ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธศาสนาของธิเบต กับ ปัญหาทางเพศ  (อ่าน 3918 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


          ในอดีต ฝรั่งรู้เรื่องพุทธศาสนาน้อย ยังการเข้าไปธิเบตก็ยากยิ่งนัก ครั้นไปเห็นวัดแบบธิเบต (ซึ่งมีอยู่ที่เนปาล ภูฐาน และบางเขตของอินเดีย เช่น สิกขิมและลาดั๊ก) มีภาพฝาผนังที่แสดงท่านั่งท่ายืนของหญิงชายเสพกามกัน ก็เลยตกใจ พาให้เขียนถึงพุทธศาสนาแบบนั้นไปในทางลบเอามาก ๆ โดยที่ภาพพวกนี้เขียนบนผืนผ้า แขวนตามวัด ตามบ้าน อย่างพระบฏของเราด้วย

          คนไทยที่ติดยึดว่า พุทธศาสนาของเราเท่านั้นที่มีความเป็นเลิศ โดยมองไปยังลัทธินิกายอื่นว่าเหลวไหล ทั้งยังนับถือฝรั่งอีกเป็นพิเศษ ก็เลยเชื่อว่าพุทธศาสนาของธิเบตเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยไสยเวทวิทยา และเน้นในเรื่องราคจริต จนบางคนเรียก ลามะ ว่า ลามก เอาเลยก็มี

          แท้ที่จริง ลามะ แปลว่า ครูบาอาจารย์ ผู้สอนทางด้านการปฏิบัติธรรม ซึ่งอาจเป็นพระก็ได้ เป็นฆราวาสก็ได้ ทั้งนิกายวัชรยานหรือตันตรยานทางด้านธิเบตนั้น ถือว่าการบรรลุธรรมเข้าถึงความเป็นพุทธะได้ทั้งพระและฆราวาสทางเถรวาทของเรา สอนในเรื่องเพศตามสิกขาบทข้อที่ ๓ คือให้มีกามสังวร รู้จักระมัดระวังในทางราคะ ไม่หมกมุ่นไปในทางกามคุณ ดังศีลข้อที่ ๒ ก็สอนให้รู้เท่าทันความโลภ ศีลข้อที่ ๑ สอนให้รู้เท่าทันความโกรธ และข้อ ๔ ให้รู้เท่าทันความหลงนั้นเอง

          ทั้งหมดนี้เป็นการฝึกปรือภายใน ใช้การศึกษาให้รู้เท่าทันอกุศลมูล เพื่อพยายามประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นปกติ (ศีล แปลว่า ปกติ) แม้ยังเข้าไม่ได้ถึงขั้นนั้น ก็ใช้ความสังวร หรือสำรวมระวังเอาไว้ (ส่วนศีลข้อที่ ๕ นั้น ท่านแนะให้รู้จักวางท่าทีจากสิ่งซึ่งมาจากภายนอก ที่ทำให้เรามึนเมา จนเกิดความประมาท แล้วอาจล่วงศีลได้ทั้ง ๔ ข้อ ฉะนั้น ศีลข้อ ๕ น่าจะรวมถึงทุก ๆ สิ่งที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เรามึนเมา อันได้แก่รายการโฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ ทางสื่อมวลชนด้วย)

          ว่าเฉพาะศีลข้อที่ ๓ นั้น ถ้าต้องการเข้าถึงความเป็นปกติอย่างแท้จริง คือการดำรงชีวิตอย่างประเสริฐที่ท่านใช้คำว่าพรหมจรรย์ ผู้ปฏิบัติธรรมที่เข้าถึงกามสังวร จนเห็นโทษของกามแล้ว ย่อมไปพ้นชีวิตคู่ได้เลย นี้แลคือหัวใจของการออกบวช กล่าวคือ ผู้ออกจากการครองเรือน ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย กล่าวคือใช้จิตสิกขา อบรมศีลสิกขา ให้บุคคลคนเดียวบรรสานความเป็นบุรุษเพศกับอิตถีเพศในตน ให้ประสานกันจนเกิดความสมดุลย์ จึงไม่จำต้องแสวงหาคู่ครองจากคนต่างเพศ หรือคนเพศเดียวกัน
         
            เมื่อใครก็ตาม ที่อบรมจิตใจจนบรรสานสอดคล้องกันได้ ด้วยจิตสิกขาหรือสมาธิวิธีแล้ว ชีวิตของเขาย่อมเป็นไปอย่างปกติ คือไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่เบียดเบียนคนอื่นหรือสัตว์อื่น หากความเป็นไปในชีวิตจักเน้นไปในทางที่เกื้อกูลสรรพสัตว์ เริ่มจากคนรอบ ๆ ข้างไปจนธรรมชาติที่แวดล้อมตน และขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เท่าที่ศีลบารมีและสมาธิบารมีของเขาจะมีมากน้อยเพียงใด โดยเขาย่อมเข้าถึงปัญญาบารมีในที่สุดอีกด้วย กล่าวคือเขาย่อมลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้เรื่อย ๆ และเข้าใจธรรมชาติอย่างชัดเจนยิ่ง ๆ ขึ้น จนเขาหมดสภาพของความติดยึดในตัวตน หากรวมเข้าในขบวนการของธรรมชาติอย่างอิงอาศัยกันและกัน ตามสภาพของความเป็นเช่นนั้นเอง

          การที่พระของเราเป็นอลัชชีกันมาก ก็เพราะเขาเหล่านี้ออกบวชโดยไม่เห็นโทษของกามคุณ และสมัยนี้ลัทธิบริโภคนิยมเป็นปัจจัยหลักของสังคม โดยมีสื่อมวลชนมอมเมาให้คนเหลิงระเริงไปกับกามคุณในทางต่าง ๆ ผู้ที่ไม่ฝึกปรือมาในทางสมาธิภาวนาอย่างรู้เท่าทันตัวเองและสังคม ย่อมตกเป็นเหยื่อของราคะ โลภะ โทสะ และโมหะได้ง่ายดายยิ่งนัก
 
         นอกไปจากนี้แล้ว ในสังคมเดิมของเรา วัดพึ่งบ้าน บ้านพึ่งวัด พระพึ่งโยม โยมพึ่งพระ ต่างเกื้อกูลกันและกัน แม้ภายในวัดเอง ศิษย์ก็พึ่งครูบาอาจารย์ ซึ่งก็ย่อมใกล้ชิดกับศิษย์ ยังเพื่อนสหธรรมิกก็คอยตักเตือนกันและกัน โดยที่พิธีกรรมต่าง ๆ ในวัดก็เป็นไปเพื่อให้พระได้เจริญไตรสิกขา แม้จะมีไสยเวทวิทยาเข้ามาร่วมอยู่ด้วย ตลอดจนเดรัจฉานวิชาต่าง ๆ ในทางโลก แต่พุทธธรรมก็เป็นตัวนำที่สำคัญยิ่ง หากวัฒนธรรมที่ว่านี้พังทลายลงเกือบหมดแล้ว พิธีกรรมในทางศาสนาจึงเป็นไปในทางรูปแบบอย่างน่าเบื่อ เจ้ากูเป็นอันมากก็ปราศจากความละอาย (ลัชชี) คือต่อหน้าธารกำนัลเรียบร้อย แต่ลับหลัง หาเป็นเช่นนั้นไม่ นี้มิใยต้องเอ่ยถึงพระพวกโลน ๆ ที่แม้ต่อหน้าญาติโยมก็มีอาจาระอันแสดงความหยาบกระด้างออกมา แม้จนพระผู้ใหญ่ก็มักไม่ละอายใจ ที่มีรถยนต์คันโต ๆ (แม้จะใส่ชื่อผู้อื่นเป็นเจ้าของ) มีกุฏิริฐานยังกับคฤหาสน์ของเศรษฐี ตลอดจนนั่งนอนบนเตียงตั่งซึ่งยัดนุ่นและสำลีอย่างอุดหนุนไปในทางกามกิเลสแทบทั้งนั้น ญาติโยมที่แลเห็นกิจวัตรในทำนองนี้ ก็ไม่เห็นผิด หากช่วยกันถวายเงินทอง ตลอดจนวัสดุเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ จนพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นพวกที่หาเงินเก่ง เพื่อเอาไปสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียน โดยที่เงินพวกนี้ได้มาจากการเสกเป่าวัตถุมงคล ที่อ้างสรรพคุณต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นการหลอกลวงแทบทั้งนั้น โดยพุทธบริษัทไม่เคยถามเลยว่าพระมีหน้าที่ในการหาเงินไปช่วยสร้างวัตถุ เพื่อช่วยองคาพยพต่าง ๆ ของรัฐด้วยหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่โดยเนื้อหานั้นพระควรเป็นสมณะ คือผู้สงบระงับ เพื่อเป็นแบบให้ญาติโยมเอาอย่างในการมีวิถีชีวิตอันเรียบง่าย อย่างสันโดษ อย่างไม่แก่งแย่งแข่งดีกัน หากเป็นไปอย่างบรรสานสอดคล้องกันทั้งภายในและภายนอก ครั้นพระมากลายสภาพเป็นพราหมณ์ไป ก็เลยกลายเป็นเจ้าพิธี ยิ่งมีฤทธิ์ มีอำนาจยิ่งดี โดยที่ฤทธิ์อย่างเก่านั้นเป็นเรื่องของไสยเวทวิทยา ซึ่งถ้าปราศจากการควบคุมโดยคุณธรรมเสียแล้ว เจ้ากูก็จะกำเริบเสิบสาน หลงยศ หลงอำนาจ และลุ่มหลงไปกับไสยเวทอย่างใหม่ อันได้แก่เทคโนโลยี่ที่ทันสมัยต่าง ๆ นั้นเอง พระพวกนี้จึงเป็นอลัชชีกันมาก คือวุ่นวายในเรื่องเงินทอง และประกอบกิจกรรมทางเพศอย่างฆราวาส หากต้องแอบกระทำหรือปิดบังความชั่วของตัวไว้
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธศาสนาของธิเบต กับ ปัญหาทางเพศ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 10:27:41 pm »
         

        ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความโลภโกรธหลงเป็นเจ้าเรือน โดยไม่ควบคุมเอาไว้โดยไตรสิกขา มนุษย์ก็แทบไม่ต่างไปจากเดรัจฉาน หรือเลวร้ายกว่าเดรัจฉานเสียอีก เพราะเดรัจฉานประกอบกิจกรรมทางเพศตามสัญชาตญาณเท่านั้น หากมนุษย์สามารถกระตุ้นสัญชาตญาณ ให้ประกอบกิจกรรมทางเพศได้อย่างเกินเลยความจำเป็น ดังเช่นความโลภก็เกินเลยไปได้ยิ่ง ๆ ขึ้นกับการสะสมทรัพย์ศฤงคารบริวารบนความทุกข์ยากของผู้อื่น รวมถึงการทำลายล้างสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ความโกรธก็เพิ่มยิ่ง ๆ ขึ้นกับการแสวงหาอำนาจ และการสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์ ตลอดจนการขยายกิจกรรมทางการเมืองออกไป อย่างไม่รู้เท่าทันตนเอง โดยที่ทั้งหมดนี้คือความหลง หรืออวิชชานั้นแล แม้ทรัพย์ที่ได้มาและอำนาจที่ได้มา จะเจือจานออกไปทำบุญบ้าง ก็หาได้เป็นกุศลกรรมที่แท้จริงไม่ เพราะทรัพย์นั้น ๆ ได้มาจากการกระทำที่เป็นอกุศล จากการปล้นสดมภ์มาจากคนยากไร้ หรือจากเล่ห์เพทุบายในทางการค้า แม้จะใช้กฎหมายมาเข้าข้างตน ก็ตามที

          ว่าเฉพาะการเสพกามที่มีราคะเป็นเจ้าเรือนนั้น ท่านลามะรูปหนึ่งอธิบายว่า สามัญมนุษย์มีตัวกระตุ้นในทางเพศให้สมสู่กับคู่นอน ซึ่งจะให้ผลเป็นสามขั้นตอนคือ (๑) ได้รับปิติสุขคือความพอใจ (๒) ได้เข้าถึงความลิงโลดอย่างปราศจากความคิด ที่ภาษาสมัยใหม่ใช้คำว่าเข้าถึงจุดสูงสุดในกามกรีฑา และแล้วก็จะเข้าถึงข้อ (๓) การปราศจากความสุข ยิ่งเมื่อตัวกระตุ้นในทางเพศหมดไปกับคู่ครองคนนั้น มันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังเอาเลย ดังจะเห็นได้ว่าคู่สามีภรรยาที่หย่าร้างกันมักมีความเกลียดหรือโกรธแค้นเป็นเจ้าเรือน แม้ยังอยู่ด้วยกัน เมื่อตัวกระตุ้นในทางเพศหมดไปกับคู่ครองคนนั้น ความเย็นชาก็เข้ามาแทนที่ ยิ่งต้องการแสวงหาคู่นอนใหม่ ก็ทำให้เกลียดชังคู่นอนเดิมไปเอาเลย หาไม่ก็หวงแหนไว้อย่างมีความอิจฉาริษยาเป็นเจ้าเรือน ตามที่ใช้ศัพท์กันว่าหึงหวงนั้นเอง ขอให้ดูตัวอย่างทางราชสำนักแต่ก่อนที่พระราชามีเจ้าจอมเป็นเรือนร้อย (ไทย) เรือนพัน (จีน) แต่มเหสีเทวีและคุณข้างในนั้น ๆ ให้บริการทางเพศได้แต่กับชายคนเดียว คือพระราชา และถ้าสตรีใดไปชอบพอบุรุษอื่นใด แม้เพียงมีเพลงยาวถึงกัน หรือให้หมากพลูแก่กันเท่านั้น ก็ต้องโทษประหารเสียแล้วทั้งคู่ โดยที่สตรีที่ว่านั้นยังไม่ได้ร่วมเพศกับชายชู้ในใจของเธอเลย ในขณะที่พระราชาจะร่วมเพศกับสตรีใดก็ได้ แต่พระราชาก็หาพ้นไปได้จากขั้นตอนทั้งสามที่ท่านลามะรูปนั้นกล่าวไว้ได้ไม่ ยิ่งเมื่อถึงข้อสามด้วยแล้ว ในราชสำนักของเราแต่ก่อน มีสตรีที่เรียกกันว่าเจ้าจอมห้องเหลืองรวมอยู่ด้วยมิใช่น้อย คือคุณเธอเหล่านี้เป็นที่เกลียดชังของพระราชาไปแล้ว แม้จะเคยถวายบริการทางเพศให้ทรงได้เข้าถึงข้อ ๑ และข้อ ๒ มาแล้วก็ตาม โดยที่คุณเธอเองจะเข้าถึงข้อ ๑ และข้อ ๒ ได้หรือไม่ ก็ไม่เป็นที่ประจักษ์

          ในกรณีของพระองค์เจ้าทักษินชานั้น ทรงเป็นพระน้องนางในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเคยเป็นเจ้าจอมมาก่อน แล้วต่อมาก็ถึงกับเสียพระจิต ส่วนกรณีของพระองค์เจ้ายิ่งวรลักษณ์นั้น ทรงเป็นพระพี่นาง หากลักลอบได้เสียกับอ้ายโตที่ในพระบรมมหาราชวัง ผลก็คือฝ่ายชายถูกประหารชีวิต ฝ่ายหญิงถูกถอดออกจากความเป็นเจ้า แล้วกล่าวกันว่าตายเอง ยิ่งในรัชกาลที่ ๒ ด้วยแล้ว พระเจ้าน้องนางเธอปฏิเสธที่จะร่วมเพศกับพระราชาผู้เป็นพระเชษฐาธิราช ผลก็คือทรงถูกประหารชีวิต นัยว่าเพราะทรงบริภาษพระเจ้าแผ่นดินอย่างไม่กลัวพระราชอาญา

          ที่ว่านี้เป็นเรื่องของชนชั้นสูง ที่ไม่มีใครเคยกล้ากล่าวถึงอย่างจัง ๆ แต่คนชั้นกลางหรือชั้นล่าง ไม่ว่าไทยหรือเทศ ก็มีสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น โดยที่ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมเสียแล้ว ความเป็นสัตว์กับการเสพกามย่อมเลวร้ายได้ยิ่งกว่าเดรัจฉานดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยิ่งนักบวชที่สังคมถือว่าเขานั้น ๆ ต้องทรงพรหมจรรย์ด้วยแล้ว พวกนี้จึงเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างอำมหิตยิ่งกว่าคนครองเรือน ดังเจ้าอาวาสองค์ก่อนของวัดราชโอรสนั้น เมื่อยังครองพระอารามอยู่ก็มีชีสาวมาตะโกนร้องเรียกพระคุณท่าน ขณะลงอุโบสถสังฆกรรมว่า “เอาผัวของกูคืนมา” และเมื่อท่านองค์นั้นมรณภาพลง ก็มีถุงยางมีชัยอยู่ในห้องนอนของท่านค่อนข้างมาก โดยที่อีกหลายต่อหลายวัดที่สมภารเสพกามกับนางชีอย่างขืนใจ เมื่อท้องขึ้นมา ก็ให้ไปทำแท้งเสีย แล้วนี่ล่วงปาราชิกกี่ข้อกันเล่า มิใยต้องเอ่ยถึงว่าพระคุณเจ้าพวกนี้มักมีเงินทองอย่างโกงเขามา และมักอวดอุตริมนุสธรรมกันอีกด้วย

          เรื่องกามราคะในวังและในวัดนั้น เป็นเรื่องอันละเอียดอ่อน แต่ในสมัยโบราณ การที่ผู้ชายเอาเปรียบผู้หญิงนั้น ยอมรับกันได้โดยเปิดเผยในทางวัฒนธรรม ฉะนั้นในวัง จึงลงโทษจำเพาะแต่สตรี พร้อม ๆ กันนั้นพระราชาก็เป็นผู้ที่ “ยอยกพระพุทธศาสนา” จึงต้องกำราบสมีและอลัชชีให้หมดไปจากพระอารามหลวง หาไม่อาณาจักรจักไม่มีศาสนจักรเป็นเครื่องคุ้มครอง ให้รัฐหรือรถวิ่งไปได้ด้วยดีโดยวงล้อทั้งสอง

          ก็ในเมื่อความเชื่อดังกล่าวหมดไปแล้ว รัฐบาลซึ่งมาทำหน้าที่แทนพระราชา ย่อมไม่ใยดีกับการกำจัดอลัชชี ถึงต้องการจะทำก็ทำไม่ได้ โดยที่วัดราษฎร์ในจังหวัดต่าง ๆ นั้น ชาวบ้านเป็นผู้ที่คอยตรวจตราความประพฤติของพระกันเอง ยิ่งในเรื่องการเสพเมถุนของเจ้ากูด้วยแล้ว ชาวบ้านจะจับสึกกันไปทันที แต่วัฒนธรรมที่ว่านี้ก็ปลาสนาการไปแล้ว คือเรายอมแพ้วัฒนธรรมแห่งการบริโภคที่เข้ามาเป็นตัวกำหนดคุณค่าของสังคมไทยในระดับต่าง ๆ แทนที่วัฒนธรรมเดิมของเรานั้นเอง
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธศาสนาของธิเบต กับ ปัญหาทางเพศ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 10:30:19 pm »
 


          พุทธศาสนาของธิเบตนั้นต่างจากของเรา ตรงที่เรายึดถือเอามติของพระเถระ ณ สังคายนาครั้งแรก หลังพุทธปรินิพพานเพียงไม่กี่เดือน นี้แลคือข้อยุติในการตัดสินพระธรรมวินัย ซึ่งเราถือว่าเป็นผู้แทนองค์พระศาสดา แม้พระศาสดาจะโปรดให้แก้ไขวินัยบัญญัติในสิกขาบทที่ไม่สำคัญได้ ที่ประชุมในการสังคายนาครั้งนั้นก็ลงมติว่าจะไม่ขอแก้ไขสิกขาวินัยข้อใด ๆ เลย และประวัติการทำสังคายนาต่อ ๆ มาของฝ่ายเถรวาทก็เน้นในเรื่องนี้ โดยที่ข้อความในพระไตรปิฎกเองก็ปรากฏว่าได้รวมข้อโต้แย้งในทางพระอภิธรรมเมื่อคราวตติยสังคายนาไว้ด้วย ดัง กถาวัตถุ เป็นประเด็นที่สำคัญในทางอภิปรัชญา

          อนึ่ง การสังคายนาครั้งที่ ๓ ณ กรุงปาฏลีบุตร ภายใต้ราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกนั้นสำคัญที่สุดสำหรับนิกายฝ่ายใต้ของเรา เพราะปรากฏว่ามีการส่งธรรมทูตไปยังลังกาทวีป (พระราชโอรสเป็นหัวหน้าของฝ่ายพระภิกษุ พระราชธิดาเป็นหัวหน้าของฝ่ายพระภิกษุณี) และประเทศอื่น ๆ รวมสุวรรณภูมิ ซึ่งมีพระโสณะและพระอุตระเป็นผู้นำ โดยเราเชื่อว่าธรรมทูตคณะนี้ขึ้นบกที่นครปฐม ซึ่งดูจะสมจริงยิ่งกว่าที่พม่ากล่าวไว้ว่าไปขึ้นบกที่ประเทศนั้น ราว ๆ พ.ศ. ๓๐๐ เป็นต้นมา

          จากนั้นพุทธศาสนาในชมภูทวีปก็คลี่คลายขยายตัวไปทางเหนือ มีพระเจ้ากนิษกะเป็นราชูปถัมภ์ จารพระพุทธวัจนะเป็นภาษาสันสกฤต ในขณะที่ทางฝ่ายเราจารลงเป็นบาลี (ที่ลังกาเป็นครั้งแรก) และพุทธศาสนาทางเหนือนั้นปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปจากทางฝ่ายใต้ของเรา จนเกิดลัทธิมหายาน (แพร่ขยายไปยังจีน ซึ่งมีพระถังซำจั๋งเป็นตัวเชื่อมที่สำคัญยิ่ง แล้วออกไปยังเวียดนาม เกาหลี และญี่ปุ่น) และมีลัทธิวัชรยานต่อไปอีกด้วย โดยเราต้องไม่ลืมว่ามหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งใหญ่ยิ่งที่สุดนั้น มีการเรียนการสอนทั้งสาวกยาน (เถรวาท) มหายานและวัชรยาน ทางลังกาทวีปเองก็เคยมีทั้งมหายานและสาวกยาน ( ณ อภัยคิรีวิหารและมหาวิหาร) โดยที่ยานทั้งสามนี้ได้แพร่ขยายไปยังกัมพูชา และชวา สุมาตราอีกด้วย โดยเราเองก็รับมาทั้งสามยาน หากเพิ่งมาแปลงเป็นเถรวาทตามแบบลังกาวงศ์ เมื่อสมัยกรุงสุโขทัยนี้เอง แต่ก็ยังไม่ได้สิ้นเชี้อทางมหายานและวัชรยานไปเสียเลยทีเดียว ว่าเฉพาะในทางวัชรยานนั้น ธิเบตรับไปอย่างเต็มที่ แล้วแพร่ขยายไปยังมงโกเลีย รวมถึงจีน โดยที่บางนิกายของจีนได้รับอิทธิพลจากวัชรยานมากเป็นพิเศษ ดังนิกายชินกอนที่ญี่ปุ่นนั้น จะถือว่าเป็นวัชรยานก็ยังได้ โดยที่ญี่ปุ่นรับต่อไปจากจีนอีกทีหนึ่ง

          วัชรยานเน้นในเรื่องการขนสรรพสัตว์ข้ามโอฆสงสาร ด้วยการบำเพ็ญโพธิสัตวธรรมบารมีเช่นเดียวกับมหายาน หากเพิ่มตันตรวิธี (จึงบางครั้งเรียกวัชรยานหรือการมีพาหะเป็นเพชร เพื่อตัดอวิชชาได้อย่างทันทีทันใด ว่าตันตรยาน คือใช้วิธีการของตันตระ อันเป็นความลับที่สอนโดยครูบาอาจารย์หรือลามะ กับลูกศิษย์เป็นวงใน อย่างเป็นความลับ แม้คัมภีร์ของตันตระก็จารไว้ ไม่ให้คนนอกอ่านรู้เรื่อง จำเพาะลูกศิษย์ที่รู้รหัสยนัยแล้ว จึงจะอ่านคัมภีร์ที่ว่านี้ออก) และตันตรวิธีนี้แลที่มีเรื่องในทางเสพกาม รวมอยู่ในคำสอนของอนุตรโยคะ คือโยควิธีอันยิ่ง จำเพาะศิษย์จำนวนน้อยเท่านั้นที่จะปฏิบัติได้ถึงขั้นนั้น

          ทางฝ่ายวัชรยานถือว่าเมื่อก่อนที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น ตัณหาและราคะได้ปรากฏแก่พระองค์ด้วย ดังภาพมารผจญของเรา ก็แสดงออกในทางบุคลาธิษฐานของความโลภ โกรธ หลงอย่างชัดเจน พระพุทธองค์ทรงทราบได้โดยพระญาณว่า ตัณหาราคะเป็นตัวกระตุ้นให้มนุษย์ติดอยู่ในวงวัฏสงสารของการเวียนว่ายตายเกิด กล่าวคือมนุษย์พร้อมที่จะทนทุกข์ เพราะต้องการความสุขจากการเสพกาม ยิ่งต้องการกามสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งก่อโครงสร้างต่าง ๆ ขึ้นให้ลืมความทุกข์ หรือหนีไปจากความทุกข์ ดังลัทธิกามสุขัลลิกานุโยคในสมัยพุทธกาล และลัทธิบริโภคนิยมในปัจจุบัน ซึ่งสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าสมัยโบราณมากนัก

          กล่าวได้ว่ามนุษย์มีตัณหา จนพาให้เกิดเป็นความฝัน หรือฝันเฟื่อง หรือตั้งความหวัง แล้วพยายามหาทางทำอะไร ๆ ให้สมหวัง แต่แล้วก็มีความผิดหวังตามมาด้วยเสมอไป ยิ่งอยากได้มากขึ้น หรืออยากได้ให้ผิดแผกไปจากเดิม ก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้โดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

          อริยสัจสี่ชี้ให้เห็นถึงตัวความทุกข์ว่ามาจากตัณหา ซึ่งโยงไปที่โลภ โกรธ หลง โดยที่มนุษย์อาจดับทุกข์ได้โดยไตรสิกขา หรือตามหนทางแห่งพระอริยมรรค เพราะเมื่อเราเอาชนะตัณหาได้ ความเห็นแก่ตัวย่อมปลาสนาการไป เป็นอันว่าปัญญาย่อมเกิดขึ้นอย่างเป็นแสงสว่าง พร้อม ๆ กับกรุณา ที่จงใจที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นสัตว์อื่น โดยที่ทางมหายานและวัชรยานเชื่อว่ามนุษย์เรามีโพธิจิตอยู่แล้ว คือเราพร้อมที่จะตรัสรู้ตามรอยบาทพระศาสดา ถ้าเราปลดเปลื้องตัณหาเสียได้

          ก็การที่จะปลดเปลื้องตัณหาให้ได้นั้น ทางตันตระสอนว่าต้องใช้ อุปายะ หรืออุปายโกศล คือใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ดังปรากฏในคัมภีร์เหวัชรตันตระ ว่า “โลกถูกผูกมัดเอาไว้ ก็เอาตัวที่ผูกรัดนั้นแลมาปลดปล่อยเสีย โดยถูกความหลงครอบงำ จึงไม่รู้ความจริง (สัตย์) และคนที่เข้าไม่ถึงความจริง จะเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้” ฉะนั้น คัมภีร์นี้เสนอว่าให้ใช้ตัณหานั้นแลมาประกอบกรรมตามโยควิธี ความข้อนี้ ทางเถรวาทเราคงรับไม่ได้

          วิธีการดังกล่าวปรากฏอยู่ใน อนุตรโยคตันตระ ซึ่งถือว่าเป็นคำสอนอันสูงสุดของวัชรยาน โดยเฉพาะก็ทางด้านตัณหาและปัญหาทางเพศ แต่พระโยคาวจรต้องได้รับการฝึกปรือมาก่อนแล้วทางด้านศีล สมาธิ และปัญญา ตามแบบของสาวกยานหรือหินยาน หากเขาเห็นว่าวิธีการของสาวกยานนั้นมุ่งให้ตัณหาดับสนิท จนเราตัดขาดจากความทุกข์ของเราเองและความทุกข์ของผู้อื่น จึงกล่าวหาว่าวิธีการของเราเป็นยานอันคับแคบ

          เขาถือว่าการลดตัณหานั้นเป็นของดี เพราะถ้ามีอยู่มากเท่าไร จะทำให้เรารุนแรงมากเท่านั้น ทั้งทางเพศ (ราคะ) ทางโลภ โกรธ และทางหลง อุปายะ หรืออุปายโกศลทางฝ่ายมหายานนั้น สามารถใช้วิธีที่แปรเปลี่ยนตัณหาให้กลายไปเป็นขันติและกรุณา เพื่อเกื้อกูลผู้อื่นสัตว์อื่นต่อไป แต่ถ้าเลี้ยงกรุณาคุณไว้ อย่างมีการติดยึดในตัวตน นี่จะให้โทษยิ่งกว่าให้คุณ ดังคนรวยที่ช่วยคนจนให้จนตลอดไปนั้น หาได้ประกอบกุศลกรรมไม่ ยิ่งทำบุญโดยหวังสวรรค์ หรือต้องการให้สังคมยกย่องด้วยแล้ว นั่นเป็นของปลอมเอาเลยทีเดียว

          ทางวัชรยานถือว่าผู้ปฏิบัติธรรมตามทางของเขา ต้องฝึกปรือมาก่อนแล้ว ทางสาวกยานและมหายาน โดยวิธีการของวัชรยานช่วยให้เราเข้าถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ของเราอย่างทันทีทันใด เหมือนดังกับว่าเราเป็นคนตาบอด ก็ต้องผ่าตัดจนตาดีให้ได้

          ในกรณีของตัณหานั้น ถ้าฝึกทางด้านศีล สมาธิ ปัญญามาบ้างแล้ว ย่อมกลายสภาพได้ไม่ยาก จากความเป็นอุปสรรคต่อการตรัสรู้ มาเป็นตัวแปรเปลี่ยน ให้จิตใจของเรากว้างขวางขึ้น คือเปลี่ยนกามฉันทะมาเป็นธรรมฉันทะ เปลี่ยนความเห็นแก่ตัวมาเป็นความไม่เห็นแก่ตัว โดยเราเอาตัณหานั้นแลมาเป็นตัวตั้งสำหรับการภาวนา

          ตามทางของอนุตรโยคะนั้น ตัณหาเป็นอีกด้านหนึ่งของกรุณานั้นเอง เมื่อเราลดความเห็นแก่ตัวลงได้แล้ว ตัณหาก็กลายมาเป็นตัวเกื้อหนุนให้เราเพิ่มพูนการุณยภาพ เรามีชีวิตอย่างยินดีปรีดา พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์อย่างเต็มใจ โดยเราแลเห็นความงาม ความดี และความจริงในทุกชั่วขณะอีกด้วย

          แต่ถ้าฝึกปรือมาในทางธรรมอย่างไม่เพียงพอ ตัณหาก็จะไปรับใช้อัตตา ยิ่งประกอบกิจกรรมทางเพศกันในขณะปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว จะให้โทษยิ่งกว่าให้คุณ แม้จนถึงกับเกิดวิกลจริตก็ยังได้

          ขอย้ำว่าพระโยคาวจรต้องปฏิบัติธรรมมาแล้วตามวิธีของสาวกยาน ในเรื่องสมถะ (ให้จิตใจสงบ เป็นหนึ่งเดียว) และวิปัสสนา (คือรู้จักใช้โยนิโสมนสิการ จำแนกความเห็นแก่ตัวออกไปได้มาก แม้จะยังไม่หมดไปเสียเลยทีเดียว) จากนั้นจึงเจริญโพธิสัตวธรรมบารมีตามแนวทางของมหายาน ที่อาจปรับตัณหามาเป็นความกรุณาได้ แล้วจึงจักเข้าถึงตันตรวิธีแห่งวัชรยาน คือเอาเพชรเป็นพาหะ เพื่อตัดอวิชชาหรือความมืดบอดต่าง ๆ ออกให้เด็ดขาด ตัณหาจึงกลายมาเป็นวัตถุแห่งการเพ่ง เพื่อให้จิตใจเบิกบาน น้อมนำไปในทางที่ไม่เห็นแก่ตัว

          ตามทางของอนุตรโยคะนั้น ไม่เน้นข้อแตกต่างระหว่างตัณหากับการุณยภาพ กล่าวคือเมื่อพระโยคาวจรปฏิบัติธรรมจนมีศีลอย่างเป็นปกติแล้ว ย่อมเป็นคนสะอาด บริสุทธิ์ การยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหมดไป ตัณหาที่เคยร้อนเป็นไฟ เพื่อให้เจ้าตัวสมประสงค์ในทางราคะ กลายไปเป็นความเย็น ที่มุ่งไปในทางเกื้อกูลผู้อื่น สัตว์อื่นตามปกติ พลังภายในชายและหญิงย่อมแสดงออกได้ให้เป็นปรากฏการณ์ ทางด้านตันตระถือว่าความสัมพันธ์ทางพศเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก กล่าวคือรูปร่างอันแหลมคมของสตรีย่อมเอื้อมไปถึงได้ยังความทื่อของบุรุษผู้คุ้นเคยอยู่แต่กับ การประพฤติปฏิบัติตนในทางเพศ พร้อมกันนั้นบุรุษเพศก็มุ่งแสวงหาอารมณ์อันเร่งร้อนของสตรีเพศ

          หัวใจของความต้องการทางเพศนั้นรุนแรงไม่แพ้ความมุ่งมาดปรารถนาในทางบรรลุธรรมของพระโยคาวจร ทางตันตรยานเสนอแนะให้เข้าใจในเรื่องความต้องการทางเพศ โดยที่กามตัณหาเป็นแกนกลางในการแสดงออกอย่างมีชีวิตชีวา นับเป็นแกนกลางที่เชื่อมร่างกายให้เข้ากับจิตใจ

          ถ้าไม่เข้าใจพลังระหว่างเพศชายกับหญิง ทั้งคู่นี้อาจเผชิญหน้ากันดังกับสู้รบในสงคราม ผลก็คือเกิดความวิกลวิการขึ้นได้ไม่ยาก โดยที่ฝ่ายหญิงยิ่งมีอารมณ์รุนแรงขึ้นดังกับบ้าคลั่ง แม้จนถึงกับก่อการทำลายล้างต่าง ๆ โดยที่ทางฝ่ายชายก็ยิ่งกลายเป็นคนดื้อรั้นหยาบกระด้าง อย่างไม่อ่อนไหวในทางที่ถูกที่ควร

          แม้หญิงชายจะดึงดูดเข้าหากัน แต่ถ้าต่างก็ยึดมั่นในอัตตาของตน ก็ย่อมก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบขึ้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ผลก็คือความทุกข์และความแปลกแยก ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมตามทางของวัชรยานจึงต้องเรียนรู้ที่จะแลเห็นข้อแตกต่างระหว่างเพศ และเห็นด้วยว่าแต่ละเพศก็มีจุดเด่นจุดด้อย แล้วนำมาประสานกันให้เกิดความบรรสานสอดคล้องได้อย่างไร

          ที่คนต่างเพศต้องการกันและกัน ก็เพราะเรารู้สึกว่าเราเองขาดความสมบูรณ์ หากทั้งคู่สมสู่กันอย่างเข้าใจกัน อย่างรักใคร่กันด้วยความทนุถนอมกล่อมเกลี้ยง เราย่อมเข้าถึงองค์รวมของขั้วบวกกับขั้วลบ หรือหยินกับหยัง ซึ่งก็คือความบรรสานสอดคล้องของบุรุษเพศกับอิตถีเพศนั่นเอง

          ประเด็นก็คือทำอย่างไร จึงจะตัดขาดไปได้จากนัยลบของตัณหา ซึ่งมักพัวพันอยู่กับความเห็นแก่ตัว แม้จะสำเร็จความใคร่ได้ด้วยตนเอง กับเพื่อนร่วมเพศหรือกับเพื่อนต่างเพศ หากมุ่งสนองเพียงสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์ ผลที่ตามมาก็คือนิวรณ์ที่ขัดขวางจิตใจไม่ให้ก้าวหน้าไปในทางคุณธรรม คือ (๑) ยังคงหมกมุ่นอยู่ในทางกามคุณ หาไม่ก็ (๒) คิดร้ายผู้อื่น ที่เรานึกว่าจะมาแย่งคู่ครองของเรา แม้จนบางทีถึงกับคิดร้ายกับคู่ครองของเราเอง (๓) เกิดความหดหู่ซึมเซา (๔) ความฟุ้งซ่านรำคาญ รวมถึง (๕) ความลังเลสงสัย

          เมื่อพระโยคาวจรลดความเห็นแก่ตัวได้แล้ว ย่อมสามารถใช้อนุตรโยคะตันตระ แปรสภาพของตัณหาอย่างที่สามัญชนเผชิญอยู่ ให้กลายไปเป็น มหาศุขะ ซึ่งเป็นประตูไปสู่การตรัสรู้

          ตามทางของวัชรยานนั้น มีการสอนถึงวิถีทางที่ช่วยให้เกิด อุปายะ เพื่อสร้างพลังภายใน ให้พัฒนาไปอย่างตรง ๆ และอย่างเข้มแข็งขึ้น นี้นับว่าผิดไปกับการภาวนาตามทางของสาวกยานซึ่งเป็นไปอย่างช้า ๆ เพื่อสะกัดจิตไม่ให้กลายไปเป็นความคิด คือให้เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ในขณะที่การเดินตามทางของ มหาศุขะ ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยสะกัดอารมณ์และแนวความคิดต่าง ๆ ที่ขัดขวางการตรัสรู้อย่างได้ผลรวดเร็ว เพราะเมื่อขจัดอุปสรรคดังกล่าวได้แล้ว ปัญญากับกรุณาย่อมเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันอย่างทันทีทันใด

          เมื่อพระโยคาวจรสามารถนำเอาทรัพยากรภายในตนมาช่วยให้เกิดการตื่นขึ้นอย่างตรัสรู้ การุณยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตนย่อมปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธศาสนาของธิเบต กับ ปัญหาทางเพศ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 10:34:44 pm »
         


       ก็ในเมื่อตัณหาและราคะ เป็นส่วนสำคัญขั้นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ จึงจำต้องรู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร อย่างรู้เท่าทัน โดยเอาเชื้อเพลิงนั้น ๆ มาแปรสภาพให้กลายไปเป็นพุทธภาวะและการุณยภาพ

          เราแต่ละคน มีทั้งธาตุแห่งความเป็นบุรุษและสตรีอยู่ในตัวเรา โดยที่ธาตุทั้งสองนี้ มีความสมดุลย์กันในจิตใจและร่างกายอย่างสุขุม คือพ้นร่างอย่างหยาบและจิตใจอย่างหยาบออกไปนั้น มีความละเอียดอ่อนอย่างสุขุมที่สามัญมนุษย์เข้าได้ไม่ถึง

          ในระดับของกายและใจที่ยังหยาบอยู่นั้น คนเพศหนึ่งจะโหยหาคนอีกเพศหนึ่ง เพื่อความเป็นองค์รวม แต่ถ้าปล่อยให้ตัณหานำพาไปอย่างปราศจากอุปายโกศล ตัณหาราคะจะเป็นเจ้าเรือน นำพาไปในทางที่สับสนวุ่นวาย จนเป็นอุปสรรคให้เข้าได้ไม่ถึงการตรัสรู้

          ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นชาย ในจิตใจอันสุขุมของข้าพเจ้า ย่อมมีความสมดุลย์ของบุรุษเพศกับอิตถีเพศอยู่ภายใน หากแต่ข้าพเจ้าเข้าไม่ถึงความสุขุมคัมภีรภาพดังกล่าว โดยที่องคาพยพอันหยาบกระด้างของร่างกายข้าพเจ้านั้น ขาดความสมดุลย์ มีสภาพของความเป็นชายมากไป จึงโหยหาความเป็นหญิงมาเติมให้เต็ม

          เพราะมีร่างกายเป็นชาย ข้าพเจ้าย่อมแสดงออกถึงคุณลักษณะแห่งบุรุษเพศออกไปอย่างเข้มแข็ง พร้อม ๆ กับการหวลหาคุณลักษณะของอิตถีเพศ เพื่อให้เกิดความสมดุลย์อย่างเป็นองค์รวม แต่ถ้าข้าพเจ้าเป็นชายที่มีความเป็นอิตถีเพศอยู่ในทางความคิดฝันมากกว่าความเป็นบุรุษเพศ ข้าพเจ้าย่อมหวลหาบุรุษมาเป็นคู่ครองหรือคู่นอน เพื่อให้เกิดความสมดุลย์

          อุปายวิธีในทางตันตรยานนั้น แนะให้ใช้ร่างกายนี้แลมาใช้ให้ความเป็นบุรุษเพศกับอิตถีเพศสัมพันธ์กัน ดังหนึ่งเสพกามด้วยกัน เพื่อให้กิริยาอาการดังกล่าวเป็นจุดเพ่งในการภาวนา ให้แลเห็นตัณหาราคะอย่างไม่เห็นแก่ตัว จนไปพ้นทวิภาคได้

          วิธีการของโยคะตันตระนั้น สอนสั่งให้ประพฤติปฏิบัติตามสามขั้นตอนคือ (๑) เพ่งไปที่เทพนิมิต ที่เรียกในภาษาธิเบตว่า ยิดัม ซึ่งแยกเป็นหญิง–ชาย หรือ ยับ–ยัม โดยที่ทางภาษาสันสกฤตใช้คำว่า วัชรโยคินีเสพกามกับจักรสังวระ

          (๒) ฝึกจิตใจให้สามารถสร้างความร้อนขึ้นมาได้ภายใน (ภาษาธิเบตใช้คำว่า ตุมโม ซึ่งเท่ากับ จัณฑลี ในภาษาสันสกฤต) ให้ความร้อนนั้นขยายตัวไปในร่างกายอันสุขุมของเรา โดยอาศัยลมปราณซึ่งอัดเข้าไปใน นาทิ หรือช่องกลางของร่างกาย

          (๓) กามมุทรา คือประกอบกามกรีฑากับคนเพศตรงกันข้าม เพื่อกระตุ้นให้อารมณ์ในทางเพศและความคิดที่หมกมุ่นในทางกามคุณหมดไป

          ทั้งสามวิธีนี้เป็นไปเพื่อหาทางรู้จักกับธรรมชาติของตัณหาราคะ เพื่อข้ามพ้นไปสู่การตรัสรู้ โดยเข้าถึงสภาวะของมหาศุขะ เสียก่อน

          ในตอนที่พระโยคาวจรหรือตันตริกะเพ่งไปยังนิมิตหมาย ณ รูปเทพยิดัม องค์เดียว หรือเสพกามกับศักติ (คือคู่ครองของท่าน) อันได้แก่สภาพของ ยับ–ยัม นั้น กามตัณหาจะร้อนแรงยิ่งนัก หากโยงไปได้ถึงเทพเจ้าต่าง ๆ โดยเราไม่รู้ว่าเป็นเทพองค์ใดบ้าง จนความเป็นคู่ที่ว่านี้กลายไปเป็นหนึ่งเดียว

          การภาวนาดังที่ว่านี้ ก่อให้เกิดประสบการณ์ทางด้าน มหาศุขะ จนผู้ภาวนากลายสภาพจากความเป็นชายหญิงไปเป็นเทพที่มีชื่อว่า เหรุกะ (ชาย) กับ ฑากินี (หญิง) มหาศุขะที่เกิดขึ้นนั้นทำลายจิตที่ติดอยู่กับความคิด ช่วยให้การรับรู้เป็นไปได้อย่างสูงส่ง จนผู้ปฏิบัติธรรมตามแนวนี้มีประสบการณ์โดยตรงกับธรรมชาติที่แท้ของจิต

          เมื่อเข้าได้ถึงกายอันสุขุมตามโยควิสัย พลังที่โยงกายกับใจเข้าด้วยกัน ย่อมนำไปถึงคุณสมบัติของจิตใจที่มีค่าอันหาประมาณมิได้ โดยที่ตามปกติแล้วเราเข้าไม่ถึงคุณสมบัติดังกล่าว ยิ่งเจริญอานาปานสติ จนลมปราณทะลุทะลวงเข้าไปยัง นาทิ หรือช่องต่าง ๆ ในร่างกาย จนเข้าไปได้ถึงช่องกลาง พลังในทางธาตุไฟที่เกิดขึ้นภายในเช่นนี้ ก่อให้เกิดพลังมหาศุขะ อีกทางหนึ่งด้วย ผลก็คือที่เราเคยจำได้หมายรู้มาอย่างผิด ๆ หรือติดยึดในปรากฏการณ์ต่าง ๆ นั้น ก็จะปลาสนาการไป นี่ก็เป็น มหาศุขะ อีกอย่างหนึ่ง คือไม่มีความคิดติดอยู่เลย หากเป็นประสบการณ์อย่างชัดเจนที่ไม่มีความคิดนึกรวมอยู่ด้วย

          สำหรับ กามมุทรานั้น ต่างไปจากการแสวงหากามกรีทาเพื่อให้สมอารมณ์ในทางความใคร่ดังที่สามัญชนทั่ว ๆ ไปต้องการ หากการเสพกามของคู่ตันตริกะนั้นเป็นการภาวนาทางมหาศุขะ โดยอาศัยการเสพสังวาสเป็นพาหะ เพื่อให้อารมณ์อันร้ายแรงปลาสนาการไป กามคุณและความคิดคำนึงในทางกามฉันทะก็หมดไปด้วย

          การปฏิบัติตนตาม กามมุทรานั้น ฝ่ายชายไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิ หรือฝ่ายหญิงก็ไม่มีการเข้าถึงจุดสูงสุดในการเสพ หากน้ำอสุจิกลายสภาพจากน้ำอย่างหยาบไปเป็นน้ำอย่างสุขุมแล้วไหลกลับเข้าไปในนาทิกลาง ทำให้เกิดร่างอย่างสุขุมขึ้น และเมื่อเข้าถึงมหาศุขะนั้น พลังลมจากนาทิต่าง ๆ รวมเข้าสู่นาทิกลาง ช่วยให้โพธิจิตแจ่มชัดขึ้น

          ตันตรวิธีชี้ให้เห็นว่าการยอมจำนนตามตัณหาราคะนั้นเป็นอันตราย แต่ถ้าใช้ภาวนามัยวิธี อาจเอาตัณหามาทำให้เชื่องได้ ดังทางฝ่ายวัชรยานเชื่อว่าท่านปทุมสมภพนั้นตรัสรู้แล้ว แต่ก็มีศักติเป็นดังคู่ครองชื่อ เยเฉ โสกยัล และท่านบอกศักติของท่านว่า ถ้าหญิงชายยอมให้ตัณหามามีอิทธิพลเหนือตน มนุษย์ก็ไม่ต่างไปจากอสุรกายหรือปีศาจ แต่ถ้าใช้ตัณหาราคะตามทางของการปฏิบัติธรรมอย่างไม่เห็นแก่ตัว จะช่วยให้เกิดพลังในทางธรรม และช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในได้อย่างสำคัญ

          อาจสรุปได้ว่า คำสอนในทางตันตระซึ่งว่าด้วยปัญหาทางเพศนั้น เน้นว่าเพศเป็นส่วนสำคัญสำหรับความสุขของมนุษย์ โดยชี้ให้เห็นด้วยว่าถ้ารู้จักฝึกกามราคะให้เชื่อง จนนำมาพัฒนาอย่างถูกทาง ย่อมเป็นหนทางที่จักนำไปสู่การตรัสรู้ นี้นับว่าผิดไปจากคำสอนของฝ่ายสาวกยานและมหายานโดยทั่ว ๆ ไป

          ตามวิถีทางของตันตรยานนั้น มหาศุขะ เกิดขึ้นได้ โดยจิตใจได้ประสบการณ์กับธรรมชาติของจิตใจตนเอง โดยข้ามได้พ้นถึงการติดยึดอยู่กับตัณหาราคะ เพื่อทำลายเสียได้ซึ่งการติดยึดในตัวตน

          จากมุมมองดังกล่าว การประกอบกิจกรรมทางเพศที่อยู่เหนือการติดยึดหรือที่ไปพ้นความเห็นแก่ตัว ช่วยให้เราพร้อมยิ่งขึ้นสำหรับการเข้าใจถึงความต้องการของผู้อื่นและสัตว์อื่น โดยที่ความต้องการดังกล่าวมีประเด็นในเรื่องเพศรวมอยู่ด้วยแทบทั้งนั้น.
 
http://www.buddhayan.com/board.php?subject_id=32&ss=
 
http://www.skyd.org/html/sekhi/53/Tibet_Kamma.html
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: พุทธศาสนาของธิเบต กับ ปัญหาทางเพศ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 06, 2011, 12:55:29 am »
 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธศาสนาของธิเบต กับ ปัญหาทางเพศ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 06:18:49 am »



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 30, 2012, 05:04:52 pm โดย ฐิตา »