อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (19/85) > >>

sithiphong:
"วาซาบิ" ป้องกันฟันผุ

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 เวลา 00:00 น.

-http://beta.dailynews.co.th/article/822/2213-




เครื่องปรุงสุดซีดจี๊ดขึ้นสมอง แต่ในเมนูซุปครีมลดความจัดจ้านให้นุ่มลิ้น วาซาบิ สรรพคุณป้องกันฟันผุและเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดเสี่ยงมะเร็ง

ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารญี่ปุ่น ต้องรู้จัก "วาซาบิ" เครื่องปรุงรสเผ็ดฉุนกันเป็นอย่างดี ยิ่งถ้ากินมาก ก็ยิ่งจี๊ดจ๊าดขึ้นสมอง ใครเป็นหวัดคัดจมูกช่วยเปลี่ยนให้รู้สึกโล่ง หากแตะลองแค่ผิวๆ ก็ช่วยชูรสอร่อยอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสไตล์อาหารญี่ปุ่น
อันที่จริงแล้วในวาซาบิ มิได้มีเพียงรสจัดจ้าน เพราะมีสารไอโซทิโอไซนาเนตส์ ที่ คอยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ตัวการทำฟันผุ นอกจากนี้ วาซาบิ ยังมีประโยชน์ในการป้องกันภาวะเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตัน ป้องกันโรคหอบหืด และลดเสี่ยงโรคมะเร็ง
การลิ้มรสวาซาบิอย่างนุ่มนวล อาจต้องนำไปเป็นส่วนผสมหนึ่งในเมนูซุปครีม สำหรับ "ซุปครีมวาซาบิ" มีส่วนผสมดังต่อไปนี้...

    กระเทียม 7 กลีบ
    หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว
    มันฝรั่ง พอประมาณ
    หัวไชเท้า พอประมาณ
    แครอท พอประมาณ
    แรชดิช พอประมาณ
    น้ำมันมะกอก พอประมาณ
    นมสด 100 ซีซี
    วิปครีม 50 ซีซี
    น้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1 ถ้วย
    วาซาบิ พอประมาณ
    ต้นหอมซอย พอประมาณ

ขั้นตอนในการทำ สับกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ส่วนมันฝรั่ง หัวไชเท้า แครอท แรชดิช ให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก กระเทียม แล้วเจียวให้หอมจึงใส่หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง และหัวไชเท้า
ต่อมาใส่นมสด ตามด้วยวิปครีม น้ำเปล่า พอน้ำเดือดให้ใส่แครอท แรชดิช ปรุงรสด้วยวาซาบิ เกลือ พริกไทย เมื่อส่วนผสมเริ่มสุกยกลง รอให้อุ่นจึงนำไปปั่นให้เนียนละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้ซุปครีมวาซาบิละมุนลิ้น สามารถเสิร์ฟในแก้วชอตในงานปาร์ตี้ หรือใส่ชามซุปอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานเป็นอาหารว่างก็ย่อมได้.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


.

sithiphong:
.

แพทย์แนะ 7 วิธีดูแลสุขภาพหน้าหนาว
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157551-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ธันวาคม 2554 15:09 น.    




หมอแนะช่วงฤดูหนาวควรดื่มน้ำเพื่อ ขับของเสีย ล้างกระเพาะปัสสาวะ ช่วยให้นอนหลับ อายุยืน เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ เน้นโปรตีนจากสัตว์และถั่วเหลือง รวมถึงวิตามินจากผัก


นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวว่า นอกจากหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทยในเรื่องการรับประทานสมุนไพรรสร้อนเพื่อช่วย กระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ในส่วนของทฤษฎีการแพทย์แผนจีนก็มีหลักการดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาวที่น่าสนใจ

กล่าวคือ ช่วงฤดูหนาวคนจะเจ็บป่วยด้วยสาเหตุจากปริมาณของหยิน-หยาง ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดในด้านหยินมากกว่า เป็นระยะที่ความเป็นหยางลดลง ความเย็นจึงเป็นสาเหตุก่อโรค ซึ่งการแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของร่างกายให้มีการเปลี่ยน แปลงคล้อยตามธรรมชาติ จะช่วยให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง เช่น การดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ปรับสมดุลของจิตใจ โภชนาการเหมาะสม ปรับสมดุลของชีวิตประจำวันให้มีการทำงานและพักผ่อนพอเหมาะ ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อีกทั้งอวัยวะภายใน เช่น ไตมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับโรคที่เกิดจากการก่อตัวจากภายในร่างกาย เพราะหยางไตเป็นรากฐาน ของลมปราณหยางในร่างกาย ซึ่งฤดูนี้คนที่มีสุขภาพอ่อนแอควรจะมีการบำรุงไต เพราะไตมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพร่างกายทั้งด้านเจริญเติบโต ความแข็งแรง อายุขัยตลอดจนสมรรถภาพทางเพศ การจะบำรุงไตนั้นต้องเลือกให้เหมาะสม ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์จีนก่อน


นพ.สุพรรณกล่าวอีกว่า การดูแลสุขภาพหน้าหนาวเบื้องต้นนั้นมีวิธีการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ดังนี้

1. ควรดื่มน้ำ 3 แก้ว แก้วแรกช่วงเช้าเวลา 05.00-07.00 น.จะช่วยการขับถ่าย แก้วที่สองดื่มเวลา 15.00-17.00 น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ แก้วที่สามดื่มก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงช่วยการนอนหลับ

2.ให้ปรับอารมณ์จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านเนื่องจากฤดูหนาวควรรักษาพลังอินของไต

3.เดินรับแสงอาทิตย์ และหายใจให้ลึกๆ เวลาที่เหมาะสม คือ เวลาช่วง 14.00-15.00 น.

4.ควรเดินออกกำลังกาย

5.ควรรับประทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ กุ้ง

6.ควรรับประทานผัก ประเภท ถั่วเหลือง กระเทียม หอมใหญ่ กูฉ่าย คะน้า เมล็ดสน ไชเท้า

7.ควรรับประทานผลไม้ เช่น เกาลัด ส้มเขียวหวาน ส้มโอ น้ำนม หรืออาหารที่ควรรับประทาน เช่น โจ๊กงาดำ โจ๊กกระดูกสันหลังหมู ตั้งถ่างเช่า (ตุ๋นเป็ด) น้ำพุทรา เป็นต้น

“อย่างไรก็ตาม เทคนิคทั้ง 7 ประการนั้น สามารถปฏิบัติง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย เช่น การออกกำลังกาย การดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ เป็นต้น” นพ.สุพรรณกล่าว


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157551-

.

sithiphong:
.

“ขนมคริสต์มาส” ขนมหวานวันรื่นเริง
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000162837
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
22 ธันวาคม 2554 14:56 น.




       วันคริสต์มาส ตามธรรมเนียมของคริสต์ศาสนิกชนนั้น เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู และยังเป็นวันที่มีความหมายอย่างมากของชาวคริสต์ทั่วไป โดยจะมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญแก่กันและกัน มีการประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนอย่างสวยงาม
       
       สำหรับในช่วงเทศกาลรื่นเริงแบบนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยงสังสรรค์ก็คือ ขนมหวานแสนอร่อย ที่จะทำให้ช่วงเทศกาลนั้นมีสีสันมากยิ่งขึ้น “108 เคล็ดกิน” เลยรวบรวมเอาขนมในวันคริสต์มาสของชาติต่างๆ มาให้ได้ทำความรู้จักกัน เพื่อใครจะไปลองทำ หรือซื้อหามากินในวันคริสต์มาสของปีนี้
       
       เริ่มกันที่เค้กคริสต์มาสของชาวเยอรมัน Christstollen หรือ Stollen Cake ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเด็กทารกห่อหุ้มด้วยผ้า ซึ่งหมายถึงพระเยซูตอนประสูตินั่นเอง โดยเค้กชนิดนี้ เป็นเค้กผลไม้ ภายในเต็มไปด้วยไส้ผลไม้เชื่อม ผลไม้แห้ง และถั่วหลากชนิด ด้านนอกโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งสีขาวละเอียด
       
       Santa Claus Ginger Bread เป็นคุกกี้คริสต์มาส ที่ในยุคแรกๆ นั้นคือขนมปังขิงนั่นเอง โดยนิยมปั้นเป็นตุ๊กตาต่างๆ โดยเฉพาะรูปมนุษย์ขนมปังขิง มีส่วนผสมเป็นเครื่องเทศหลากหลายชนิด ทั้ง ขิงผง อบเชย พริกไทยดำ อัลมอนด์ และผลไม้แห้งต่างๆ
       
       Christmas Pudding ขนมชนิดนี้ แม้จะมีหน้าตาเหมือนฟรุ๊ตเค้กเนื้อฉ่ำ แต่วิธีการทำนั้นแตกต่างจากเค้กอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากใช้วิธีการนึ่งให้สุก แล้วเสิร์ฟร้อนๆ ให้คลายหนาว ส่วนฟรุ๊ตเค้กในช่วงคริสต์มาส หรือ Christmas Fruit Cake นั้นก็มีวิธีทำแบบเค้กทั่วไปคืออบให้สุก ซึ่งขนมทั้งสองชนิดนี้จะเหมือนกันตรงที่ประกอบไปด้วยผลไม้แห้งหลากหลายชนิด
       
       Panettone Italian fruit bread ขนมวันคริสต์มาสของชาวอิตาเลียน เป็นขนมปังหวานทรงโดมสูงก้อนใหญ่ ผสมผลไม้เชื่อม ลูกเกด น้ำผึ้ง ส่วน Pashka เป็นขนมฉลองคริสต์มาสสไตล์รัสเซีย หน้าตาดูคล้ายพุดดิ้ง เพียงแต่ทำจากชีสเป็นชีสเค้ก
       
       สุดท้าย Christmas Log หรือ Buche de Noël เป็นเค้กรูปขอนไม้ของชาวฝรั่งเศสที่จะต้องกินกันทุกปีในวันคริสต์มาส เพราะถือเป็นเครื่องหมายของความโชคดีในปีหน้า มีทั้งแบบซุงท่อนเดียว และซุงที่วางเชื่อมกันเป็นรูปตัวที
       
       สำหรับเทศกาลคริสต์มาส และช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ “108 เคล็ดกิน” ก็ขอให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน และรื่นเริง ไปจนตลอดปีหน้าที่จะมาถึงด้วย

.

sithiphong:
วัฒนธรรม “ตะเกียบ” ของชาวจีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
5 มกราคม 2555 14:29 น.   

      เวลาที่เรากินก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยว หรืออาหารจำพวกติ่มซำ โดยเฉพาะไปกินที่ร้านอาหารจีน ส่วนใหญ่ก็จะมีตะเกียบวางคู่เคียงมาให้ได้ใช้กัน แล้วรู้หรือไม่ว่า “ตะเกียบ”นั้นมีความเป็นมาอย่างยาวนาน และยังมีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับตะเกียบอีกมากมายที่เกิดขึ้นจากชาวจีน
       
       ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าจีนเริ่มใช้ตะเกียบจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ยอมรับกันโดยทั่วว่า ชาวจีนเริ่มใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายในหลังยุคราชวงศ์ฮั่น (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3) และวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบนี้ยังแพร่หลายไปยังอีกหลายประเทศ ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม ซึ่งก็มีการดัดแปลงและพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมการกินประจำชาติของตนเองไปด้วย
       
       ในส่วนของวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบ รวมถึงข้อห้ามต่างๆ ก็มีอยู่หลายข้อ อาทิ
       
       - การถือตะเกียบที่ถูกต้อง จะต้องถือตะเกียบไว้ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ให้อีกสามนิ้วที่เหลือคอยประคองตัวตะเกียบไว้ และต้องถือให้เสมอกัน เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร ถือว่าเป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน ไม่ต่างอะไรจากการชูนิ้วกลางให้ของฝรั่ง
       
       - ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าตักข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้ จะถือว่าเป็นการสาปแช่ง
       
       - ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกันทั้งคู่ การวางตะเกียบไม่เสมอกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง คนจีนถือคำว่า “ชางฉางเหลียงต่วน” ความหมายตามตัวอักษรนั้น หมายถึง สามยาวสองสั้น คำนี้ คนจีนมักหมายถึง ความตาย หรือความวิบัติฉิบหาย ดังนั้นการวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้น ๆ ยาว ๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น หรือถือไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้ ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ แต่การใช้นิ้วชี้ผู้อื่นคนไทยก็ถือว่า ไม่สุภาพเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะแต่คนจีนเท่านั้น
       
       - ห้าม อม ดูด หรือ เลียตะเกียบ กิริยานี้เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง ถ้ายิ่งดูดจนเกิดเสียงดังด้วยแล้ว ถือเป็นกิริยาที่ขาดการอบรมที่ดี
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม เพราะมีแต่ขอทานเท่านั้นที่จะเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตา เพื่อชวนให้เวทนาสงสาร เรียกร้องความสนใจให้บริจาคทาน
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร โดยไม่รู้ว่าจะคีบอาหารชนิดใด ถือว่าเป็นกิริยาที่ควรหลีกเลี่ยง ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือน พวกโจรสลัดขุดสุสาน เพื่อหาสมบัติที่ต้องการ ถือเป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000000459-


.

sithiphong:
“ชา” ของดีที่ไม่ควรมองข้าม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
12 มกราคม 2555 16:04 น.



ชาวโลกรู้จัก “ชา” กันมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว บ้างก็ว่ามีสรรพคุณต่างๆ นานา บ้างก็จิบชาเพื่อความสุขส่วนตัว บ้างก็ว่ากินคู่กับอาหารนั้นจะได้รสชาติดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม “108 เคล็ดกิน” ก็ยังอยากจะแนะนำ “ชา” ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น

ชา เป็นพืชที่มาจากพืชในตระกูลคาเมลเลีย ไซเนนซิส เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียว ชาสามารถแยกอย่างง่ายๆ ได้ 6 ประเภท ได้แก่ ชาขาว ชาเหลือง ชาเขียว ชาอูหลง ชำดำ และชาผูเอ่อร์ ซึ่งชาทุกชนิดสามารถทำได้จากต้นชาต้นเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันออกไป

ในใบชาจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า โพลีฟีนอลออกซิเดส ซึ่ง โพลีฟีนอล เป็นสารประกอบชีวภาพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีสรรพคุณเป็นสารแอนติออกซิเดนซ์ นอกจากนี้ สารฟลาโวนอยด์ ที่พบในใบชายังมีสรรพคุณช่วยดัก และทำลายอนุมูลอิสระ และยังทำงานร่วมกับวิชามินซี เสริมความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด

ประโยชน์ของชายังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ชายังช่วยลดไขมันและระดับคอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้แล้วชายังมีผลทางด้านจิตใจ กลิ่นและรสชาติช่วยให้ผ่อนคลายปลอดโปร่ง ลดความเครียด



-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000004443-

.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version