อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (20/85) > >>

sithiphong:
.

“เหล็ก” บำรุงเลือด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
3 กุมภาพันธ์ 2555 00:08 น.    



    “เลือด” นับว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ฉะนั้นเราก็ควรต้องบำรุงร่างกายเพื่อให้มีเลือดใช้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ “เหล็ก” ที่ไม่ใช่โลหะ แต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด
       
       สำหรับการช่วยนำเหล็กเข้าไปสร้างเม็ดเลือดนั้น สามารถทำได้โดยการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กอยู่สูง เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล อาหารกลุ่มนี้จะมีธาตุเหล็กสูง และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีที่สุด สังเกตได้จากเนื้อที่มีสีแดงยิ่งเข้มขึ้นแสดงว่ามีธาตุเหล็กสูง เมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มิวิตามินซีสูง เช่น บร็อคโคลี่ พริก มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม จะยิ่งช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น
       
       และอาหารพวกไข่ พืช ผักใบเขียวต่างๆ รวมถึงถั่วเมล็ดแห้ง อาหารพวกนี้มีธาตุเหล็กสูง แต่ธาตุเหล็กในกลุ่มนี้จะดูดซึมเข้าร่างกายได้ไม่ดีนัก จึงควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามิน ซี สูงในมื้อเดียวกัน เพื่อช่วยในการดูดซึม
       
       วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็กก็คือ ควรกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อช่วยการดูดซึมของเหล็ก และควรระวังอาหารที่ไปขัดขวางการดูดซึมของเหล็ก เช่น ชา กาแฟ แต่ถึงเช่นนั้น ก็ไม่ควรได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป เพราะร่างกายจะไม่สามารถขจัดออกได้ และอาจเป็นอันตรายต่อตับ


-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348-

.

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348

.





















































































sithiphong:
“ไข่แมงดาทะเล” กินผิด มีพิษต่อร่างกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
16 กุมภาพันธ์ 2555 14:48 น.



สำหรับ ผู้ที่พิสมัยการกินอาหารทะเล หนึ่งในเมนูเด็ดที่ต้องลิ้มลองก็คือ “ไข่แมงดาทะเล” ซึ่ง ก็มีมีตามฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนกันยายน จะเป็นช่วงที่แมงดาทะเลจะวางไข่ ซึ่งความมันของไข่ ก็เป็นที่ติดอกติดใจของนักชิมหลายๆ คน แต่ที่ “108 เคล็ดกิน” อยากจะตักเตือนกันเสียหน่อย ก็เพราะว่าหากกินไข่แมงดาทะเลผิดชนิด ก็อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
       
       โดยแมงดาทะเลนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย และแมงดาจาน สำหรับที่เราๆ ท่านๆ กินกันนั้นก็คือไข่ของแมงดาจาน แต่ไข่ของแมงดาถ้วยนั้นจะมีพิษ ซึ่งอาจเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ ตัวแมงดาถ้วยเกิดไปกินแพลงตอนที่มีพิษเข้าไป ทำให้สารพิษสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดาถ้วย และอีกสาเหตุคือ ตัวแมงดาถ้วยมีพิษซึ่งเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้สร้างพิษขึ้นมาเอง
       
       สารที่ก่อให้เกิดพิษในแมงดาทะเลมีอยู่ 2 ชนิด คือเตโตรโดทอกซินและแอนไฮโดรเตโตรโดทอกซิน เป็นสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาทและเป็นสารพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า สารพิษนี้ทนทานความร้อนสูงมากถึง 170 องศาเซลเซียสการหุงต้มก็ไม่สามารถทำลายพิษได้
       
       อาการที่เกิดขึ้นจากการกินไข่แมงดาที่มีพิษนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณที่ กินเข้าไปมากหรือน้อย โดยจะมีอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ แขนขาไม่มีแรง พูดไม่ออก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต เนื่องจากพิษของ แมงดาทะเลเป็นพิษต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ซึ่งหากว่าเกิดอาการที่คาดว่าได้รับพิษจากไข่แมงดา ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000021573

.

sithiphong:


สตรอเบอร์รี...ผลไม้มหัศจรรย์



สตรอเบอร์รี...ผลไม้มหัศจรรย์ (Hair)

          ช่วง นี้มีสตรอเบอร์รี่ออกมาวางขายมากมาย เจ้าผลไม้หน้ากระจุ๋มกระจิ๋มสีสันสดใสนี้นอกจากจะกินอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยประโยชน์ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารอาหารต่าง ๆ ตั้งแต่โฟเลต วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โปรแตสเซียม ไฟโตนิวเทรียนท์ ไฟเบอร์ ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก กรดเอลลาจิก ฯลฯ สตรอเบอร์รี จึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพด้วยสรรพคุณที่เกินพิกัด...

          1.ช่วยล้างพิษที่สะสมในร่างกาย เช่น กรดยูริก สาเหตุสำคัญของโรคข้ออักเสบและโรคเกาท์

          2.ช่วยให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้นิ่วในไต สีแดงสดของสตรอเบอร์รีล้วนอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยเคลือบทางเดินอาหารอีกด้วย

          3.ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองโดยสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยฟื้นคืนความอ่อนเยาว์ให้กับระบบประสาท

          4.ช่วยดูแลสายตา สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์มีส่วนช่วยชะลอขบวนการเสื่อสภาพของดวงตาได้


สตรอว์เบอร์รี่

          5.ช่วยลดความอ้วน สตรอเบอร์รีคือผลไม้เพื่อการลดน้ำหนักที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์ เพราะปริมาณ 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 49 แคลอรี เท่านั้น และยังอุดมด้วยไฟเบอร์ช่วยให้อิ่มท้องและช่วยระบบการขับถ่าย

          6.ช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยดับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น

          7.ใบสดของสตรอเบอร์รี ยังสามารถนำมาโขลกแล้วนำไปประคบ ช่วยลดอาการอักเสบและบวมช้ำได้อีกด้วย

          ถ้า จะให้ได้ประโยชน์จากสตรอเบอร์รีอย่างสูงสุด ควรรับประทานแบบสดแทนที่จะเป็นแบบแยม เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ยังจะได้น้ำตาลตัวร้ายต่อสุขภาพเป็นของแถม


http://health.kapook.com/view37378.html


.





















sithiphong:

นอนดึก-ตื่นเช้า กินอะไรให้สดชื่น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
29 มีนาคม 2555 17:09 น.



       ใครที่ชอบนอนดึกตื่นเช้า จะด้วยภาระหน้าที่การงาน ติดหนังติดละคร นอนดูบอลยามดึก กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาเข้าไปค่อนคืน แถมยังต้องตื่นแต่เช้ามาผจญกับวันใหม่ ยังไงๆ ก็ต้องง่วงหงาวหาวนอนกันเป็นธรรมดา แถมยังทำให้ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนกับวันที่พักผ่อนเต็มที่อีกด้วย
       
       และอาหารที่กินเข้าไปก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ความสดชื่นกลับมาเยือนอีกครั้ง “108 เคล็ดกิน” ก็มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากสดชื่นในยามเช้า เริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ควรกินกันก่อน นั่นคือ อาหารทอด หรืออาหารมัน อาหารเค็มจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาหารเหล่านี้จะยิ่งทำให้อาการนอนน้อยแย่ลงไปอีก
       
       ส่วนอาหารที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายก็คือ อาหารพวกผัก ผลไม้ อาหารจำพวกนี้จะมีโครเมียม ที่ช่วยให้รักษาระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะในแอปเปิ้ล กล้วย และมันฝรั่ง
       
       อาหารที่มีวิตามินบี และซี วิตามินบีจะช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย และทำให้ประสาทตื่นตัว พบมากในข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ไข่ เนื้อสัตว์ เป็นต้น ส่วนวิตามินซี จะช่วยต้านความเหนื่อยล้าของร่างกาย สร้างภูมิต้านทาน พบมากในผักและผลไม้สด และผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าจากความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดด้วย
       
       ควรกินอาหารเบาๆ ย่อยง่ายๆ กระเพาะจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป อย่างเช่น กินเนื้อปลา จะได้โปรตีนที่ย่อยง่าย ได้รับไขมันชนิดดี เช่นโอเมก้า 3 ที่จะช่วยบำรุงสมอง สร้างสมาธิและความจำให้ดีขึ้นเวลาอดนอน กินถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าวสาลี และธัญพืชต่างๆ นอกจากจะย่อยง่ายแล้ว ก็ยังมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยบำรุงประสาท และช่วยให้จิตใจแจ่มใสสดชื่น
       
       สุดท้าย ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา การที่พักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ และอาจเกิดอาการร้อนใน การดื่มน้ำเข้าไปชดเชยให้เพียงพอนั้นจะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลเข้าสู่ภาวะปกติได้ และกลับมาสดชื่นเหมือนเดิม
       
       แต่ข้อสำคัญ ก็ไม่ควรนอนน้อยเกินไป หรืออดนอนบ่อยๆ เพราะจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม หน้าตาไม่ผ่องใส ไม่สดชื่น

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040100-

.

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040100

.
















sithiphong:
“เห็ดตับเต่า” เมนูสุขภาพช่วงหน้าฝน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
19 กรกฎาคม 2555 16:19 น.



“หอมเอย.. หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง…” เห็นขึ้นต้นด้วยเสียงเพลงแบบนี้ “108 เคล็ดกิน” ไม่ได้จะพาไปร้องเพลงคาราโอเกะแต่อย่างใด แต่อยากจะให้สังเกตดูว่าในเนื้อเพลงท่อนนี้มีของกินอยู่ชนิดหนึ่งที่คนสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว นั่นก็คือ “เห็ดตับเต่า”
       
       ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “108 เคล็ดกิน” ก็เลยไปถามท่านผู้รู้ว่าเจ้าเห็ดตับเต่านี่คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ ใช้ทำเมนูอะไร แล้วก็ได้รับคำตอบมาว่า “เห็ดตับเต่า” ก็คือเห็ดชนิดหนึ่งที่จะมีให้กินในเฉพาะช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในป่าทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้
       
       เห็ดตับเต่าจะขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงนับได้ว่าเป็นเห็ดที่ปลอดสารพิษ (แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเพาะเห็ดตับเต่าขายแล้ว) หน้าตาของเห็ดชนิดนี้จะมีสีออกน้ำตาล น้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำ
       
       ว่ากันว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารสุขภาพชนิดหนึ่ง กินแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกาย (ยกเว้นจะไปกินเห็ดพิษเข้า) ให้พลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ ส่วนสรรพคุณทางยาของเห็ดตับเต่านั้นเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงปอด กระจายโลหิต และดับพิษร้อนภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบำบัดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและกระดูก ป้องกันการชักกระตุก คนจีนใช้เป็นสมุนไพร แก้เคล็ดคัดยอก และปวดกระดูก
       
       ข้อสำคัญการจะเก็บเห็ดมากินนั้น ไม่ว่าจะเป็นเห็ดชนิดใดก็ตาม จะต้องให้แน่ใจได้ก่อนว่าไม่ใช่เห็ดพิษ เพราะในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาวนั้น เป็นช่วงที่มีเห็ดหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในป่า ในไร่ หรือในสวน ซึ่งก็มีทั้งที่กินได้และไม่ได้ โดยเฉพาะเห็ดพิษบางชนิดก็มีสีสันสวยงามล่อตาล่อใจ บางชนิดก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเห็ดที่ขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งการจะพิสูจน์ได้ว่าเห็ดชนิดใดเป็นพิษหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น

.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version