เวลาสวดมนต์จิตจะห่างจาก
กิเลสตัณหาอุปาทานหลวงตาม้า สอนว่า
การสวดมนต์มันไม่ธรรมดาเลยนะ มันสามารถรักษาโรคได้ แต่เราต้องทำจิตให้เป็นเนื้อเดียวกับบทสวดมนต์ให้ได้ก่อน ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสวดมนต์ไปทำไหม ดูคนโบราณเขาสิ เขามีมนต์ไว้รักษาตัว
เพราะ
เวลาสวดมนต์จิตจะห่างจาก กิเลสตัณหาอุปาทาน ธาตุในร่างกายเราก็ปรับไปในทางที่ดี สมัยก่อนไม่มีใครไม่สวดมนต์ ยุคปัจจุบันไม่ทำกันติดแต่ทีวี โลกยุคใหม่กินธาตุเรา ทำให้เราเป็นโรคภัยตามหนัง เวลามันเศร้าเราก็เศร้า มันร้องให้เราก็ร้องให้ คนยุคปัจจุบันจึงอายุไม่ยืน ถ้าเราอยากให้ธาตุเรามีประโยชน์ เราต้องหมั่นสวดมนต์ให้ได้ ไม่จำเป็นต้องมาวัด ทำบ้านให้เป็นวัด สวดมนต์ที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ก็อธิษฐานสวดมนต์เช้าเย็น อาทิตย์นึงทำได้จากวันเป็นเดือน เดือนกลายเป็นปี แล้วต่อไปเราก็จะมี
ฐานที่มั่นคง เขาเรียกว่าฝึกเตรียมตัวตาย ไม่ประมาท
**************************************
จงพิจารณาให้เห็นโทษของการที่จิตขาดสมาธิ ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเองอย่างไร เพราะจิตเรามันวอกแวกไปตามสิ่งยั่วยุภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัสทางกายอยู่เสมอ ทำให้สมาธิขาดและไม่แล้วจิตไม่นิ่งสักที จนกระทั่งมีไฟลนก้นหรือสถานการณ์บีบบังคับ จึงรีบทำออกจากสมาธิและมีผลต่อเรื่องงาน แล้วก็ไม่มีคุณภาพ ฉาบฉวย เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ง่าย
ลองกำหนดเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนที่อยากมีอยากเป็นในชีวิตอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเราจะต้องทำอะไรให้สำเร็จหรือบรรลุอะไรให้ได้ภายในระยะเวลาเท่าไร เช่น จะทำโครงการนี้ให้เสร็จภายในกี่เดือน ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายจะล่องลอย ไม่แตกต่างอะไรกับเรื่อที่ไร้หางเสือ หรือเศษไม้หนึ่งท่อนที่ลอยอยู่บนพื้นน้ำหากถูกลมพัดพาไปในทิศทางใดก็จะล่องลอยไปตามทิศทางนั้นไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง และไร้คุณค่า คำว่า "ไม่เป็นไร" เมื่อผุดขึ้นในใจใครก็ตาม นั่นคือบ่อเกิดแห่งความประมาท
ดังนั้นต้องตัดสินใจทำอะไรเพราะมีความคิดว่า "ไม่เป็นไร" ผุดขึ้นในจิตแล้ว เราต้องระวังเป็นสองสามเท่า และหันกลับมาพิจารณาความคิดดังกล่าวอีกครั้ง มองดูผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว เพื่อป้องกันภัยเวรและผลเสียที่อาจบังเกิดขึ้น
ต้องหมั่นฝึกการปลีกวิเวก สงบสติอารมณ์อยู่ในที่สงัดจะได้รู้จักการฝึกลับความคิดให้แหลมคมจนสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรม มุ่งไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้ ในขณะเดียวกันต้องตระหนักเสมอว่า จิตที่เฝ้ารอคอยแต่ความตื่นเต้นหฤหรรษ์นั้นจะเป็นที่มาของความเบื่อหน่ายได้ง่าย
เพราะทุกครั้งที่เสพความสุขจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทบมาทางตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสจิตก็จะปรารถนาให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่สามารถหามาชโลมใจได้ก็จะเบื่อง่าย และไม่เอาอะไรกับชีวิตแล้ว
การหมั่นฝึกปลีกตัวจากสังคมหรือคนในครอบครัวเพื่อมาอยู่เงียบๆ หยุดการกระเพื่อมของจิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งเพื่อจะดับพลังราคะที่สุม และ เผาผลาญอยู่ในใจเสมอ. . .
เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ชมรมรักษ์ธรรม chomromrakdham-http://www.facebook.com/pages/ชมรมรักษ์ธรรม-chomromrakdham/134565886589151