อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 25 : ภิกขุวรรค

<< < (2/3) > >>

ฐิตา:



06. เรื่องปัญจัคคทายกพราหมณ์

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพราหมณ์ชื่อปัญจัคคทายก  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  สพฺพโส  นามรูปสฺมึ เป็นต้น

มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง  ปกติจะถวายทานที่เกี่ยวข้องกับข้าวในนา  5 ครั้ง   คือ  ครั้งที่ 1  ให้ทานในตอนเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ  (เขตตัคคะ) ครั้งที่ 2  ให้ทานในตอนขนข้าวเข้าลาน(ขลัคคะ)  ครั้งที่ 3  ให้ทานในตอนนวดข้าว(ขลภัณฑัคคะ)  ครั้งที่ 4  ให้ทานในตอนเอาข้าวสารลงในหม้อข้าว(อุกขลิกัคคะ)  และครั้งที่ 5 ให้ทานในตอนที่คดข้าวใส่ภาชนะ(ปาฏิคคะ)  พราหมณ์ผู้นี้  เมื่อยังไม่ให้แก่ปฏิคาหาหกที่มาขอ  จะไม่ยอมบริโภคอาหาร เพราะเหตุนั้น  เขาจึงมีชื่อว่า  ปัญจัคคทายก(ผู้ให้สิ่งเลิศ 5 ครั้ง)

วันหนึ่ง  พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์และนางพราหมณี   เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์  และทรงทราบว่าบุคคลทั้งสองนี้จะได้บรรลุพระอนาคามิผล  ดังนั้น  พระศาสดาจึงได้เสด็จไปประทับยืนอยู่ที่ประตูบ้านของบุคคลทั้งสองนั้น   ขณะนั้นพราหมณ์กำลังรับประทานอาหารอยู่  โดยหันหน้าเข้าข้างในบ้าน  เขาจึงไม่เห็นพระศาสดา   ส่วนนางพราหมณีที่อยู่ใกล้ๆกับพราหมณ์มองเห็นพระศาสดา  แต่กลัวว่าหากพราหมณ์เห็นพระศาสดายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูบ้าน  ก็จะนำข้าวในจานทั้งหมดไปใส่บาตร  และจะทำให้นางต้องหุงข้าวอีก   นางจึงไปยืนบังอยู่ข้างหลังสามีเพื่อมิให้สามีมองเห็นพระศาสดา  ต่อมานางได้ค่อยๆเดินถอยหลังไปยังจุดที่พระศาสดาประทับยืนอยู่นั้น  และได้ย่อตัวลงกราบทูลด้วยเสียงค่อยๆว่า “นิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด”

แต่พระศาสดาไม่ยอมเสด็จออกไปจากบ้านนั้น  พระองค์ทรงสั่นพระเศียร  แสดงสัญญาณว่า  เราจักไม่ไป  นางพราหมณีเห็นอากัปกิริยาของพระศาสดา  ก็นึกขันจนกลั้นไม่อยู่  ได้ส่งเสียงหัวเราะอย่างขบขัน  พราหมณ์จึงได้เหลียวหลังกลับมามอง  เห็นพระศาสดา   จึงพูดกับนางพราหมณีว่า “ นางผู้เจริญ  ทำไมหล่อนไม่บอกว่าพระราชบุตรมาประทับยืนอยู่ที่ประตูบ้านเรา  อย่างนี้ทำให้เราเสียหายมาก  หล่อนทำกรรมหนักแล้ว”  ว่าแล้วก็รีบยกภาชนะอาหารที่ตนบริโภคแล้วครึ่งหนึ่ง  ไปใกล้พระศาสดา  แล้วกราบทูลว่า  “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ข้าพระองค์ถวายทานอันเลิศในโอกาสทั้ง 5  แล้วจึงบริโภค   ข้าพระองค์รับประทานอาหารนี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว  ยังเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง  ขอพระองค์ได้โปรดรับอาหารส่วนนี้ของข้าพระองค์เถิด”

พระศาสดาตรัสตอบว่า “ดูก่อนพราหมณ์  ขึ้นชื่อว่าข้าวทุกอย่างสมควรแก่เราทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่ยังไม่รับประทาน  ข้าวที่รับประทานไปเป็นบางส่วน  หรือข้าวที่เหลือเดน   ดูก่อนพราหมณ์  เพราะพวกเราเป็นผู้อาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพ  เป็นเช่นกับพวกเปรต”  พราหมณ์มีความประหลาดใจที่ได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ของพระศาสดา  และในขณะเดียวกันก็เกิดความปิติยินดีที่พระศาสดายอมรับข้าวของตน  จากนั้น  พราหมณ์ได้ทูลถามพระศาสดาว่า  พระองค์ใช้เกณฑ์อะไรกำหนดบุคคลว่าเป็นภิกษุ  พระศาสดาทรงทราบด้วยพระญาณพิเศษว่าทั้งพราหมณ์และนางพราหมณีได้เรียนรู้ถึงเรื่องของนามและรูปมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ  ดังนั้น  พระองค์จึงตรัสว่า  “ดูก่อนพราหมณ์  บุคคลผู้ไม่กำหนัด ไม่ข้องอยู่ในนามและรูป  ชื่อว่า  เป็นภิกษุ”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

สพฺพโส  นามรูปสฺมึ
ยสส  นตฺถิ  มมายิตํ
อสตา  จ  น  โสจติ
ส  เว  ภิกฺขูติ  วุจฺจติ  ฯ

ความยึดถือในนามรูปว่าเป็นของๆเรา
ไม่มีแก่ผู้ใดโดยประการทั้งปวง
อนึ่ง  ผู้ใด ไม่เศร้าโศก  เพราะนามรูปนั้นไม่มีอยู่
ผู้นั้นแล  เราเรียกว่า ภิกษุ.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภรรยาและสามีทั้ง 2  บรรลุอนาคามิผล  พระธรรมเทศฯมีประโยชน์  แม้แก่ชนผู้มาประชุมกัน.


ฐิตา:



07.เรื่องสัมพหุลภิกษุ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภภิกษุมากรูป  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  เมตฺตาวิหารี  เป็นต้น

พระโสณกุฏิกัณณเถระ  ได้รับนิมนต์จากมหาอุบาสิกาโยมมารดา  ให้ไปแสดงธรรมโปรด  พระเถระได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ ที่สั่งทำเป็นพิเศษพร้อมด้วยมณฑป  แสดงธรรมโปรดโยมมารดาและหมู่บริวารอยู่ที่บริเวณใจกลางเมือง  ขณะจัดให้มีงานบุญครั้งนี้เป็นช่วงเวลากลางคืน  พวกโจรได้ฉวยโอกาสตอนที่มหาอุบาสิกาและหมู่บริวารไม่อยู่บ้าน  ทำการปล้นบ้านของมหาอุบาสิกา  ทั้งนี้หัวหน้าโจรไปยืนคุมเชิงอยู่ในบริเวณงานแสดงธรรมนั้น  ซึ่งเขาได้วางแผนไว้ว่า  จะฆ่ามหาอุบาสิกาโยมมารดาของพระเถระนั้นทันที หากนางจะกลับมาบ้านก่อนที่พวกโจรจะปล้นเสร็จ  หญิงคนใช้ในบ้านได้มาแจ้งข่าวเรื่องโจรเข้าปล้นบ้านให้มหาอุบาสิกาได้ทราบถึง 3 ครั้ง  แต่นางก็มิได้ให้ความสนใจ  มิหนำซ้ำยังขับไล่หญิงคนใช้นั้นกลับบ้านไปทุกครั้ง

โดยนางบอกว่าอย่ามารบกวน  นางกำลังฟังธรรมยังไม่จบ  ฝ่ายนายโจรที่ยืนคุมเชิงอยู่นั้น  ก็ได้ยินคำพูดที่มหาอุบาสิกากล่าวกับหญิงคนใช้ตลอด เกิดความประทับใจมาก  ได้เดินออกจากบริเวณที่จัดงานนั้น  ไปบอกบริวารโจรให้ขนเข้าของทั้งหมดกลับไปคืนที่บ้านของมหาอุบาสิกาดังเดิม  จากนั้นได้กลับมาขออุปสมบทจากพระโสณกุฏิกัณณเถระ  เมื่อพวกภิกษุอดีตโจรเหล่านี้นำหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระโสณกุฏิกัณณเถระเดินทางเข้าป่าไปปฏิบัติธรรมอยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่ง  พระศาสดาได้แผ่พระรัศมีไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของภิกษุเหล่านี้  แล้วตรัสพระธรรมบท  9 พระคาถานี้ว่า

เมตฺตาวิหาริ  โย  ภิกฺขุ
ปสนฺโน  พุทฺธสาสเน
อธิคจฺเฉ  ปทํ  สนฺตํ
สงฺขารูปสมํ  สุขํ  ฯ

สิญฺจ  ภิกฺขุ   อิมํ  นาวํ
สิตฺตา  เต  ลหุเมสฺสติ
เฉตวา  ราคัญฺจ  โทสญฺจ
ตโต  นิพฺพานเมหิสิ ฯ

ปญฺจ  ฉินฺเท  ปญฺจ  ชเห
ปญจ  จุตฺตริ  ภาวเย
ปญฺจ  สงฺคาติโต  ภิกฺขุ
โอฆติณฺโณติ  วุจฺจติ  ฯ

ฌาย   ภิกฺขุ  มา  จ  ปมาโท
มา  เต  กามคุเณ  ภมสฺสุ  จิตฺตํ
มา  โลหคุฬํ  คิลี  ปมตฺโต
มา  กนฺที  ทุกฺขมิทนฺติ  ฑยฺหมาโน ฯ

นตฺถิ  ฌานํ  อปญฺญสฺส
ปญฺญา  นตฺถิ  อฌายโต
ยมฺหิ  ฌานญฺจ  ปญฺญา จ
ส  เว  นิพพานสนฺติเก ฯ

สุญฺญาคารํ  ปวิฏฺฐสฺส
สนตจิตฺตสส  ภิกฺขุโน
อมานุสี  รตี  โหติ
สมฺมา  ธมฺมํ  วิปสฺสโต ฯ

ยโต  ยโต  สมฺมสติ
ขนธานํ  อุทยพฺพยํ
ลภตี  ปีติปาโมชฺชํ
อมตํ  ตํ  วิชานตํ ฯ

ตตฺรายมาทิ  ภวติ
อิธ  ปญฺญสฺส  ภิกฺขุโน
อินฺทริยคุตฺติ  สนฺตุฏฺฐี
ปาฏิโมกฺเข  จ  สํวโร
มิตฺเต  ภชสฺสุ  กลฺยาเณ
สุทฺธาชีเว  อตนฺทิเต ฯ

ปฏิสนฺถารวุตฺยสฺส
อาจารกุสโล  สิยา
ตโต  ปาโมชฺชพหุโล
ทุกฺขสฺสนฺตํ  กริสฺสติ ฯ

ภิกษุใด  มีปกติอยู่ด้วยเมตตา
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ภิกษุนั้น  พึงบรรลุบทอันสงบ
เป็นที่เข้าไประงับสังขาร อันเป็นสุข.

ภิกษุ  เธอจงวิดเรือนี้
เรือที่เธอวิดแล้ว  จักถึงเร็ว
เธอตัดราคะและโทสะได้แล้ว
แต่นั้นจักถึงพระนิพพาน.

ภิกษุพึงตัดธรรม 5 อย่าง
พึงละธรรม 5  อย่าง
และพึงยังคุณธรรม 5 ให้เจริญยิ่งๆขึ้น
ภิกษุผู้ล่วงกิเลสเครื่องข้อง 5 อย่างได้แล้ว
เราเรียกว่า  ผู้ข้ามโอฆะได้.

ภิกษุ  เธอจงเพ่งและอย่าประมาท
จิตของเธออย่าหมุนไปในกามคุณ
เธออย่าเป็นผู้ประมาทกลืนกินก้อนแห่งโลหะ
เธออย่าเป็นผู้อันกรรมแผดเผาอยู่
คร่ำครวญว่า  นี้ทุกข์.
 
ฌานย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่มีปัญญา
ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญาย่อมไม่มีในบุคคลใด
บุคคลนั้นแล  ตั้งอยู่ในที่ใกล้นิพพาน.

ความยินดีมิใช่ของมีอยู่แห่งมนุษย์
ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เข้าไปแล้วสู่เรือนว่าง
ผ็มีจิตสงบแล้ว  ผู้เห็นแจ้งธรรมอยู่โดยชอบ”

ภิกษุพิจารณาอยู่  ซึ่งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
แห่งสังขารทั้งหลายโดยอาการใดๆ
เธอย่อมได้ปีติและปราโมทย์โดยอาการนั้นๆ
การได้ปีติและปราโมทย์นั้น
เป็นธรรมอันไม่ตายของผู้รู้แจ้งทั้งหลาย.

ธรรมนี้ คือความคุ้มครองซึ่งอินทรีย์ 1
ความสันโดษ 1  ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์  1
เป็นเบื้องต้นในธรรมอันไม่ตายนั้น
มีอยู่แก่ภิกษุผู้มีปัญญาในพระศาสนานี้.

เธอจงคบมิตรที่ดีงาม  มีอาชีวะอันหมดจด
ไม่เกียจคร้าน  ภิกษุพึงเป็นผู้ประพฤติในปฏิสันถาร
พึงเป็นผู้ฉลาดในอาจาระ
เพราะเหตุนั้น  เธอจักเป็นผู้มากด้วยปีติปราโมทย์
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

เมื่อพระธรรมบทแต่ละพระคาถาจบลง  ภิกษุ 100 รูป(ในจำนวน 900 รูป)บรรลุพระอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภทาทั้งหลาย.


ฐิตา:


08.เรื่องภิกษุประมาณ  500 รูป 

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภภิกษุประมาณ  500 รูป  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  วสฺสิกา  วิย  ปุปฺผานิ  เป็นต้น

ภิกษุ  500 รูปจากนครสาวัตถี   รับหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว  ก็ได้เดินทางเข้าป่าไปปฏิบัติธรรมในที่สงัดแห่งหนึ่ง  ณ ที่นั้น  ภิกษุเหล่านี้ไปสังเกตเห็นดอกมะลิซึ่งบานในตอนเช้าหลุดออกจากขั้วหล่นลงสู่พื้นดินในตอนเย็น  ก็มีความคิดว่า  พวกตนจะต้องพยายามปลดเปลื้องตนออกจากิเลสอาสวะให้ได้ก่อนที่ดอกมะลิจะหลุดออกจากขั้ว  พระศาสดา  ทรงตรวดูอุปนิสัยของภิกษุเหล่านั้น  แล้วตรัสว่า   “ภิกษุทั้งหลาย  ธรรมดาภิกษุพึงพยายามเพื่อหลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ให้ได้  ดุจดอกไม้ที่หลุดจากขั้วฉะนั้น”  ประทับอยู่ในพระคันธกุฏี    ได้แผ่รัศมีไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของภิกษุเหล่านี้แล้ว  ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

วสฺสิกา  วิย  ปุปผานิ
มทฺทวานิ  ปมุญฺจติ
เอวํ  ราคญจ  โทสญฺจ
วปฺปมุญเจถ  ภิกฺขโว  ฯ

ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงปลดเปลื้องราคะและโทสะเสีย
เหมือนมะลิเครือ
ปล่อยดอกทั้งหลาย
ที่เหี่ยวเสีย ฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุทั้ง  500 รูป  บรรลุพระอรหัตตผล.


ฐิตา:


09.เรื่องพระสันตกายเถระ 

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระสันตกายเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  สนฺตกาโย เป็นต้น

พระสันตกายเถระ   เคยเป็นราชสีห์มาแต่อดีตชาติ    มีความสำรวมระวังกายอยู่เป็นนิตย์  ไม่เคยแสดงอาการคะนองมือคะนองเท้า  แม้แต่จะบิดกายก็ไม่เคยทำ   ลักษณะของพระเถระรูปนี้ไม่ผิดกับพฤติกรรมของราชสีห์  คือ  ราชสีห์เมื่อกลับจากหาอาหาร  คืนสู่ถ้ำที่พักอาศัยของมันแล้ว  มันก็จะนอนลงบนผงมโนศิลา  และหรดาลที่โรยไว้ตลอด 7 วัน  พอถึงวันที่ 7 มันก็จะตรวจดูที่นอน  ถ้าเห็นผงที่โรยไว้นี้กระจุยกระจาย เพราะกระดิกหาง  หู หรือยันเท้าไปถูก  มันจะลงโทษตัวเองด้วยการอดอาหาร  ไม่ออกไปไหน  เป็นเวลา 7 วัน  แต่หากผงนั้นไม่กระจุยกระจาย  มันก็จะภาคภูมิใจ  เดินออกจากถ้ำ  บิดกาย  ชำเลืองดูทิศทั้ง  4  แล้วออกหาอาหาร
ภิกษุทั้งหลาย นำเรื่องพฤติกรรมของพระสันตกายเถระกราบทูลพระศาสดา  พระศาสดาตรัสว่า   “ภิกษุทั้งหลาย  ธรรมดาภิกษุ  พึงเป็นผู้สงบทางทวารทั้งหลายมีกายทวารเป็นต้นโดยแท้  เหมือนกับสันตกายเถระฉะนั้น”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

สนฺตกาโย  สนฺตวาโจ
สนฺตมโน สุสมาหิโต
วนฺตโลกามิโส  ภิกฺขุ
อุปสนฺโตติ  วุจฺจติ ฯ

ภิกษุผู้มีกายสงบ  มีวาจาสงบ
มีใจสงบผู้ตั้งมั่นดีแล้ว
มีอามิสในโลกอันคายเสียแล้ว
เราเรียกว่า ผู้สงบระงับ.

เมื่อพระธรรมเทศฯจบลง  พระเถระบรรลุพระอรหัตตผล   พระธรรมเทศนามีประโยชน์  แม้แก่ชนผู้มาประชุมกัน.

ฐิตา:


10.เรื่องพระนังคลกูฏเถระ 

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระนังคลกูฏเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อตฺตนา  โจทยตฺตานํ  เป็นต้น

พระนังคลกูฏเถระ  เมื่อสมัยยังเป็นฆราวาส  เป็นชาวนาผู้ยากไร้  มีสมบัติส่วนตัวอยู่ 2 ชิ้น  คือ  ผ้าเตี่ยว 1  ผืน  และไถ  1 คัน  เมื่อใดที่ท่านเกิดความเบื่อหน่ายเพศบรรพชิต  อยากจะสึกออกไปเป็นฆราวาส  ท่านก็จะไปยังต้นไม้ที่ท่านเก็บผ้าเตี่ยวและไถนั้นไว้  และให้โอวาทตัวเอง จิตใจก็เกิดความสบาย  หายความกระสันอยากสึก  ครั้งสุดท้ายท่านไปยังต้นไม้นั้น  ยึดเอาผ้าเตี่ยวและไถมาเป็นอารมณ์พิจารณาพระกัมมัฏฐาน  กระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้ไปที่ต้นไม้ต้นนั้นอีกเลย  พวกภิกษุสังเกตเห็นท่านไม่เทียวไล้เทียวขื่อไปที่ต้นไม้นั้นอีก  เกิดความสงสัยจึงได้สอบถามถึงสาเหตุที่ท่านไม่ไปที่ต้นไม้ต้นนั้นว่า “ท่านไม่ไปหาอาจารย์ของท่านอีกหรือ” ท่านตอบว่า “เราไปหาอาจารย์เมื่อมีความจำเป็น  เดี๋ยวนี้ไม่มีความจำเป็นอย่างนั้นแล้ว”  ภิกษุทั้งหลายคิดว่าท่านอวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์  จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดา   และพระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย    นังคลกูฏะบุตรของเรา  เตือนตนด้วยตนเอง  แล้วจึงถึงที่สุดแห่งกิจบรรพชิต”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

อตฺตนา  โจทยตตานํ
ปฏิมาเส  อตฺตมตฺตนา
โส  อตฺตคุตฺโต  สติมา
สุขํ  ภิกฺขุ  วิหาหิสิ  ฯ

อตฺตา  หิ  อตฺตโน  นาโถ
อตฺตา  หิ  อตฺตโน  คติ
ตสฺมา  สํยม  อตฺตานํ
อสฺสํ  ภทฺรํว  วาณิโช  ฯ

เธอจงเตือนตนด้วยตน
จงพิจารณาดูตนนั้นด้วยตน
ภิกษุ  เธอนั้น  มีสติ  ปกครองตนได้แล้ว
จักอยู่สบาย.

ตนแหละ  เป็นนาถะของตน
ตนแหละ  เป็นคติของตน
เพราะฉะนั้น  เธอจงสงวนตน
ให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้าสงวนม้าตัวเจริญ ฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version