อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
.
รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย
ช่วงวันสงกรานต์อย่างนี้ ร้านรวงหลายแห่งก็ปิด การหาอาหารทานช่างยากลำบาก คงต้องหยิบอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ขึ้นมากิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า อาหารกระป๋องเหล่านั้น จะปลอดภัยพอที่จะรับประทานได้ไหม ลองอ่านดู มีคำแนะนำ
เริ่มตั้งแต่เวลาซื้ออาหารกระป๋องมาใหม่ ๆ ถ้าอยากให้อยู่ได้นานและมีคุณภาพดีจนถึงวันหมดอายุ ก็ควรเก็บในที่แห้งและสะอาด ไม่ร้อนจัดจนเกินไป แต่ถ้าสงสัยว่าอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ยังทานได้หรือไม่ แนะนำให้หยดน้ำลงบนกระป๋อง 2-3 หยด แล้วใช้ตะปูใหม่ ๆ ที่ไม่เป็นสนิม เช็ดให้สะอาด เจาะกระป๋องให้ทะลุ ถ้าลมในกระป๋องดูดน้ำลงไปแสดงว่าอาหารยังดีสามารถรับประทานได้ แต่ถ้ามีลมดันน้ำขึ้นมา แสดงว่าเสียห้ามทาน
ทางที่ดีไม่ควรบริโภคอาหารกระป๋องที่เก็บไว้นานเกินไป เพราะอาจมีปริมาณของโลหะบางชนิดจากภาชนะที่บรรจุอาหารอยู่ ละลายลงสู่อาหารในระดับที่สูงเกินมาตรฐานกำหนด อาจทำให้เกิดพิษต่อผู้บริโภคได้
สิ่งที่ควรทำอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อจะรับประทานให้เทอาหารจากกระป๋องใส่ในภาชนะอื่น แล้วสังเกตดูว่าด้านในกระป๋องที่บรรจุนั้น มีรอยถูกกัดกร่อนหรือไม่ เพราะหากมีอาจจะได้รับอันตรายจากโลหะที่หลุดลอกออกมาได้
ส่วนอาหารคาวนั้นถ้าเป็นไปได้ควรจะใส่ภาชนะหุงต้ม แล้วนำไปอุ่นให้เดือดก่อนรับประทาน (ห้ามอุ่นด้วยกระป๋อง) ประมาณ 5-10 นาที เพราะนอกจากจะทำให้อาหารน่ารับประทานยิ่งขึ้นแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าปลอดภัยอีกด้วย.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
.
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย
.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=132531
.
sithiphong:
เที่ยวอยู่ผิดที่ ‘ท้องผูก’ ดื่มน้ำ3ผักแก้ได้
เห็นว่าเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ คนจำนวนไม่น้อยเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ต้องพักค้างอ้างแรมในต่างถิ่น ซึ่งอาจทำให้บางคนที่ระบบขับถ่ายหวั่นไหว เมื่อไม่คุ้นชินกับสถานที่จึงไม่อาจถ่ายหนักออกมาได้ กักเก็บไว้รอกลับมาระบายออกในส้วมที่บ้านอันคุ้นเคย พาลเกิดปัญหาท้องผูก ยามเมื่อถ่ายได้ อุจจาระแข็งใหญ่ออกยาก เสี่ยงปากทวารหนักเป็นแผล หรือริดสีดวงกำเริบ
เหตุสำคัญข้างต้น ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สัปดาห์นี้ขอส่งเครื่องดื่มสุขภาพ ช่วยแก้อาการท้องผูก และกระตุ้นการขับถ่ายให้ง่ายขึ้น ด้วยสารอาหารจาก ผัก-ผลไม้ 3 ชนิด อย่าง แครอต แอปเปิ้ลเขียว และส้ม
คุณค่าของแครอต ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อย กำจัดแบคทีเรียตัวร้ายในลำไส้ใหญ่ เพราะมีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ และคลอรีน
ส่วนแอปเปิ้ลเขียว อันอุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก เส้นใยเพ็กติน แอปเปิ้ลจึงช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้เล็ก แถมยังเป็นผลไม้ที่ช่วยลดความเครียดได้ด้วย
สำหรับส้มนั้น กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสดชื่น ช่วยในการขับถ่าย ในส้มจะมีวิตามินซี ไบโอฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และสังกะสี
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ…
* แครอต 1 ถ้วย
* แอปเปิ้ลเขียว 1 ถ้วย
* ส้ม 2 ผล
ขั้นตอนในการทำ หลังจากล้างทำความสะอาดส่วนผสมทั้งหมดแล้ว ให้นำแครอตไปขูดเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนแอปเปิ้ลเขียวหั่นขนาดสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ปอกเปลือกส้มและแกะออกเป็นกลีบ โดยไม่ต้องเลาะเมล็ดออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสามชนิดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วสามารถเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นก่อนดื่มได้
อยากขับถ่ายออกได้ไม่ต้องอึดอัด นอกจากดื่มน้ำผัก-ผลไม้นี้แล้ว ควรเน้นกินผักและผลไม้สดๆ ให้มาก รวมถึงนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ที่มีเส้นใยช่วยและจุลินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentID=132421
.
sithiphong:
ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง
ทำสิ่งใดๆ ถ้าไม่ตั้งใจ ผลลัพธ์ก็ยากที่จะออกมาดี เช่นเดียวกับเรื่องสุขภาพ ถ้าไม่ใส่ใจดูแลให้ดี แล้วจะแข็งแรงได้อย่างไร?
ตั้งต้นไปอย่างนั้น ก็เพราะ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ หวัง ให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพอย่าได้ถอดใจกับการเตรียมส่วนผสมในสูตรเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจดูมากอย่างและหายากสำหรับบางคน แต่รับรองว่าคุณประโยชน์ที่ได้ คุ้มค่ากับความตั้งใจ
เครื่อง ดื่มสูตรนี้ได้จากแครอท อินทผลัมสด งาขาว จมูกข้าวสาลี และน้ำส้มคั้น กลายเป็นแหล่งรวมแมกนีเซียม แคลเซียม และวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคหวัด คลายเครียด บำรุงผิวพรรณ
ส่วนผสมต่างๆ ให้เตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้ (สำหรับ 1 แก้ว)
* แครอทขนาดกลาง 1 หัว
* อินทผลัมสด 3 ผล
* งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ
* จมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำส้มคั้นสด 1/3 ถ้วยตวง
* น้ำแข็ง พอประมาณ
ขั้นตอนในการทำ ให้ปอกเปลือกแครอทและหั่นพอหยาบ ส่วนอินทผลัมให้คว้านเอาเมล็ดออก งาขาวนำไปขั้วให้สีอมน้ำตาลอ่อน ได้แล้วนำส่วนผสมทั้งสามใส่รวมกับจมูกข้าวสาลี น้ำส้มคั้นสด และน้ำแข็ง ปั่นรวมกันจนเข้ากันดีเป็นเนื้อเดียว เทใส่แก้วดื่มทันที
แค่นี้ก็จะได้เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพปั่นเย็น รสสัมผัสกรุบๆ จากแครอท งา และจมูกข้าวสาลี ออกหวานนิดๆ จากอินทผลัมและน้ำส้มคั้นสด โดยไม่ต้องง้อน้ำตาล.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง
.
http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=134117
.
sithiphong:
“ชะคราม” รสเค็ม เต็มคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 เมษายน 2554 10:31 น.
“108 เคล็ดกิน” ได้ไปลองชิมอาหารอยู่จานหนึ่งที่ชื่อว่ายำชะคราม ฟังดูแล้วชื่อไม่ค่อยคุ้นหูเสียเท่าไหร่ก็เลยลองกลับมาหาความรู้ดูว่า “ชะคราม” ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่
“ชะคราม” หรือในบางพื้นที่อาจจะเรียกว่า “ชักคราม” หรือ “ส่าคราม” เป็น ไม้ล้มลุก และเป็นวัชพืชที่เจริญเติบโตได้ง่ายในบริเวณที่ดินเค็ม ใบของชะครามจะดูดเอาความเกลือจากดินมาเก็บไว้ จึงทำให้ใบมีรสเค็ม ซึ่งเมื่อใบชะครามแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
ฉะนั้น เวลาจะเลือกชะครามมาปรุงอาหารให้เลือกใช้ใบอ่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มคั้นน้ำทิ้งไป 2-3 ครั้งเพื่อให้ลดความเค็มลง จากนั้นก็นำไปทำอาหารจานเด็ดได้เลย ซึ่งก็ทำได้หลากหลายเมนู อย่างเช่น ยำชะคราม ใส่ลงไปในแกงเผ็ดกับปูหรือกุ้ง ทำเป็นผักลวกจิ้มราดกะทิกินคู่กับน้ำพริก นำไปใส่ไข่เจียวแทนชะอม หรือเอาใบชะครามไปชุบแป้งทอดก็อร่อยเหมือนกัน
นอกจากจะเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายจานแล้ว ชะครามก็ยังมีสารอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ที่เริ่มมีผู้สนใจทำวิจัยสาระสำคัญในชะครามเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายภาค หน้า
ในส่วนรากของชะคราม ให้กินเป็นยาบำรุงกระดูก แก้พิษฝีภายใน ดับพิษในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้โรคผิวหนังและเส้นเอ็นพิการ
ลำต้นและใบของชะครามก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเช่นกัน เพราะตัวชะครามดูดเกลือจากดินมาเก็บไว้ ทำให้มีธาตุไอโอดีนสะสมอยู่ ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้ และยังมีสรรพคุณใช้รักษารากผม แก้ผมร่วงได้ด้วย
ได้รู้จักกับชะครามกันแล้ว คราวหน้าถ้าหากเห็นเมนูที่ทำมาจากชะคราม “108 เคล็ดกิน” คงไม่พลาดที่จะลิ้มลองแน่ๆ
.
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000048166
.
sithiphong:
“มะม่วง” กินสุกก็หวาน กินดิบก็อร่อย หลากหลายคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2554 12:31 น.
ระยะนี้ “108 เคล็ดกิน” เห็นมีมะม่วงมากมายหลายสายพันธุ์มาวางขายตามท้องตลาด มีทั้งแบบที่กินสุกและกินดิบ ซึ่งมะม่วงในบ้านเรานั้นก็มีให้กินกันได้ทั้งปี แต่จะเลือกแบบไหนให้อร่อยถูกปากถูกใจเรานั้นก็มาดูกันได้เลย
มะม่วงกินดิบ สายพันธุ์ที่นิยมกินกัน เช่น เขียวเสวย ฟ้าลั่น กาละแม มันคุณศรี โชคอนันต์ แก้ว เขียวไข่กา มันเดือนเก้า ซึ่งเป็นประเภทที่จะกรอบ มัน ส่วน มะม่วงแรด หนองแซง น้ำดอกไม้ เป็นประเภทกินดิบที่มีรสเปรี้ยว
ส่วนมะม่วงกินสุก ที่นิยมกัน เช่น พันธุ์น้ำดอกไม้ อกร่อง พิมเสน และนิยมกินคู่กับข้าวเหนียวมูลเพิ่มรสชาติความอร่อยให้เต็มปากเต็มคำ
นอกจากนี้ก็ยังมีมะม่วงอีกหลายสายพันธุ์ ทั้งที่เป็นพันธุ์ที่ปลูกได้ทั่วไปและมีเฉพาะในท้องถิ่น ซึ่งก็มีลักษณะและรสชาติเฉพาะตัว
และนอกเหนือจากความอร่อยแล้ว มะม่วงก็ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ส่วนที่เป็นเปลือกต้นและเนื้อในเมล็ด มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้รักษาอาการท้องเสีย แก้บิด แก้อาเจียน ผลสดแก่ กินแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ
ใบอ่อน และยอดมะม่วง มีรสเปรี้ยวอมฝาด ผลสดดิบ ให้พลังงานกับร่างกาย ประกอบด้วย เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบด้าแคโรทีน วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน วิตามินซี เป็นต้น
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000053623-
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version