03:06 am »
มังคุด สรรพคุณและประโยชน์ของมังคุด 45 ข้อ!

-http://guru.sanook.com/27263/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-45-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-


มังคุด ภาษาอังกฤษ Mangosteen ส่วนมังคุดชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia mangostana Linn. จัดอยู่ในวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) เช่นเดียวกับกระทิง ติ้วเกลี้ยง ติ้วขน ชะมวง บุนนาค มะดัน มะพูด รงทอง ส้มแขก และสารภี


เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ และยังเป็นผลไม้ที่นิยมอย่างมากในแถบเอเชีย โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้” (Queen of Fruits) อาจเป็นเพราะลักษณะภายนอกของผล ที่มีกลับบนหัวคล้ายๆกับมงกุฎของพระราชินี เป็นผลที่จัดว่ามีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง โดยประโยชน์ของมังคุดไม่ได้อยู่แค่เนื้อที่เรานิยมรับประทานกันเท่านั้น ประโยชน์ของเปลือกมังคุดก็มีมากมายในการรักษาโรคได้เช่นกัน

ในมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) ในปริมาณมาก แม้จะมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และอาการแพ้ต่างๆ แต่ก็ยังขาดข้อมูลในการสนับสนุนว่ามังคุดจะสามารถรักษาอาการต่างๆเหล่านี้ได้จริง ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์ แต่ก็พบอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างในแต่ละบุคคล เช่น มีอาการผิวหนังบวมแดง เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดบริเวณข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

นอกจากนี้มังคุดยังมีสารแทนนิน (Tannin) ที่อยู่ในเปลือกของมังคุด หากบริโภคมากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษต่อตับ ไต การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และยังไปลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงจากปกติ (ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย) ดังนั้นการรับประทานที่ดีที่สุดคือการรับประทานอย่างมีสติ ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายมันอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกายเสียเอง

ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว (สิงหาคม พ.ศ.2555) ได้มีการเปิดตัวผลงานวิจัย “สูตรสารธรรมชาติ ต้านมะเร็งจากมังคุด” โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา เผยว่างานวิจัยดังกล่าวเป็นกาต่อยอดยำเอาคุณประโยชน์ของสารสกัดจีเอ็ม-1 ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะราคาแพง ลดการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน และสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสกัดมาจากเปลือกมังคุดสูตรธรรมชาติที่ผสมกับสารสกัดจากงาดำ ฝรั่ง ถั่วเหลือง ใบบัวบก จนได้เป็นอาหารเสริมชนิดดีที่ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยมีผลช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาวทีเอช 1 ที่ช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวชนิดทีเอช 17 ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง อย่างไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ขณะที่ ศ.พญ.สุมิตรา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงผลงานวิจัยด้วยการทดสอบผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด 20 ราย ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารสูตรธรรมชาติร่วมกับน้ำมังคุดสกัดร้อยละ 80 เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงว่าคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น หลายคนกินข้าวได้ อาการเจ็บปวดบรรเทาลง ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับไปทำงานได้ปกติ โดยทุกรายมีภูมิคุมกันที่ดีขึ้นแม้จะไม่หายจากโรคมะเร็ง จึงช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้ยารักษาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ประโยชน์ของมังคุด

1.รับประทานสดเป็นผลไม้ หรือทำเป็นน้ำผลไม้ อย่าง น้ำมังคุด และน้ำเปลือกมังคุด
2.มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย
3.มีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระต่างๆได้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
4.ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส แข็งแรง
5.ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง
6.มีส่วนช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ)
7.ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
8.ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
9.มังคุดรักษาสิว เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติในการยัยยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดีอีกด้วย
10.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด
11.ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
12.การรับประทานมังคุดเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ
13.สารสกัดจากมังคุดช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 และ ทีเอช 17 มีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้
14.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ อย่าง เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร
15.ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
16.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหัวใจ
17.ช่วยลดความดันโลหิต
18.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
19.ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด
20.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย
21.มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาล
22.ช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้
23.มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการของโรคหอบหืด
24.มีส่วนช่วยบำรุงและรักษาสายตา
25.ช่วยบำรุงสุขภาพช่องปากและเหงือกให้แข็งแรง
26.ช่วยลดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์
27.ช่วยรักษาและสมานแผลในช่องปากหรือปากแตกให้หายเร็วยิ่งขึ้น
28.ไฟเบอร์จากมุงคุดช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก
29.ช่วยบำรุงและฟื้นฟูความสมดุลภายในกระเพาะอาหาร ด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องร่วง จุกเสียด เกิดแก๊สในกระเพาะและการดูดซึมอาหารบกพร่อง
30.สรรพคุณมังคุด ในทางสมุนไพรจะช่วยแก้อาการท้องเสีย ด้วยการใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำหรือย่างไฟ นำมาฝนกับน้ำปูนใส
31.ช่วยแก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง อาการถ่ายเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เปลือกสดหรือแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ผลเหมือนกัน
32.ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะอยู่ในสภาวะปกติ
33.ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
34.มีส่วนช่วยป้องกันอาการตับเสื่อม ไตวาย
35.ช่วยรักษาอาการข้อเข่าอักเสบ
36.เปลือกของมังคุดมีสารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว
37.ช่วยต่อต้านและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และไวรัสต่างๆ อย่างเชื้อวัณโรค เชื้อ HIV เป็นต้น
38.ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง (เปลือก)
39.ช่วยยับยั้งการเกิดและใช้รักษาโรคผิวหนังต่างๆ อย่าง กลากเกลื้อน ผดผื่นคันต่างๆ ด้วยการใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมาทาบริเวณที่เป็น
40.มังคุดสรรพคุณ ทางยาสมุนไพรใช้เพื่อรักอาการน้ำกัดเท้า แผลเปื่อย ด้วยการใช้เปลือกแห้งฝนกับน้ำปูนใส
41.เปลือกมังคุดมีสารช่วยป้องกันเชื้อราจึงเหมาะแก่การหมักปุ๋ย
42.นำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น แกง ยำ มังคุดลอยแก้ว ซอสมังคุด เป็นต้น
43.นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง มังคุดกวน แยมมังคุด มังคุดแช่อิ่ม ท๊อฟฟี่มังคุด
44.มังคุดมีสารจีเอ็ม-1 ซึ่งใช้เป็นประกอบในเครื่องสำอาง สำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรังจากสิวและอาการแพ้
45.นำมาแปรรูปเป็นสบู่เปลือกมังคุด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดับกลิ่นเต่า รักษาสิวฝ้า บรรเทาอาการของโรคผิวหนัง

ที่มาข้อมูล -www.frynn.com-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #381 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2014, 11:41:42 am »
อบอุ่นร่างกายด้วย “ขิง” หลากสรรพคุณต้อนรับลมหนาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤศจิกายน 2557 16:02 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000127502-


 ใกล้เข้ามาแล้วกับฤดูหนาว ในช่วงฤดูหนาวร่างกายก็ต้องการความอบอุ่นเป็นพิเศษ และการบริโภคอาหารบางประเภท ก็สามารถช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นได้เช่นกัน ซึ่งหนาวนี้เราก็มีสรรพคุณของ “ขิง” มาแนะนำกัน
       
       “ขิง” เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์อุ่น รสร้อน ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ เนื่องจากในขิงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน อีกทั้งยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยเป็นจำนวนมาก
       
       ซึ่งการบริโภคขิงนั้นจะช่วยขับเหงื่อ ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งยังช่วยบรรเทาพิษไข้ ช่วยลดอาการไอ และระคายคอจากเสมหะ นอกจากนี้แล้ว ขิงยังมีสรรพคุณช่วยไล่ความเย็น ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดไหลเวียนดี แก้นิ่ว บำรุงธาตุไฟ ลดความดัน และลดคอเลสเตอรอลได้ โดยการลดดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่าย และการศึกษาวิจัยยังพบว่า ขิงมีสรรพคุณในการช่วยรักษาและบำบัดโรคข้ออักเสบได้ เพราะในขิงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบได้อีกด้วย
       
       เรียกได้ว่าประโยชน์และสรรพคุณของขิงนั้นมีมากมายทีเดียว ซึ่งนอกจากจะกินสดๆ ได้แล้ว ปัจจุบันยังมีการนำขิงมาแปรงรูปเป็นขิงผงบรรจุซอง ง่ายต่อการชงดื่มอีกด้วย ปรโยชน์มากมายแบบนี้ หนาวนี้คงต้องหาขิงมากินแก้หนาวบ้างแล้วล่ะ!


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #382 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2014, 04:58:46 pm »
 กินมะเขือเทศอย่างไรได้ไลโคปีนสูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 พฤศจิกายน 2557 16:04 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000128765-

เทรนด์การดื่มน้ำผัก ผลไม้ ยังคงมีให้เห็นอยู่เนืองๆ และที่มาแรงเป็นกระแสในตอนนี้น่าจะเป็นการดื่มน้ำมะเขือเทศที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยม แต่จะบริโภคอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ลองไปดูวิธีการกันและเลือกบริโภคตามความชอบได้เลย

กินมะเขือเทศอย่างไรได้ไลโคปีนสูง
        ไลโคปีน (Lycopene)เป็นสารสำคัญที่พบได้ในผลมะเขือเทศ จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด พบไลโคปีนได้ใน มะเขือเทศ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ เป็นต้นพบไลโคปีนในปริมาณตั้งแต่ 0.9 -9.30 กรัม ใน 100 กรัมของมะเขือเทศสด
       
         ไลโคปีนเป็นสารประกอบที่ได้รับความสนใจเนื่องจากมีรายงานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมา คือมะเร็งปอด กระเพาะอาหาร นอกจากนี้ก็ยังแสดงให้เห็นประโยชน์ของการได้รับไลโคปีนในการลดความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ (colon) ทวารหนัก คอหอย ช่องปาก เต้านม ปากเป็นต้น
       
        ควรรับประทานมะเขือเทศสดหรือมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงอาหารแล้ว
       ความเชื่อที่ว่าของสดดีกว่าของที่ปรุงแล้ว ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า นอกจากนี้ความร้อนและกระบวนการต่างๆในการผลิตผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยนรูปแบบ (จากไลโคปีนชนิด “ออลทรานส์”(all-trans-isomers)เป็นชนิด “ซิส”(cis -isomers)) คือ เป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้น
       
        มะเขือเทศสดและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ชนิดใดให้ไลโคปีนสูงกว่ากัน
       
       โดยทั่วไป ปริมาณไลโคปีนในผลไม้และมะเขือเทศสดจะไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนำมะเขือเทศสดไปผ่านกระบวนการผลิตให้อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์มะเขือเทศชนิดต่างๆ พบว่าปริมาณไลโคปีนสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีการผ่านกระบวนการทำให้เข้มข้นขึ้น ดังนั้น อาหารอิตาเลียน พวกพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ที่มีการแต่งรสด้วยซอส หรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ที่ผลิตจากมะเขือเทศ จึงเป็นแหล่งให้ไลโคปีนที่ดี ดังในตาราง
       
        ตัวอย่าง แสดงปริมาณไลโคปีนในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ
       ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ / ปริมาณไลโคปีน(มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนัก 100 กรัม)
       มะเขือเทศสด            3.70
       มะเขือเทศปรุงสุก        6.20
       ซอสมะเขือเทศ          7.99
       ซุปมะเขือเทศเข้มข้น    5.00-11.60
       น้ำมะเขือเทศ            12.71
       ซอสพิซซ่า               9.90-13.44
       ซอสมะเขือเทศ           112.63-126.49
       มะเขือเทศผง              5.40-150.0
       ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น  0.88-4.20
       
       ข้อมูลโดย...รศ. วิมล ศรีศุข
       ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

--------------------------------------------------------------------------------



ลดน้ำหนักผิดวิธีส่งผลร้ายกว่าที่คิด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 พฤศจิกายน 2557 12:32 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000128691-

 หลายคนอาจเคยทดลองลดน้ำหนักด้วยตนเองโดยดูเคล็ดลับจากอินเทอร์เน็ตหรือลดตามความพอใจของตัวเอง จนประสบกับการมีน้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอ คุณรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่อาจเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายและทำลายสุขภาพของคุณได้

ลดน้ำหนักผิดวิธีส่งผลร้ายกว่าที่คิด
   
        ปัจจุบันปัญหาเรื่องความอ้วนมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ทั้งนี้เพราะมีความเกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในปัจจุบัน เห็นได้จากข้อมูลข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตและโฆษณาอาหารมากมาย ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนอาจเกิดผลร้ายต่อสุขภาพของผู้บริโภค ทั้งนี้เพราะการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมต่อสุขภาพของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน หรืออาจเป็นการปฏิบัติที่ผิดวิธี
       
        นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย เวชศาสตร์การกีฬาและการลดน้ำหนัก สูตินรีเวชวิทยา ฮอร์โมนและสุขภาพทางเพศ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า การลดน้ำหนักเป็นปัญหาของคนทุกวัย เนื่องจาก ความอ้วนเป็นสัญญาณของความแก่ ซึ่งไม่ใช่เพียงแก่แค่อายุเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสภาพร่างกายที่แก่ชราลง และนั่นยังหมายถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยปัญหาการลดน้ำหนักในแต่ละช่วงวัยมีมุมมองที่แตกต่างกัน”
       
        กลุ่มเด็กอ้วน ปัญหาของคนกลุ่มนี้ คือ โภชนาการที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรตามใจลูก ควรให้ลูกทานอาหารอย่างเหมาะสม ทั้งนี้อาจขอความร่วมมือจากทางโรงเรียนให้ช่วยดูแลและแนะนำเด็กในการรับประทานอาหารอีกทางหนึ่ง เนื่องจากอาหารที่ไม่มีประโยชน์ยังมีขายทั่วไปตามรั้วโรงเรียน และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันยังทำให้เด็กหันมาเล่นเกมส์มากกว่าการออกกำลังกาย ดังนั้นผู้ปกครองควรพาลูกๆ เล่นกีฬามากขึ้นเพื่อใช้เวลาเล่นเกมส์ให้น้อยลง
       
        กลุ่มคนทำงาน ปัญหาหลักของคนกลุ่มนี้มาจากความเครียด การออกกำลังกายผิดวิธี การรับประทานอาหารในปริมาณมากโดยเฉพาะเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบทำน้ำหนักตัวเด้งขึ้นเด้งลง หรือที่เรียกว่า Weight cycling เช่น ปฏิบัติตามสูตรลดน้ำหนักโดยไม่ระมัดระวัง เพราะคิดว่าสุดท้ายก็จะลดน้ำหนักใหม่ได้ ทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายเสียหาย จนอาจป่วยเป็นโรคไขมันพอกตับ หรือบางรายอาจมีน้ำหนักตัวขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้รับประทานอาหารในปริมาณมาก”
       
        กลุ่มคนอายุ 35 ปีขึ้นไป คุณผู้หญิงกลุ่มนี้อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ส่วนคุณผู้ชายก็เป็นวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับความเครียดสูง ปัญหาการลดน้ำหนักมีความเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ทำให้คนกลุ่มนี้น้ำหนักขึ้นง่าย ประกอบกับการออกกำลังกายน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
       
        นพ.สมบูรณ์ กล่าวอีกว่า การลดน้ำหนักที่ถูกวิธี คนไข้ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ และรับการตรวจร่างกายเพื่อทราบถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความอ้วนที่แท้จริง อาทิ โภชนาการไม่ครบถ้วน ขาดสารอาหารบางชนิด ระดับฮอร์โมนปกติหรือไม่ เพราะคนไข้แต่ละคนมีอายุและสาเหตุของความอ้วนแตกต่างกัน วิธีการลดน้ำหนักจึงขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย นอกจากการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารแล้ว คนไข้ควรกำจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วยการทำขจัดสารพิษออกจากกระแสเลือด เพราะเมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น ร่างกายจะสะสมสารเคมีต่างๆ เช่น สารกันบูด พลาสติก ยาฆ่าแมลง ไว้ในชั้นไขมัน แต่เมื่อน้ำหนักตัวหรือปริมาณไขมันในร่างกายลดลง สารเคมีที่ถูกกักเก็บในชั้นไขมันจะถูกผลักกลับเข้าสู่กระแสเลือด




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #383 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2014, 05:43:42 am »
“สะระแหน่” ผักใบเล็กสารพัดประโยชน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
   
27 พฤศจิกายน 2557 18:52 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000136376-


พืชผักสมุนไพรในบ้านเรานั้นมีหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดนั้นก็เรียกได้ว่ามีรสชาติ คุณประโยชน์ และสรรพคุณแตกต่างกันไป เช่นเดียวกันกับพืชยืนต้นในตระกูลมิ้นต์อย่าง “สะระแหน่” ที่เรามักเห็นร้านอาหารนำมาเสิร์ฟตกแต่งจานเคียงคู่กับเมนูอาหาร
       
       นอกจากจะนำมากินคู่กับของคาวแล้ว ปัจจุบันมีการนำใบสะระแหน่มาเป็นส่วนผสมของของหวานอย่างไอศกรีม น้ำปั่น ชา อีกด้วย และด้วยกลิ่นที่หอมสดชื่น และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทำให้ผู้คนนิยมหันมากินสะระแหน่กันมากขึ้น
       
       ในใบสะระแหน่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย เนื่องจากในใบสะระแหน่มีสารเมนทอล หรือสารฤทธิ์ที่จะช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการหวัด หลอดลมอักเสบ ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลีย ช่วยดับร้อน ช่วยขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ และหากนำน้ำที่คั้นจากต้นและใบมาดื่ม จะช่วยขับลมในกระเพาะ หรือหากนำมากินสดๆ ก็จะช่วยดับกลิ่นปากได้อีกด้วย
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ในใบสะระแหน่ยังมีสารช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยบรรเทาอาการเครียด ช่วยแก้อาการหน้ามืดตาลาย ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลียของร่างกาย และหากนำใบสะระแหน่มาบดให้ละเอียดโดยเติมน้ำระหว่างบดด้วยเล็กน้อย ใส่น้ำผึ้งตามลงไป แล้วนำมาทาใต้ตาทิ้ง ไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออกยังช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาได้อีกด้วย
       
       เรียกได้ว่าสรรพคุณและคุณประโยชน์ของสะระแหน่นั้นนอกจากจะช่วยบำรุงร่างกาย มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายแล้ว ยังมีประโยชน์และช่วยบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วคราวหน้าเจอใบสะระแหน่ที่ไหนต้องลองซื้อมากินบ้างแล้วล่ะ!

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #384 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2014, 08:23:46 am »
เม็ดบัว!! คุณประโยชน์เหลือล้น

-http://men.sanook.com/4721/-

หลายท่านจะยังไม่เคยทาน”เม็ดบัว”และอาจคาดไม่ถึง ว่าเจ้าเม็ดบัวน้อยๆ นี้จะมีสรรพคุณทางยาสามารถช่วยบำรุงโลหิต แต่เชื่อเถอะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายท่านที่มักมีอาการวิงเวียนหน้ามืด หรือมีอาการแน่นหน้าอก เพราะปัญหาเลือดน้อย ขอแนะนำสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ทานง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญมีอยู่ในบ้านเรา อย่างเช่นเม็ดบัว มีสรรพคุณทางการบำรุงเลือดที่ดี

สรรพคุณของเม็ดบัวนั้น อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 23 เปอร์เซนต์ และมีเกลือแร่ ฟอสฟอรัส นอกจากนี้ตัวเม็ดบัวยังมีสรรพคุณ บำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต ช่วยรักษาอาการท้องร่วง และบิดเรื้อรัง และสรรพคุณพื้นบ้านที่ใช้กันเป็นยาบำรุงเลือด หรือเพิ่มเลือด

“การทานเม็ดบัว เพื่อการบำรุงเลือด มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการทานเม็ดบัวสดเท่านั้น” เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว หรือการนำมาต้มให้สุกจะใช้ไม่ได้ เม็ดบัวเชื่อมที่ใส่ไอศกรีมก็ใช้ไม่ได้

โดยหาซื้อฝักบัวสดที่มีขายเป็นกำๆ ตามตลาด ซึ่งหนึ่งฝักจะมีเม็ดบัวอยู่ในฝัก7-10 เม็ด แล้วแต่ความอ้วนของฝัก ดังนั้นเวลาทานต้องแกะออกจากฝัก แล้วนำมาแกะเปลือกออกจากเม็ด เพื่อจะทานเม็ดบัวสีขาวอมเหลืองที่อยู่ในเปลือก เมื่อได้เม็ดบัวที่แกะเปลือกออกแล้ว ให้ทานเข้าไปทั้งเม็ด โดยไม่เอาต้นอ่อนภายในเม็ด หรือที่เราเห็นเป็นเส้นเขียวๆ อยู่กลางเม็ดออก พูดง่ายๆ คือทานเข้าไปหมด รสชาติก็จะมีขมฝาดเล็กน้อย ใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อทานไปสักระยะก็จะเฉยๆ

ที่สำคัญต้นอ่อนในเม็ดบัว หรือดีบัวที่หลายคนชอบหยิบออกนั้น คือต้นอ่อนสีเขียวขมๆ สรรพคุณทางยาของจีน กล่าวว่าหากทานเข้าไปแล้วก็จะช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และบำรุงหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

ข้อสำคัญ พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่ ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แบบธรรมชาติราคาแสนจะคุ้มกับประโยชน์เลยทีเดียว


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #385 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2014, 06:15:40 am »
ใบมะกรูด มหัศจรรย์กำจัดแมลงในข้าวสาร

-http://guru.sanook.com/27225/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3/-



หลายๆ ครั้งที่เมื่อซื้อข้าวสารมาเก็บไว้ในโอ่ง หรือในกระสอบ มักจะมีแมลงตัวเล็กๆติดมาด้วย หรือบางทีนำมาเก็บไว้ไม่นาน เจ้าแมลงก็พากันอพยพเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับเชิญ กว่าจะซาวข้าวให้สะอาดได้ ต้องเสียเวลาในการเก็บออก หรือไม่ก็ต้องซาวหลายน้ำ เสียคุณค่าทางอาหารไปอีก แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ ให้ใส่ใบมะกรูดลงไปในถังข้าวสาร ใส่ทั้งก้านเลยก็ได้ (สะดวกในการเก็บออก) หลังจากนั้นไม่นานแมลงที่อาศัยอยู่เดิมก็จะตาย รวมทั้งไม่มีหน้าใหม่ๆ ย้ายเข้ามาอาศัยอีกด้วย ถ้าใบมะกรูดแห้งจนไม่มีกลิ่นแล้วก็ค่อยเปลี่ยนใบใหม่นะคะ

แหล่งที่มา :ThaifoodDB

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #386 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2014, 06:21:57 am »
สารพัดประโยชน์จากความขมของ “สะเดา”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000141613-



 สุภาษิตโบราณมักบอกว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” และ “สะเดา” ก็เป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่มีรสชาติที่ขม แต่ทว่าในความขมนั้น กลับอุดมไปด้วยประโยชน์และสรรพคุณมากมายทีเดียว
       
       และถึงแม้ว่าสะเดาจะมีรสชาติที่ขม แต่เรียกได้ว่าเมนูที่ทำจากสะเดา ก็ยังเป็นเมนูโปรดของใครหลายคน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือเมนูสะเดาน้ำปลาหวาน ที่มีความอร่อยเลิศรส
       
       นอกจากกินกับน้ำปลาหวานอร่อยแล้วสะเดายังมีประโยชน์อีกมากมาย เนื่องจากสะเดาเป็นผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน เป็นต้น
       
       ไม่เพียงเท่านั้นสะเดา ยังมีสรรพคุณด้านยาสมุนไพรช่วยบำรุงร่างกายอีกมากมาย อาทิ แก้อาการเสมหะติดคอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และยังช่วยลดอาการไข้ได้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังจะช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง อีกทั้งยังช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย
       
       แม้ว่าสะเดาอาจเป็นเมนูที่ไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่นัก แต่เรียกได้ว่าสรรพคุณของ “สะเดา” นั้นมีมากมายทีเดียว ทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยในการขับถ่าย แถมยังช่วยให้นอนหลับสบายอีก เจอเมนูสะเดาคราวหน้า คงต้องไม่พลาดที่จะลองลิ้มแน่นอน


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #387 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2014, 09:09:52 pm »
ผักสวนครัว 13 ชนิด ที่นำกลับมาปลูกเป็นอาหารได้อีก

-http://home.sanook.com/1909/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-25-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87/-




เวลาคุณๆ ไปจ่ายตลาด เลือกซื้อผักมาประกอบอาหารแต่ละครั้ง เคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าเราปลูกผักทานเองได้ จะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารไปได้เท่าไรต่อเดือน รวมทั้งหากเรารับประทานผักที่เราปลูกเอง ดูแลเอง จะทำให้เราได้รับประทานอาหารที่สด สะอาด ปราศจากสารพิษตกค้าง ซึ่งดีต่อสุขภาพ

Sanook! Home เลยอยากชักชวนและให้ไอเดียแก่คุณแม่บ้าน ด้วยการนำเศษเหลือจากการหั่นผักหลังใช้ประกอบอาหารแล้ว นำกลับมาปลูกใหม่อีกรอบ ซึ่งผักเหล่านี้โตเร็ว ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก ไปเลยค่ะ ออกไปจ่ายตลาด และเลือกผักกลับมาปลูกที่บ้านกัน




1.ผักกาดหอม หรือผักสลัด เป็นผักที่โตง่ายมาก หลังจากคุณเด็ดใบของมันใช้งานแล้ว สามารถนำโคนต้นไปแช่ในชามที่มีน้ำอยู่ก้นชาม แล้วนำชามนั้นไปตั้งไว้ในที่แสงแดดส่องถึง หลังจากนั้น 3-4 วัน คุณจะได้เห็นรากของมันเริ่มงอกออกมา หลังจากนั้นคุณก็นำผักกาดหอม หรือผักสลัดนั้นไปปลูกลงดิน




2.ผักคื่นฉ่าย เป็นผักประเภทหนึ่งที่เติบโตได้ดีจากเศษเหลือทิ้ง เพียงตัดท่อนปลายของลำต้นหลังจากการใช้งาน แล้ววางลงในชามที่บรรจุน้ำไว้เล็กน้อย จากนั้นนำชามไปวางไว้ในที่ๆ แสงแดดส่องถึงโดยตรง ประมาณ 1 สัปดาห์ผ่านไป คุณจะเริ่มเห็นใบอ่อนแทงยอดออกมาจากโคนต้น เมื่อเห็นใบอ่อนเริ่มแทงยอดออกมา คุณสามารถย้ายต้นคื่นฉ่ายนั้นลงดิน และดูแลให้มันโตขึ้นเรื่อยๆ




3.ตะไคร้ ถ้าคุณต้องทำอาหารที่มีตะไคร้เป็นวัตถุดิบประกอบบ่อยครั้ง แต่พอถึงเวลาจะใช้ก็ไม่ค่อยมี หากเป็นเช่นนั้นหลังจากคุณซื้อตะไคร้มาจากตลาดและใช้ประกอบอาหารแล้ว ให้เก็บท่อนล่างของลำต้นไว้แล้วนำไปแช่น้ำในแก้วทรงสูง ที่มีน้ำประมาณหนึ่ง เมื่อผ่านไปสักประมาณสัปดาห์ พอต้นตะไคร้มีรากงอก คุณก็นำต้นตะไคร้ไปปลูกลงดิน หรือในสวนผักของบ้านคุณ




4.ถั่วงอก ใครๆ ก็ทราบว่าเป็นผักที่ปลูกง่าย โตเร็ว เพียงแค่นำเมล็ดถั่วเขียวไปแช่น้ำ ทิ้งไว้ข้ามคืน วันรุ่งขึ้นเทน้ำออกจากภาชนะที่คุณนำเมล็ดถั่วไปแช่ จากนั้นนำเมล็ดถั่วเหล่านั้นไปใส่ไว้ในภาชนะที่ต้องการปลูก แล้วคลุมทับด้วยผ้าเช็ดตัวหมาดๆ เพื่อกักเก็บความชื้นให้มัน หลังจากนั้นเฝ้าดูการเจริญเติบโต และคอยสังเกตขนาดของลำต้นว่าใช้สำหรับทำอาหารที่คุณคิดเมนูเตรียมไว้ได้หรือยัง



5.มันฝรั่ง คุณแม่บ้านคงทราบว่า เราสามารถปลูกต้นมันฝรั่งได้จากการหั่นหัวมันฝรั่งที่มีตาไปเพาะลงในดิน ทิ้งไว้ประมาณสัก 2 สัปดาห์ คุณจะได้เห็นต้นอ่อนของมันฝรั่งค่อยๆ โตขึ้น





6.ขิง หลังจากซื้อขิงมาทำอาหารเรียบร้อยแล้ว บางครั้งเหลือเศษแห้งๆ ของแง่งขิงทิ้งไว้ ก็จะมีลำต้นอ่อนงอกออกมา เราสามารถนำเหง้าขิงชิ้นนั้นไปฝังหรือปลูกลงในดินได้เลย เพราะพอผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นอ่อนก็จะค่อยๆ งอกขึ้นมาใหม่



7.สัปปะรด ผลไม้รสชาติดีที่เราปลูกทานเองได้ ไม่ต้องไปซื้อให้เสียดายสตางค์ ง่ายๆ ค่ะเพียงซื้อสัปปะรดจากตลาด โดยเลือกพันธุ์ดีๆ จากนั้นใช้มีดตัดจุกสัปปะรดออก แล้วนำหัวสัปปะรดไปแช่ในภาชนะบรรจุน้ำ ที่มีขนาดพอดีกับหัวสัปปะรด เพียงไม่กี่วัน รากของมันก็จะงอกออกมาจากส่วนที่เราตัด แล้วนำไปปลูกลงในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ดูแลสักประมาณ 1 เดือน รากจะเริ่มแข็งแรง จากนั้นคอยบำรุง ใส่ปุ๋ย เพียงเท่านี้ก็ได้สัปปะรดพันธุ์ดีกินสมใจ




8.กระเทียม เราสามารถปลูกกระเทียมได้จากกลีบของมัน เพียงแค่คุณนำกลีบกระเทียมนั้นไปเพาะให้มีรากเสียก่อน แล้วค่อยนำลงดิน โดยรากต้องอยู่ลึกลงไปในดินประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของกลีบกระเทียม แล้วคลุมด้วยฟางเพื่อกำจัดวัชพืช แล้วหมั่นรดน้ำให้พอเพียง



9.หอมหัวใหญ่ เป็นผักอีกประเภทหนึ่งที่ปลูกง่าย โตเร็วทั้งกลางแจ้งและในร่ม เพียงตัดส่วนรากของหัวไปปักลงดิน รดน้ำสม่ำเสมอ รอให้รากงอกแล้วไปปักลงดินอีกครั้ง




10.ฟักทอง หลังใช้ฟักทองทำอาหารแล้ว ส่วนของเมล็ดฟักทอง ให้นำเมล็ดไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำเมล็ดฟักทองไปหว่านลงบนดิน ที่มีแสงแดดรำไรส่องถึง รดน้ำ เพียงไม่กี่วันกล้าอ่อนของต้นฟักทองก็จะค่อยๆ งอกออกมา



11.ผักชี ผักที่ใช้ในการทำอาหารบ่อยครั้ง เราสามารถนำลำต้นของมันไปแช่น้ำ และยกภาชนะนั้นไปตั้งไว้บริเวณที่มีแสงแดด เมื่อรากเริ่มงอก เราก็สามารถนำผักชีนั้นไปลงกระถาง ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ จะได้เห็นต้นอ่อนของผักชีงอกออกมา



12.มะเขือเทศ คุณสามารถปลูกมะเขือเทศ โดยหว่านเมล็ดของมันไว้บริเวณไหนก็ได้ เมื่อต้นอ่อนของมันขึ้นมาก็สามารถนำกล้านั้นไปเพาะลงกระถาง เมื่อความสูงของกล้าประมาณ 2 นิ้ว ก็นำต้นออกมาไว้ด้านนอก หมั่นดูแล รดน้ำประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพียงไม่นานคุณก็จะได้มะเขือเทศผลงามๆ ไว้ทานสมใจ




13.พริก เราจะปลูกด้วยเมล็ดแก่ที่เก็บเอาไว้ แต่ต้องมีการเตรียมดินให้มีธาตุอาหารที่เพียงพอ หลังจากนั้นก็รองด้วยปุ๋ยหมักในก้นหลุมที่ปลูก ถ้าเป็นกระถางก็รองที่ก้นกระถางก่อนที่จะเอาดินที่มีธาตุอาหารมาใส่ในกระถาง จากนั้นรดให้ดินชุ่ม ก่อนขีดเส้นลงไปในดินเป็นเส้นตรงซักหนึ่งเส้น แล้วใส่เมล็ดลงเล็กน้อย จากนั้นเอาฟางคลุมและรดน้ำตามอีกครั้ง


เป็นยังไงกันบ้างคะ คราวนี้จะได้มีผักเก็บไว้กินเองตลอดชีวิต

ภาพจาก www.istockphoto.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #388 เมื่อ: มกราคม 11, 2015, 11:44:57 am »
“กระเจี๊ยบเขียว” ผักบ้านๆ สารพัดคุณประโยชน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000144336-




 ชวนมารู้จัก “ฝักกระเจี๊ยบเขียว” หรือ “ผลกระเจี๊ยบเขียว” ที่มีลักษณะเป็นฝักเรียว ยาว มีรูปทรงเป็นเหลี่ยม 5 มุม ที่ฝักมีขนอ่อนๆ อยู่รอบๆ ซึ่งเรามักพบเห็นตามท้องตลาดกันอยู่บ่อยๆ
       
       สำหรับฝักกระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่สามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้หลากหลายเมนูทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว ยำกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบผัดขิงอ่อน กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้ง หรือชากระเจี๊ยบเขียว ก็ล้วนแล้วแต่อร่อยไม่แพ้กัน
       
       กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเอทิโอเปีย แถบศูนย์สูตรของทวีปแอฟริกา อียิปต์ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก และเอเชียใต้ นิยมปลูกมากทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยเฉพาะในประเทศไทยสามารถปลูกได้ทุกภาค ซึ่งกระเจี๊ยบเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน เส้นใย คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เป็นต้น
       
       นอกจากนี้แล้วยังมีคุณสมบัติที่ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร เยื้อบุกระเพาะและลำไส้อักเสบ ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยแก้บิด ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องของโรคกระเพาะ ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อน ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยรักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง อีกทั้งยังแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้อีกด้วย
       
       ไม่เพียงเท่านั้น กระเจี๊ยบเขียวยังเป็นพืชที่มีกลูตาไทโอน (glutathione) ที่จะช่วยควบคุมสารอนุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ และช่วยทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกายช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ซึ่งสารกลูตาไทโอนจะช่วยทำให้ผิวดูขาวขึ้น และมีสุขภาพผิวที่ดี
       
       เรียกได้ว่าสรรพคุรของฝักกระเจี๊ยบนั้นมีมากมายจนบรรยายไม่หมดทีเดียว ช่วงนี้รู้สึกระบบขับถ่ายไม่ค่อยจะดี ต้องไปหาฝักกระเจี๊ยบมาจิ้มน้ำพริกกินบ้างแล้วล่ะ!





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #389 เมื่อ: มกราคม 20, 2015, 09:36:30 pm »
สรรพคุณของกะเพรา

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-


ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com





    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)

    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)

    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ

    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)

    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)

    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)

    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)

    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)

    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)

    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)

    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)

    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)

    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)

    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)

    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)

    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)

    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารสกัดจากกะเพรา)

    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น

    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)

    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)

    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท

    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)

    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)

    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ

    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)




.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)