อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
กินดี หลับสบาย
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103743-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2554 15:57 น.
ในชีวิตมนุษย์เรานั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องกินและเรื่องนอน ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ก็มีความสัมพันธ์กันด้วย “108 เคล็ดกิน” จึงมีความรู้ดีๆ มานำเสนอ เพื่อให้ทุกคนได้กินอิ่ม และหลับสบายกันถ้วนหน้า
อาหารมีความสำคัญต่อการบำรุงร่างกาย แต่การกินอาหารไม่ถูกต้อง หรือกินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ก็จะเป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับได้ เช่น การกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไปก่อนเข้านอนจะทำให้รู้สึกอึดอัด เนื่องจากเป็นอาหารหนัก ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักกว่าปรกติ รวมทั้งอาหารที่มีความมัน และอาหารรสจัดต่างๆ ด้วย รวมไปถึงอาหารที่มีสารไทรามีน (Tyramine) ซึ่งจะไปยับยั้งสารเคมีในสมองอย่างนอร์เอพิเนฟรีน (nor epinephrine ) ซึ่งทำให้มีอาการนอนไม่หลับ พบในเบคอน ซีส ช็อคโกแลต แฮม ไส้กรอก มันฝรั่งและมะเขือเทศ
ส่วนอาหารที่ช่วยกระตุ้นให้นอนหลับเป็นปกติ ได้แก่ อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง อาหารจำพวกธัญพืชไม่ขัดขาว การกินอาหารกลุ่มนี้ในเมื้อเย็นช่วยให้ใช้เวลาในการย่อยไม่มากนัก เมื่อถึงเวลานอน ร่างกายจึงเข้าสู่การนอนหลับได้ง่าย
นอกจากนี้ก็ยังมี ทริปโตฟาน ซึ่งมีความสำคัญกับการนอนอย่างมากเพราะร่างกายจะใช้กรดอะมิโนชนิดนี้ในการส ร้าง เมลาโทนิน อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ พบได้ใน กล้วย ไข่ ลูกพรุน สาหร่าย ไก่งวง และนม
ส่วนวิตามินบี ที่พบได้ในธัญพืชมีความสำคัญเช่นกัน โดยจะช่วยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ทำให้ร่างกายผ่อนคลายจนสามารถหลับลึกได้ ในส่วนของวิตามินบี 6 จะรวมตัวกับทริปโตฟานเพื่อกระตุ้นกระบวนการนอนหลับอีกด้วย ซึ่งสามารถพบวิตามินเหล่านี้ได้จากซีเรียล เต้าหู้ ถั่ว เนื้อวัว ปลา ไก้ ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด คะน้า และบร็อคโคลี
ในเรื่องของเวลาการกินก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ควรกินอาหารมื้อเย็นดึกเกินไป ไม่ควรกินอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มทุกประเภทก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง เพื่อช่วยป้องกันการตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103743
sithiphong:
กระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
กระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Woman Plus)
กระเจี๊ยบมอญ หรือกระเจี๊ยบเขียวที่มีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกห้าเหลี่ยม มีปลายเรียว นิยมนำมากินแกล้มกับน้ำพริก อาหารหลักของคนไทย ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว กระเจี๊ยบมอญฝักเล็ก ๆ นั้นยังเป็นสมุนไพรที่แฝงไปด้วยประโยชน์ในการช่วยบำรุงดูแลสุขภาพของเราด้วย
เนื่องจากฝักของกระเจี๊ยบมอญนั้นมีเส้นใยจำนวนมากที่มีประโยชน์ช่วยในการรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
นอกจากนี้ หากนำฝักของกระเจี๊ยบมอญไปตากแห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหารแล้วดื่มน้ำตาม ก็จะช่วยลดอาการของแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.womanplusmagazine.com/-
-http://health.kapook.com/view31393.html-
.
sithiphong:
อาหารช่วยน้ำท่วม กินอย่างไรให้ปลอดภัย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
8 ตุลาคม 2554 02:17 น.
เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนกับคนไทยอย่างมากมาย พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมก็แผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไทยเราก็ยังคงมีน้ำจิตน้ำใจให้แก่กัน ด้วยการบริจาคของที่จำเป็นให้แก่ผู้ประสบภัย โดยเฉพาะอาหารการกินซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาให้คำแนะนำในเรื่องของอาหารที่จะส่งไปช่วยผู้ประสบภัย ดังนี้
หากเป็นไปได้ก็ควรประกอบอาหารแล้วนำไปแจกจ่ายในจุดอพยพจะเป็นการดีที่สุด เนื่องจากจะได้กินอาหารที่สุก ใหม่ สะอาด ส่วนการนำอาหารปรุงสำเร็จแล้วใส่กล่องเพื่อนำไปแจกจ่ายในจุดอื่นๆ ควรแยกข้าวและกับข้าวออกจากกัน อาจจะแยกกับข้าวใส่ถุงพลาสติกไว้ต่างหาก เพื่อไม่ให้อาหารเสียเร็ว และไม่ควรเก็บอาหารปรุงสำเร็จไว้นานเกิน 4-6 ชั่วโมง
ส่วนกับข้าวนั้นควรเลือกอาหารที่ไม่บูดง่าย ไม่ใส่กะทิ หรืออาจจะเลือกเป็นอาหารแห้ง เช่น ไข่ต้ม ไข่เค็ม น้ำพริกต่างๆ กุนเชียงทอด หมูทอด หมูแผ่น ข้าวเหนียวนึ่ง ขนมปังกรอบ เป็นต้น เพราะจะเก็บไว้กินได้หลายวัน ไม่เน่าเสียง่าย ส่วนขนมปังทั่วไปนั้นควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นอาหารที่มีอายุสั้นและขึ้นราง่าย หากกินโดยไม่ได้สังเกตราก่อนก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
นอกจากนี้ อาจจะแจกผลไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้วย ส้ม ฝรั่ง ชมพู่ หรือผลไม้ที่ไม่เน่าเสียง่าย รวมไปถึงนมกล่องยูเอชที จะช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับสารอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค ไม่ให้เจ็บป่วยง่าย
สำหรับอาหารกระป๋อง เมื่อผู้ประสบภัยได้รับอาหารกระป๋องมาแล้วก็ควรดูวันผลิต วันหมดอายุ สังเกตสภาพของกระป๋องให้อยู่ในสภาพดี ไม่บุบ ไม่ยุบ บวม หรือพอง และเมื่อเปิดกระป๋องแล้วก็ให้สังเกตอาหารภายในกระป๋องว่าอยู่ในสภาพปกติตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ มีกลิ่น มีสี หรือรสชาติที่แปลกไปหรือไม่
เรื่องอื่นๆ เช่น น้ำดื่ม ควรดื่มน้ำที่สะอาด หรือผ่านการต้มให้เดือดมาแล้ว นอกจากนี้ก็ควรดูแลสุขภาพกายและจิตใจของตนเองด้วย เพื่อป้องกันการเกิดโรคภัยจากน้ำท่วม
สุดท้าย “108 เคล็ดกิน” ขอส่งกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยทุกคนให้ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000128165
.
sithiphong:
ใบเตย...มีดีที่ไม่ใช่แค่กลิ่นหอม
-http://health.kapook.com/view32465.html-
ใบเตย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
"กลิ่นใบเตย หอมชื่นใจ" ...ก็แหมเวลาเราได้กลิ่นหอม ๆ ของใบเตย หรือ "เตยหอม" ผสมอยู่ในขนมไทยทีไร ก็ชวนให้เราอยากคว้าขนมไทยชิ้นนั้นขึ้นมาหม่ำไปซะที (ปกติก็ชอบหม่ำอยู่แล้ว อิอิ)
สำหรับ "เตยหอม" นั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีใช่ไหมล่ะจ๊ะ โดยเฉพาะ "ใบเตย" ที่มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แถมยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยด้วย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของ "เตยหอม" มีเพียงเท่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจาก "เตยหอม" จะมีดีที่ความหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพแฝงอยู่ด้วยนะ
ขนมเปียกปูน
โดย "ใบเตยหอม" 100 กรัม จะให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
น้ำ 85.3 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
โปรตีน 1.9 กรัม
ไขมัน 0.8 กรัม
กาก 5.2 กรัม
แคลเซียม 124 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม
เบต้า-แคโรทีน 2.987 ไมโครกรัม
วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม
ไนอะซีน 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
ใบเตย
มาที่สรรพคุณสุดแสนจะน่าอัศจรรย์ของเตยหอมกันบ้าง นอกจากจะนำ "ใบ" มาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแล้ว ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า "เตยหอม" มีฤทธิ์ทางยาด้วย ดังนี้
ใบ
ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง
ช่วยดับกระหาย เนื่องจากใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม
รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว
รากและลำต้น
ใช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่ม
นอกจากนี้ เตยหอม ยังช่วยแก้อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
(แม่บ้าน) , rspg.or.th , shc.ac.th
.
http://health.kapook.com/view32465.html
sithiphong:
วิธีเก็บ“ผักชี-รากผักชี”ใช้ได้นานขึ้น
ช่วยถนอม “ผักชี” ไว้โรยหน้า พร้อม “รากผักชี” ประกอบอาหาร ได้นานถึง 20-25 วัน แถมสี-กลิ่นยังคงเดิม
มวลน้ำหลากมาพร้อมภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” สิ่งใดที่ประหยัดได้จึงควรประหยัด โดยเฉพาะพืชผักบางชนิด เพียงเพิ่มเคล็ดลับน้อยนิด ก็มีใช้ได้นานหลายสัปดาห์ อย่างเช่น “ผักชี และรากผักชี” แม้ไม่ใส่...ไม่เป็นไร แต่ส่งผลให้อาหารขาดความอร่อยไปเยอะ มาดูวิธีถนอม ทำง่าย ๆ ดังนี้
นำ “ผักชี” มาเด็ดแยกใบอ่อน และราก ล้างให้สะอาด จากนั้น แช่น้ำเพิ่มความสดชื่นประมาณ 5 นาที แล้วใส่ตะกร้าผึ่งสักครู่ ระหว่างนั้น เตรียมกล่องพลาสติกใส่อาหารไว้ รองก้นกล่องด้วยทิชชูอย่างหนาที่ใช้สำหรับงานครัว วางใบอ่อนผักชีลงไป ปิดฝา เก็บแช่ตู้เย็นชั้นผัก
สำหรับวิธียืดอายุ “รากผักชี” ให้ นำไปตากแดดจนแห้ง แล้วนำไปปั่นให้ละเอียดพร้อมกระเทียม เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย จากนั้น นำไปผัดกับน้ำมันนิดหน่อย เสร็จแล้วทิ้งให้เย็น จากนั้น เก็บใส่ถุงซิปล็อค เกลี่ยให้บาง แช่แข็ง เมื่อจะหมัก หรือปรุงอาหาร ก็สามารถหยิบใช้ได้ทันใจ
เท่านี้ก็จะมี “ผักชี” โรยหน้า พร้อม “รากผักชี” ประกอบอาหาร ได้นาน 20-25 วันเลยทีเดียว อีกทั้งสี และกลิ่นยังคงเดิม.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=175055-
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version