อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (83/85) > >>

sithiphong:
“ทุเรียน” ลดความอ้วนได้ จริงหรือ??
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 พฤษภาคม 2558 15:08 น.




จากที่มีการแชร์ข้อความ “ทุเรียนลดความอ้วน” กันอย่างมากมายในโลกโซเชียล จนทำให้หลายคนหันมาสนใจการกินทุเรียนมากขึ้นกว่าเดิม
       
       แต่จริงๆ แล้ว “ทุเรียน” สามารถช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือไม่นั้น ลองตามมาดูข้อมูลเหล่านี้กัน
       
-ทุเรียนมีเส้นใยสูง มีกำมะถัน ช่วยฆ่าเชื้อ ถ่ายพยาธิ และช่วยระบบเผาผลาญจากความร้อนของกำมะถัน : ทุเรียนมีกำมะถันอยู่จริง และมีเส้นใยสูงจริง แต่ไม่ได้มีมากขนาดที่จะไปช่วยระบาย หรือช่วยระบบเผาผลาญของร่างกาย ส่วนสารประกอบที่มีอยู่ในกำมะถัน จะไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ใช้ในการสะลายแอลกอฮอล์ จึงเป็นที่มาของการห้ามกินทุเรียนคู่กับเหล้า ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้
       
-ทุเรียนไม่มีคอเลสเตตอรอล : เพราะไขมันในทุเรียนคือไขมันไม่อิ่มตัว น้ำตาลและไขมันในทุเรียนถูกดูดซึมไปใช้ได้ง่าย และทำให้อ้วนง่าย พลังงานที่มากเกินไปหากร่างกายใช้ไม่หมดก็จะถูกสะสมในรูปของไขมัน ทำให้ไขมันในเลือดสูงได้

 -ทุเรียนมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย : จึงเป็นข้อควรระวังของผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคไตวายเรื้อรัง เพราะทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง
       
       ปริมาณทุเรียนที่พอเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงตามปกติ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี แต่หากมีโรคประจำตัว ควรศึกษาและควบคุมปริมาณให้เหมาะสม
       
       ส่วนใครที่อยากลดความอ้วน สูตรง่ายๆ ก็คือ ควบคุมปริมาณอาหาร ให้ปริมาณพลังงานที่กินเข้าไป น้อยกว่าพลังงานงานที่ร่างกายใช้ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

sithiphong:
ลดน้ำหนักด้วยกล้วย เรื่องกล้วยๆ ที่ไม่เคยทำ
02 พ.ค. 57 11.57 น.

-http://guru.sanook.com/27085/-

เชื่อหรือไม่ว่า การรับประทานกล้วย สามารถช่วย “ลดน้ำหนัก"  ได้...!?”

กล้วย... ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหน ต่างก็มีสารอาหารและวิตามินอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยจะมีโปรตีนมากกว่าถึง 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและแร่ธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า พร้อมอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงประสาท ทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิตอีกด้วย

กล้วย ยังสามารถช่วยทำให้ท้องอิ่ม เพราะกล้วยหอม 100 กรัม สามารถให้พลังงานมากถึง 120 กิโลแคลอลี่ ต่อหน่วย ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การทานกล้วยเพียง 2 ใบ สามารถให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานหนักนานถึง 90 นาที ด้วยเหตุนี้นักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาเทนนิส จึงนิยมรับประทานกล้วยในขณะที่ทำการแข่งขัน คุณประโยชน์ของกล้วยมีมากมายถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะกินกล้วย แต่รับรองว่าจะไม่ขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอน...

ในกล้วยหนึ่งใบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

เมื่อรับประทานกล้วยหนึ่งใบ ร่างกายจะได้รับสารอาหารดังต่อไปนี้


1. วิตามินบี 1 และบี 2 ซึ่งจะช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันอาการตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า

2. เกลือแร่ อาทิเช่น โปรเตสเซียม ที่ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ แมกนีเซียม ซึ่งช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม

3. เส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องผูก

4. ช่วยทำดีท็อกซ์ แป้งในกล้วยดิบมีฤทธิ์ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่วนในกล้วยสุกจะช่วยเพิ่มความต้านทานของร่างกาย และป้องกันหวัดได้เป็นอย่างดี

5. สารโพลีฟินิล มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่

6. สารยูจินอล ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย

7. เซโรโทนิน ช่วยลดความหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง

8. มีเอ็นไซต์ช่วยในการย่อย ทำให้การย่อย การดูดซึมอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กระเพาะและลำไส้จึงไม่ต้องทำงานหนัก

9. น้ำตาลในกล้วย เช่น กลูโคส ฟลุกโตส ซูโคส ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน พร้อมกับช่วยลดความต้องการในการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวันลดลง

10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการจัดการกับมะเร็ง

สำหรับสายพันธุ์ของกล้วยที่แนะนำให้รับประทานเพื่อลดน้ำหนักนั้น ควรเป็นกล้วยหอม เพราะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่น้อย เมื่อเทียบกับกล้วยในสายพันธุ์อื่นๆ แต่ก็สามารถใช้กล้วยประเภทอื่นๆมาทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า หรือกล้วยไข่ เป็นต้น ซึ่งในวันนี้จะขอแนะนำสูตรการลดน้ำหนักด้วยกล้วยหอมในมื้อเช้า ซึ่งเป็นสูตรที่ง่าย อร่อย และราคาไม่แพง มาฝากคุณสาวๆ กัน....
 

สูตรการลดน้ำหนักด้วยการทานกล้วยแทนมื้อเช้า

ใครจะเชื่อว่ากล้วยหอมเพียง 2 ใบ สามารถช่วยลดหุ่นให้ดูผอมเพรียวลงได้…!?

สำหรับสูตรลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงนี้ เป็นวิธีการที่สามารถทำได้อย่างง่ายๆด้วยตัวคุณสาวๆเอง โดยเพียงแค่การรับประทานทานกล้วยหอม 1-2 ใบ พร้อมกับน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องในตอนเช้า ส่วนในมื้อกลางวันและเย็นสามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่อาจเพิ่มอาหารว่างในตอนบ่ายสาม

 

ข้อมูลจาก : -http://www.kondoodee.com/-

sithiphong:
5 วิธีล้างผักให้ปลอดภัยจากสารพิษ นาทีที่ 8.45

-http://ch3.sanook.com/52111/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88-

วิธีที่ 1

ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบกกิ้งโซดา) 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ น้ำอุ่น 20 ลิตร แช่ไว้นาน 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 80-95%

วิธีที่ 2

เด็ดผักเป็นใบ ล้างผ่านน้ำสะอาดไหลผ่านหลาย ๆ ครั้ง ช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 54-63%

วิธีที่ 3

ใช้ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 35-43%

วิธีที่ 4

ใช้น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ลดปริมาณสารตกค้างได้ 29-38%

วิธีที่ 5

ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ลดปริมาณสารตกค้างได้ 27-38%



http://ch3.sanook.com/52111/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88

.

sithiphong:
มาพิชิต...อ้วนกันเถอะ

-http://health.sanook.com/457/-


ในภาวะเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โรคที่พบส่วนใหญ่เกิดจากมลภาวะ ความเครียด และการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกต้องเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพตามมา โรคอ้วนก็เป็นโรคหนึ่งที่พบได้มากขึ้นจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป

โรคอ้วน หมายถึง การที่บุคคลมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ปกติ โดยมีดัชนีมวลกาย (BMI : Body mass index) เป็นตัวกำหนด ซึ่งค่า BMI ที่เหมาะสมของคนเอเชียมีเกณฑ์ดังนี้ ค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5 – 22.9 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่าเหมาะสม แต่ถ้าค่า BMI น้อยกว่า 18.5 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่าผอมเกินไป ค่า BMI อยู่ระหว่าง 23 – 24.9 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่ามีน้ำหนักตัวเกิน และถ้าค่า BMI มากกว่า 25 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่า เป็นโรคอ้วน ค่าดัชนีมวลกายมีวิธีคำนวณดังนี้

ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
ความสูง2 (เมตร)

เช่น ผู้ที่มีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตรหรือ 1.60 เมตร
มีค่าดัชนีมวลกาย = 55 = 21.5 กิโลกรัม/เมตร2
1.6 x 1.6

ซึ่งจัดว่าค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นต้น

ความอ้วนทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ดังนี้

1. เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ง่าย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคนิ่วในถุงน้ำดี ปอดทำงานไม่ดี เป็นต้น
2. ความอ้วนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งในอวัยวะบางตำแหน่งของร่างกาย เช่น ลำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี ต่อมลูกหมาก เต้านม ปากมดลูก รังไข่ และปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น
3. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งจะทำให้ออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจน เป็นต้น
4. การรักษาโรคใดก็ตามด้วยการผ่าตัดมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่า
5. ทำให้ข้อต่างๆของร่างกายต้องแบกรับน้ำหนักมาก มีผลทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้
6. รูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและจิตใจ
7. การเคลื่อนไหวร่างกายทำได้ไม่สะดวก ขาดความกระฉับกระเฉงว่องไวในการทำกิจกรรม

ปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วน ได้แก่

1. พฤติกรรมในการรับประทานอาหาร : การรู้จักเลือกประเภทอาหารในการรับประทานเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก เช่น ไขมันเป็นอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุด โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ขาหมู ข้าวมันไก่ เป็ดย่าง เนื้อผัดน้ำมันหอย เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ไข่แดง นม เนย อาหาร จำพวกทอดต่างๆ กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ถ้ารับประทานในปริมาณมากก็จะทำให้ได้พลังงานเกินและเก็บสะสมไว้ในร่างกายส่งผลทำให้น้ำหนักตัวมากขึ้น นอกจากนี้พฤติกรรมการ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รับประทานจุบจิบ รับประทานขนมขบเคี้ยวก็มีผลต่อน้ำหนักของร่างกายเช่นเดียวกัน

2. กิจวัตรประจำวัน : ปัจจุบันคนในสังคมเมืองทำงานในสำนักงานมากกว่างานที่ใช้แรง ทำให้การใช้พลังงานในชีวิตประจำวันลดน้อยลงรวมทั้งขาดการออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายถือว่ามีความสำคัญมากเพราะเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานสูงและแต่ละคนจะใช้พลังงานส่วนนี้แตกต่างกัน

3. พันธุกรรม: การสะสมพลังงาน เด็กที่มีพ่อแม่อ้วนมีแนวโน้มว่าจะอ้วน 25 – 30 %

4. เพศ : เพศหญิงจะอ้วนง่ายกว่าเพศชาย เนื่องจากเพศชายมีกล้ามเนื้อมากจึงมีการใช้พลังงานมากกว่า

5. อายุ : เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณกล้ามเนื้อจะน้อยลงและการทำกิจกรรมต่างๆลดลงทำให้การใช้พลังงานน้อยลง พลังงานจึงถูกเก็บสะสมในรูปของไขมัน

6. ความอ้วนในวัยเด็ก : ปกติร่างกายของทุกคนประกอบด้วยเซลล์ไขมันประมาณ 30,000 - 40,000 ล้านเซลล์ เซลล์เหล่านี้จะทำหน้าที่เก็บไขมันส่วนเกินไว้ในตัวมันเองโดยไม่จำกัดขนาดของเซลล์ ดังนั้นเด็กที่ได้รับอาหารมากกว่าปกติตั้งแต่ในวัยเด็กจะมีปริมาณและขนาดเซลล์ไขมันมากกว่าเด็กปกติ 3 เท่า ซึ่งจะทำให้เด็กคนนั้นมีโอกาสอ้วนไปตลอดชีวิต

7. โรคอื่นๆ : มีโรคบางอย่างที่ทำให้อ้วนได้ เช่น โรคของการเผาผลาญ อาหารบางอย่าง หรือโรคของฮอร์โมนบางชนิด เป็นต้น

วิธีลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนัก มีดังนี้

1. จงลดความอ้วนด้วยความต้องการของตนเอง ไม่ใช่ลดเพราะผู้อื่นบังคับ
2. เลือกเวลาที่เหมาะสม มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
3. ตั้งเป้าหมายในการลดความอ้วนที่มีความเป็นไปได้ ไม่ตั้งเป้าสูงเกินไป โดยผู้หญิงควรตั้งเป้าไว้ ½ กก.ต่อสัปดาห์ ส่วนผู้ชาย 1 กก.ต่อสัปดาห์ และควรให้น้ำหนักค่อยๆลดลงเพราะถ้าน้ำหนักลดลงเร็วเกินไปจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย
4. รับประทานอาหารทุกมื้อตามปกติแต่ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลง เช่น อาหารประเภทข้าว แป้ง ขนมปังควรรับประทานแต่พอควร ซึ่งโดยทั่วไปผู้หญิงที่ทำงานในสำนักงานไม่ควรรับประทานข้าวเกิน 7-8 ทัพพี/วัน สำหรับผู้ชายไม่ควรเกิน 10-12 ทัพพี/วัน และควรรับประทานผัก ผลไม้ เช่น ส้ม ชมพู่ มะละกอ แตงโม ฝรั่งให้มากขึ้นเพราะให้พลังงานต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมันหรือติดหนัง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ กะทิ เป็นต้น
5. งดดื่มน้ำอัดลม น้ำหวานและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ และงดรับประทานอาหารหวาน ขนมหวาน และผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย เป็นต้น
6. ปรับเปลี่ยนนิสัยในการรับประทานอาหาร เช่น ไม่รับประทานจุบจิบ ไม่รับประทานขนมขบเคี้ยว และควรเคี้ยวอาหารช้าๆ เป็นต้น
7. หมั่นออกกำลังกาย เช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ อย่างน้อยครั้งละ 30 – 45 นาที สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้งหรือวันเว้นวัน หรือเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันเพื่อให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น เช่น ขึ้นลงโดยใช้บันไดแทนการใช้ลิฟท์ เป็นต้น

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่

1. การอดอาหาร : จะทำให้น้ำหนักตัวในช่วงแรกลดลงเร็วจากการขาดน้ำ แต่ปริมาณไขมันในร่างกายไม่ได้ลดลง ในทางตรงข้ามหลังอดอาหารเมื่อกลับมารับประทานอาหารใหม่มีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

2. รับประทานยาลดความอ้วน : เนื่องจากเป็นยาที่ลดความอยากอาหารหรือเพิ่มการใช้พลังงานโดยการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง มีผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ขาดน้ำการดูดซึมอาหารลดลง นอกจากนี้ร่างกายมักมีอาการทนต่อยาและต้องใช้ยาในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลในการลดน้ำหนักซึ่งอาจมีโทษต่อร่างกายตามมา ดังนั้นจึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาเกี่ยวกับยาลดความอ้วนต่างๆ สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนแล้วควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ

1. ลดน้ำหนักให้ได้พอควร

2. รักษาน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้วให้ได้ตลอด

3. ร่วมกับโรคอ้วน

การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา การสร้างทัศนคติที่ดีต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมกับความตั้งใจจริงจะเป็นหัวใจสำคัญในการลดน้ำหนักให้ได้ผล อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักตัวไว้ได้โดยวิธีการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย รวมทั้งมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นควรไปปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาในการดูแลรักษาต่อไป


เอกสารอ้างอิง

พินิจ กุลละวณิชย์.(2544).โรคอ้วน.วงการแพทย์,ปีที่ 2 (ฉบับที่ 80), หน้า 22.

วิชัย ตันไพจิตร ปรียา ลีฬหกุล รัตนา พากเพียรกิจวัฒนา. (2544).การตรวจคัดกรองโรคอ้วนและภาวะทุพโภชนาการในผู้ใหญ่. วารสารคลินิก,ปีที่ 17 (ฉบับที่ 4),หน้า 295 – 304.

วิชัย ตันไพจิตร ปรียา ลีฬหกุล รัตนา พากเพียรกิจวัฒนา. (2544).การให้คำปรึกษาเพื่อป้องกันและบำบัดโรคอ้วน.วารสารคลินิก,ปีที่ 17(ฉบับที่ 4),หน้า 305 – 317.

วันทนีย์ เกรียงสินยศ.(2548).กินอย่างไรไม่ให้อ้วน. ใน สุรเกียรติ อาชานานุภาพ(บรรณาธิการ),นิตยสารหมอชาวบ้าน(ฉบับที่ 318,หน้า 30 – 32 ).กรุงเทพ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน

สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.อาหารทั่วไปและเฉพาะโรคผู้สูงอายุ.

สุรเกียรติ อาชานานุภาพ,(2544).ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 2 ).กรุงเทพฯ: อุษาการพิมพ์.


งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ผู้เรียบเรียง รุ่งฤดี จิณณวาโส และ ภัทราพร พูลสวัสดิ์

จัดทำโดยหน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร. 0-2201-2520-1

ขอบคุณข้อมูล จาก http://ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/main/?q=node/79

เนื้อหาโดย : Sanook!


sithiphong:
“กีวี่” อร่อยดี มีคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000088447-

“กีวี่” เป็นผลไม้ลูกเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยคุณค่า หลายคนอาจจะคิดว่ากีวี่มีต้นกำเนิดในประเทศทางยุโรป หรือที่นิวซีแลนด์ แต่รู้หรือไม่ว่าที่จริงแล้ว “กีวี่” มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน นี่เอง
       
       กำเนิดของกีวี่แม้จะอยู่ในประเทศจีน แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกมานอกประเทศ จนกระทั่งมีผู้นำไปปลูกที่ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วมีการปรับปรุงพันธุ์จนได้กีวี่ที่มีรสชาติดี สามารถปลูกเพื่อเป็นสินค้าส่งออกที่มีชื่อเสียงของประเทศได้ ซึ่งในสมัยก่อนนั้นกีวี่มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า “Chinese Gooseberry” แต่เมื่อมารุ่งเรืองที่นิวซีแลนด์ จึงมีการเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “Kiwi” ตามชื่อของนกกีวี่ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศนิวซีแลนด์
       
       รูปร่างหน้าตาของลูกกีวี่นั้น จะเป็นผลรีๆ รูปไข่ มีขนเล็กๆ ปกคลุมทั่วผล เนื้อด้านในเป็นสีออกเขียว หรือออกเหลือง แล้วแต่สายพันธุ์ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ชุ่มน้ำ สามารถเก็บไว้ได้นานถึงสองอาทิตย์หากเก็บไว้อย่างเหมาะสม
       
       สำหรับคุณค่าที่ได้จากการกินกีวี่นั้น อย่างแรกเลยคือ กีวี่เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก เพื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น ส้ม มะละกอ ฯลฯ ซึ่งวิตามินซีนั้นจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรค และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมถึงกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ด้วย
       
       นอกจากนี้ กีวี่ยังมีวิตามินอีที่ช่วยชะลอความชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนโลหิตในร่างกายด้วย ที่สำคัญ ยังมีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารจากธรรมชาติ ช่วยในเรื่องระบบการขับถ่ายและการย่อย
       
       ผลไม้ลูกเล็กๆ แค่นี้ แต่ต้องเรียกว่าเล็กพริกขี้หนู เพราะกินแล้วได้ประโยชน์มากมายจริงๆ




นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version