อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
ต้นใต้ใบสุดยอดสมุนไพรรักษาโรค
วันพุธ ที่ 11 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:00 น
สมุนไพรชื่อแปลก ๆ แต่สรรพคุณสุดยอด หญิงสาวหลายคนรู้จักมันอย่างไม่เต็มใจเพราะต้องเคยดื่มน้ำขม ๆ เวลาเป็นไข้ทับฤดู
ต้นใต้ใบ ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ หรือ มะขามป้อมดิน ล้วนเป็นชื่อของสมุนไพรชนิดนี้ เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1-2 ฟุต ทุกส่วนมีรสขม ลำต้นเรียบแตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบมน ก้านใบสั้น ผลรูปกลมแป้นขนาดเล็ก ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่แพร่กระจายอยู่ในหลายๆ ประเทศ แต่ละถิ่นที่มีลูกใต้ใบจะใช้ประโยชน์ทางยาจากสมุนไพรชนิดนี้เหมือน ๆ กัน
สรรพคุณของมันมีมากมาย ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรสำหรับทานแก้ไข้ได้ทุกชนิด รวมทั้งแก้ท้องเสียด้วย ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อแก้ไข้ มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อตับอีกด้วย คือ ถ้าต้มลูกใต้ใบดื่มติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ และรักษาอาการดีซ่าน รวมถึงสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี ได้ผลดีอีกด้วย
ลูกใต้ใบยังเป็นสมุนไพรยอดนิยมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเพราะช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน สำหรับสาว ๆ ที่เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน แนะนำให้นำต้นใต้ใบนี้มามัดรวมแล้วต้มดื่มน้ำ หรือนำหญ้าใต้ใบล้างน้ำให้สะอาด ตำละเอียดผสมสุรา คั้นเฉพาะน้ำยา กินครั้งละ 1 ถ้วยชาก็ได้ ข้อควรระวังก็คือ ห้ามใช้ในคนท้อง เพราะลูกใต้ใบเป็นยาขับประจำเดือน แน่นอนมันเป็นยารักษาโรคได้มากขนาดนี้ ย่อมมีรสขมมาก พืชชนิดนี้หาไม่ยาก แต่คนมักไม่สนใจไม่รู้จัก จึงทำลายทิ้ง หากทราบประโยชน์ของมันอย่างนี้แล้ว คราวหน้าถ้าเห็น ก็ควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้.
ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=138028
.
sithiphong:
“ยอ” ของดีตำรับไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2554 16:00 น.
ปัจจุบันนี้เรามักจะเห็นสมุนไพรไทยที่มีการนำมาแปรรูปในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบแคปซูล สกัดเป็นสารออกมาแล้วผสมกับส่วนผสมอื่นๆ หรือแปรรูเป็นเครื่องดื่ม อย่างเช่น “น้ำลูกยอ” ที่ “108 เคล็ดกิน” เคยเห็นวางขายอยู่ตามห้างทั่วไป
สำหรับสรรพคุณของ “ยอ” นั้นก็มีอยู่อย่างมากมาย ในส่วนของ “ลูกยอ” มีทั้งวิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียมสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์กล่อมประสาท เป็นยานอนหลับอ่อนๆ บำรุงสมอง บำรุงการไหลเวียนของเส้นเลือดในสมอง
ในผลยอมีสารสำคัญคือแอสปรูโลไซต์ (Asperuloside) ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์แก้คลื่นไส้อาเจียนได้เป็นอย่างดี ส่วนสารโปรซีโรนีน (Proxeronine) ที่มีอยู่มากในผลยอนั้น จะช่วยปรับสภาพเซลล์ให้มีความสมดุลแข็งแรง และมีภูมิต้านทานที่ดีอีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติและกระตุ้นให้เซลล์ใหม่เติบโตและทำหน้าที่ได้เป็นปกติ
ในผลยอยังประกอบ ด้วยสารสำคัญอีกมากมายเช่น สารแอนทรา ควิโนน (Antraquinones) ที่ช่วยควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อโรคต่างๆ สารสโคโปเลติน (Scopoletin) มีคุณสมบัติช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวจึงสามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงกลับเป็นปกติได้ และสารเซโรโทนิน(Serotonin) ที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีและสมบูรณ์มากขึ้นทำให้ลำไส้ดูดซึมได้ง่าย จึงช่วยลดอาการท้องผูกจุกเสียด ช่วยระบายท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และยังช่วยขับพยาธิตัวกลมโดยเฉพาะพยาธิเส้นด้ายและพยาธิไส้เดือนได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันนิยมนำมาแปรรูปเป็นชนิดแคปซูลโดยการบดลูกยอเป็นผงแล้วนำมาบรรจุแคปซูล หรือนำไปไปสกัดเป็นน้ำลูกยอ
หรือหากว่าจะทำกินเองแบบง่ายๆ เพียงแค่นำลูกยอมาฝานเป็นแว่นๆ ตากแดดให้แห้ง เมื่อจะกินก็นำแว่นลูกยอที่ตากแห้งดีแล้วใส่แก้ว แล้วเทน้ำร้อนลงไป ทิ้งไว้สักครู่ และดื่ม ลักษณะคล้ายกับการดื่มชา
นอกจากลูกยอแล้ว “ยอ” ก็ยังสามารถนำส่วนอื่นมาใช้ได้ด้วย อาทิ ใบยอ มีวิตามินเอมาก มีคุณสมบัติในการบำรุงสายตา บำรุงหัวใจ หรือนำใบไปคั้นน้ำนำมาสระผมฆ่าเหา หรือนำใบยอไปปรุงอาหาร สามารถแก้ท้องร่วงได้
รากของต้นยอ สามารถใช้เป็นยาระบาย แก้กระษัย และยังสามารถนำมาสกัดเป็นสีย้อมผ้าได้ โดยสีเดิมจะมีสีเหลือง หรือเหลืองปนแดง หากผสมเกลือตามสัดส่วนต่างๆ จะได้สีที่ต่างกัน เช่น ชมพู น้ำตาลอ่อน สีม่วงแดง หรือสีดำ เป็นต้น
.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000058907-
.
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000058907
.
sithiphong:
เจ็บคอ ‘กะหล่ำปลี’ ช่วยบรรเทา
แก้เจ็บคอ บรรเทาอาการไอ กะหล่ำปลี ควงมาพร้อมแครอต และแอปเปิ้ล
เชื่อว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ความชื้นที่มากับฤดูฝน คงเป็นตัวกระตุ้นอาการภูมิแพ้กำเริบ พาลพาให้รู้สึกคัดจมูก เป็นหวัด แถมอาการเจ็บคอยังติดสอยห้อยตามมาด้วย
‘มุมสุขภาพ-กินดี’ วันนี้ มีสูตรเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักและผลไม้ใกล้ๆ ตัว มาแนะนำให้ปรุงดื่มแก้เจ็บคอและบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก ซึ่งพระเอกในสูตรนี้ คือ ‘กะหล่ำปลีม่วง’ อันอุดมด้วยสารไฟโตเคมิคอล ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ แก้ไอ แถมสารอาหารในผักชนิดนี้ยังเป็นเกราะป้อนกันเซลล์มะเร็งด้วย
ส่วนผักและผลไม้ที่สามารถช่วยลดกลิ่นเหม็นเขียวให้จางลง และช่วยให้เครื่องดื่มสูตรนี้ดื่มได้ง่ายขึ้น คือ แครอตกับแอปเปิ้ล ซึ่งต่างก็มีสรรพคุณที่ช่วยเกื้อหนุนเสริมคุณค่ามากยิ่งขึ้น สำหรับ ‘แครอต’ ก็ยังช่วยบรรเทาอาการไอได้เช่นกัน ในผักสีส้มสวยนี้ มีเบต้าแคโรทีน ซัลเฟอร์ คลอรีน ส่วน ‘แอปเปิ้ล’ ช่วยลดไข้ แก้หวัด คัดจมูก เพราะมีวิตามินซี บี1 บี2 และบี6 นั่นเอง
ส่วนผสมและสัดส่วนในสูตร เตรียมดังต่อไปนี้...
กะหล่ำปลีม่วง 1 ถ้วย
แครอต 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลแดง 1 ถ้วย
ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากทำความสะอาดล้างผักและผลไม้ให้เรียบร้อย จากนั้นนำกะหล่ำปลีซอยเป็นชิ้นเล็กๆ แครอตกับแอปเปิ้ลหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดพอประมาณ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันโดยใช้เครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เมื่อได้น้ำผักและผลไม้สูตรนี้แล้ว จะเติมน้ำแข็งป่นสักเล็กน้อยช่วยให้ดื่มง่ายขึ้นก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรเติมมากเกินไปเพราะจะทำให้ระคายคอ.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=139818-
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=139818
.
sithiphong:
ปั่น 'ส้ม-มะม่วง-ขิง' ดื่มต้านมะเร็ง
น้ำส้มคั้น ไม่ว่าจะดื่มกันสดๆ หรือนำไปปั่นให้เย็นสดชื่น ต่างก็เป็นน้ำผลไม้ที่ดื่มง่าย ถูกใจหลายคน เพราะรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ชวนให้รู้สึกตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า ส้มที่อุดมด้วยวิตามินซี ยังช่วยบรรเทาและต้านโรคหวัด ทว่าอยากเติมคุณค่า เปลี่ยนเป็นน้ำส้มที่ไม่ธรรมดา ลองใส่ มะม่วงกับขิง เข้าไป ช่วยเพิ่มให้เครื่องดื่มสูตรนี้มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็งร้าย และป้องกันการอักเสบของร่างกาย
สำหรับส่วนผสมของน้ำปั่นส้ม เพิ่มมะม่วง เติมขิง ประกอบไปด้วย...
น้ำส้มคั้นสด 1 ถ้วย
มะม่วงสุกลูกโตปอกเปลือกครึ่งผล
น้ำขิง 1 ช้อนชา กับอีก 1/4 ช้อนชา หากเป็นน้ำขิงคั้นสดจะดีมาก
น้ำแข็ง 4 ก้อนเล็ก
ขั้นตอนในการทำ นำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องปั่นแล้วปั่นให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เสร็จแล้วควรดื่มทันที อย่างไรก็ตาม สามารถเพิ่มความข้นให้กับเครื่องดื่มโดยการเพิ่มกล้วยสุกปอกเปลือกครึ่งผล ปั่นรวมกับส่วนผสมอื่นๆ ก็ไม่ทำให้เสียคุณค่า
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการ เครื่องดื่มสูตรนี้ให้พลังงาน 201 แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 48 กรัม ใยอาหาร 3 กรัม โซเดียม 4 กรัม โปรตีน 3 กรัม ไม่มีไขมันทั้งชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว ไม่มีคอเลสเตอรอล
วัตถุดิบแต่ละอย่างหาง่ายใกล้ตัว วิธีทำไม่ยุ่งยากอย่างนี้ ผู้อ่านรักษ์สุขภาพอย่าลืมลองทำดื่มกันนะคะ.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=140985
.
sithiphong:
สกัดนิสัยพาอ้วนเพื่อสุขภาพที่ดี
คมชัดลึก : คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่ารูปร่างที่เปลี่ยนไป ดูสมบรูณ์ บางทีมันอาจเกิดจากนิสัยการกินเล็กๆ น้อยๆ ในตัวคุณที่ถูกมองข้ามไป ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม สถาบันการเรียนรู้และฝึกอบรม อาวียองซ์ อะคาเดมี เปิดประเด็นชวนคิด “กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม ต้องกินให้หมด”
ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ กล่าวขยายคำพูดดังกล่าวให้ฟังว่า คนอ้วนส่วนใหญ่เกิดจากนิสัยการกิน กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม กินให้หมด เสียดายของ และผลสุดท้ายก็เป็นอันตรายต่อการดูแลรูปร่างและสุขภาพอย่างมาก เพราะจากที่ร่างกายต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน แต่การกินทั้งทีต้องคุ้มอย่างบุฟเฟ่ต์ คุณจะได้รับพลังงานโดยเฉลี่ยต่อมื้อถึง 3,000 กิโลแคลอรี อีกนัยหนึ่งคือ น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นมื้อละ 1.4 ขีด เชียวนะ ถ้าคุณเผลออ้วนแล้วล่ะก็ การที่จะกลับมาทำให้หุ่นดีได้ดังเดิมนั้นมันยาก และอาจใช้เงินมากกว่าค่าอาหารในวันนั้นเป็นไหนๆ แต่ถ้าคุณพลาดไปแล้วล่ะ ให้ลองทำวิธีนี้ คือให้ลดปริมาณแคลอรีที่จะได้รับในวันต่อๆ ไปวันละ 500 กิโลแคลอรี สัก 4 วัน ก็น่าจะพอช่วยได้ หรือจะออกกำลังกายว่ายน้ำ ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือไม่ก็นัดก๊วนแก๊งที่ไปกินบุฟเฟต์ด้วยกันนี่แหละ ไปตีแบดสัก 2-3 ชั่วโมง จะได้ไม่อ้วนและก็สุขภาพแข็งแรงกันทั้งกลุ่ม
สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานฟาสต์ฟู้ดจำพวกแฮมเบอร์เกอร์ โดนัท ไก่ทอด ฯลฯ คุณรู้ไหม ? องค์การอนามัยโลกเรียกอาหารเหล่านี้ว่า “อาหารขยะ” เพราะเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ให้แต่เฉพาะพลังงานมากกว่าอื่นๆ และยังมีโซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากคุณกิน “อาหารขยะ” ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อเส้นรอบเอวแล้ว ยังนำมาซึ่งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วหันมากินอาหารที่มีประโยชน์ อย่างอาหารไทยทั่วไปนี่แหละ เช่น ข้าวน้ำพริกกะปิกินคู่ผักสดหรือผักต้ม อร่อยแสนอร่อย อุดมด้วยวิตามินแถมยังให้แคลอรีน้อยกว่าแฮมเบอร์เกอร์เพียงครึ่งชิ้นอีกต่างหาก
"เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหล้า เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงพอๆ กับการกินอาหารมื้อใหญ่เลยทีเดียว แล้วยิ่งสาวๆ ทั้งหลายที่มักนิยมดื่มเหล้าจางๆ ผสมน้ำอัดลมด้วยแล้วล่ะก็ คุณก็จะได้ของแถมเป็นน้ำตาลปริมาณพอๆ กับที่ร่างกายต้องการทั้งสัปดาห์ ยิ่งคนที่ดื่มเหล้าหรือเบียร์ทุกวัน จะมีพลังงานส่วนเกินจากเครื่องดื่มเหล่านี้สะสมในร่างกายวันละ 50-200 กิโลแคลอรี เหมือนกินไขมัน 1-4 ช้อนชา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอาจเดือนละ 1 กิโลกรัม ซึ่งความอ้วนจะมาพร้อมกับความเมาเสมอ ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่กลุ่มที่เสี่ยงกับโรคอ้วน เพราะขี้เกียจออกกำลังกายจึงควรปรับเปลี่ยนนิสัยหรือหันมาพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถสกัดกั้นการดูดซึมแป้งและไขมัน และช่วยเผาผลาญพลังงานที่เหลือใช้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี” ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ สรุปปิดท้าย
.
http://www.komchadluek.net/detail/20110529/98857/%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5.html
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version