ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานสอนใจ : หมากสีแดง  (อ่าน 1125 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
นิทานสอนใจ : หมากสีแดง
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 07:23:18 pm »
นิทานสอนใจ : หมากสีแดง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
19 สิงหาคม 2555 08:44 น.
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000101604-

  ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตชื่อว่า ชาญชัย ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อว่า โชติช่วง
       
       ชาญชัยเป็นพี่ที่มีนิสัยรักสงบและชอบนั่งสมาธิสวดมนต์อยู่เป็นนิจ ส่วนโชติช่วงคนน้องนั้นรักความสนุกสนาน ชอบพบปะผู้คน และนิยมความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
       
       เมื่อชาญชัยและโชติช่วงเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม พ่อกับแม่ก็ให้ทั้งสองแยกเรือนออกไปลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง ชาญชัยจึงเปิดร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน ขายของกินของใช้ทั่วๆ ไป พอที่จะเลี้ยงตนเองได้ไม่ขัดสน ส่วนโชติช่วงคิดการใหญ่กว่าพี่ชาย เขามองเห็นลู่ทางทำเงินมากมายรออยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงลงทุนทำการค้าหลายๆ แบบ และทุ่มเทตนเองในการทำงานอย่างหนัก โดยแทบไม่ยอมพักผ่อน ซึ่งกิจการของเขาก็โตวันโตคืนและทำกำไรให้เขาอย่างงดงาม
       
       ชาญชัยแม้จะเห็นน้องชายเจริญก้าวหน้าก็หาได้มีใจริษยาไม่ เขายังคงดำเนินชีวิตของตนเองไปเหมือนดังเช่นทุกวัน คือ ตื่นนอนตอนตีสี่มานั่งสวดมนต์ทำสมาธิ จากนั้นกินข้าวเช้าแล้วออกไปเปิดร้าน เมื่อถึงเวลาเย็นก็ปิดร้านมานั่งอ่านหนังสือธรรมะและคำสอนในศาสนา ก่อนจะเข้านอนก็สวดมนต์ทำสมาธิอีกครั้ง และตื่นอีกครั้งตอนตีสี่ เป็นเช่นนี้ทุกวันไม่เคยเปลี่ยนแปลง จนชาวบ้านพากันซุบซิบนินทาไปทั่ว ดังนั้นในวันหนึ่ง พ่อกับแม่จึงเรียกให้ชาญชัยไปหาที่บ้าน
       
       “พ่อกับแม่มีอะไรจะคุยกับฉันอย่างนั้นหรือ” ชาญชัยเอ่ยถาม
       
       “พ่อกับแม่ไม่สบายใจเรื่องที่ชาวบ้านพูดคุยและว่าร้ายกันเกี่ยวกับลูกน่ะสิ” พ่อบอกด้วยสีหน้าวิตกกังวล
       
       “ชาวบ้านว่าอะไรฉันล่ะ” ชาญชัยถามอีก
       
       “เขาว่าลูกขี้เกียจสันหลังยาวนัก เปิดร้านออกมานั่งเฝ้าอยู่เดี๋ยวเดียวก็ปิดไปนั่งอ่านหนังสือสบายใจอยู่ในบ้านเสียแล้ว” แม่ของชาญชัยบอกลูกชาย
       
       “แล้วเขาก็ยังว่าลูกเป็นคนโง่ที่ขี้อวดอีกด้วย เขาว่าลูกมีเงินอยู่นิดหน่อย แต่ชอบให้เงินแก่ขอทานและคนยากจน เขาว่าลูกอยากให้ใครๆ มองว่าตนเองเป็นคนมั่งมีจึงทำเช่นนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วการค้าของลูกได้กำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” พ่อของชาญชัยว่า
       
       “ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะลูก ไยเจ้าไม่เอาอย่างน้อง ลองไปดูสิ ตอนนี้กิจการของน้องขยายใหญ่โตไปถึงต่างเมืองแล้ว น้องเอาแต่ทำงานไม่ได้หลับได้นอนเพื่อหาเงินหาทองให้ได้มากๆ...แต่ดูเจ้าสิ หลายปีผ่านไปแล้วยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แล้วอย่างนี้เมื่อไรเจ้าจะรวยเหมือนน้องสักทีเล่า” แม่ของชาญชัยกล่าวอย่างเป็นห่วง
       
       “พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แม้ฉันจะไม่ได้ร่ำรวย แต่มีความสุขมาก ฉันชอบนั่งสมาธิและสวดมนต์เพราะนั่นทำใจฉันสงบ และมีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ไข้ ฉันชอบอ่านหนังสือธรรมะเพราะมีประโยชน์ ทำให้ได้ขบคิดถึงความจริงของชีวิต และนำมาปรับใช้กับตนเองได้ ถึงแม้จะไม่มีเงินมากมาย แต่ฉันก็ชอบช่วยเหลือคนยาก เพราะทำแล้วสบายใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ชีวิตฉันไม่ต้องการอะไรมาก เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็ทำให้ฉันเกิดความสุขมากพอแล้ว ฉันไม่ขวนขวายในสิ่งที่ใหญ่โตแต่ทำลายความสุขอันแท้จริงของชีวิตหรอกจ้ะ”
       
       หลายปีผ่านไป โชติช่วงซึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วได้รับเลือกให้เป็นกำนันดูแลหมู่บ้าน กำนันโชติช่วงนั้นเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของพี่ชายแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นกำลัง ด้วยความรู้สึกว่าไยมหาเศรษฐีอย่างเขาจึงมีพี่ชายที่แลดูกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ ดังนั้นวันหนึ่ง โชติช่วงจึงให้คนไปตามชาญชัยมาพบ
       
       เมื่อชาญชัยมาถึง โชติช่วงก็พาพี่ชายเดินชมบ้านไม้สักอันใหญ่โตโอ่อ่าของเขาอย่างภาคภูมิใจในฐานะของตน เมื่อได้ชมบ้านจนทั่วแล้ว ชาญชัยกับโชติช่วงจึงได้นั่งคุยกัน
       
       “บ้านของฉันใหญ่โตหรูหราดีไหมเล่า ดูสิพี่ นี่คือน้ำพักน้ำแรงของน้องชายพี่ทั้งนั้นล่ะ”
       
       “บ้านจะใหญ่โตหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าอยู่แล้วมีความสุขหรือเปล่า” ชาญชัยพูด
       
       “ต้องมีอยู่แล้ว! ฉันมีเงินทองมากมายไว้ใช้จ่าย มีบริวารรายล้อมคอยรับใช้อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น นี่แหละคือความสุขล่ะ แต่ก็ช่างเถอะฉันไม่ได้เรียกพี่มาพบเพราะเรื่องนี้หรอกนะ ฉันอยากพูดให้พี่สำนึกได้เสียที ว่าพี่ก็อายุมากขึ้นทุกๆวัน น่าจะคิดทำอะไรอย่างฉันบ้าง จะได้มีความเป็นอยู่ที่น่าดูกว่านี้ อยู่ให้สมกับที่เป็นพี่ชายกำนันอย่างไรล่ะ”
       
       “ไม่ล่ะ พี่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ตอนนี้แล้ว เจ้าก็เช่นกันขวนขวายมากเกินไปสุดท้ายอาจก่อให้เกิดผลร้ายต่อตนเองได้นะ” ชาญชัยเตือนสติน้อง แต่นั่นทำให้โชติช่วงโกรธมาก เขาตบโต๊ะอย่างแรง แล้วหยิบหมากสีแดงที่วางอยู่ในถาดข้างๆ ขว้างใส่หน้าพี่ชาย
       
       “พี่เป็นคนโง่ ดังนั้นอย่าได้บังอาจเอาความโง่ของตนเองมาสั่งสอนคนอื่นเลย หมากสีแดงนั่นฉันมอบให้พี่ ในฐานะที่เป็นคนโง่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา ถ้าวันใดพี่เจอคนโง่กว่าตนเอง ก็จงมอบหมากสีแดงนี้ให้เขาไปแทนเถอะ” โชติช่วงตะโกนใส่พี่ชายด้วยอารมณ์มุทะลุดุดัน แต่ชาญชัยไม่ได้กล่าวว่าอะไรน้องชาย เขาเก็บหมากสีแดงใส่กระเป๋าเสื้อแล้วจึงกลับบ้าน
       
       สามปีผ่านไป ชาญชัยได้รับข่าวว่ากำนันโชติช่วงกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งขั้นรุนแรง มีความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และกำลังจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันนี้ ชาญชัยจึงรีบเดินทางไปเยี่ยมน้องชายที่บ้านไม้สักอันใหญ่โตหรูหราของเขา และเมื่อได้พบกับน้องชาย ชาญชัยก็พบว่าโชติช่วงผอมซีดเซียวเป็นอย่างมาก
       
       “เป็นอย่างไรบ้างโชติช่วง” ชาญชัยถามน้องชาย
       
       “เจ็บปวดทรมานมาก คิดว่าคงใกล้จะไปเต็มทีแล้ว” โชติช่วงตอบอย่างคนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
       
       “แล้วเจ้าเตรียมการไว้พร้อมหรือยัง ว่าจะเอาเงินทองติดตัวไปด้วยมากเท่าไร” ชาญชัยถาม โชติช่วงฟังคำถามพี่ชายก็งวยงง แต่ก็ตอบกลับไปว่า
       
       “เมื่อตายแล้วจะเอาไปอย่างไรล่ะพี่ แม้แต่สลึงเดียวก็ไม่มีทางเอาไปได้หรอก”
       
       “แล้วสั่งบริวารให้ไปคอยต้อนรับเจ้าที่นั่นหรือไม่ ลูกเมียเจ้าล่ะ ให้ตามไปด้วยหรือเปล่า” ชาญชัยยังคงป้อนคำถามต่อ
       
       “ที่พี่พูดมานั่น...ฉันเอาอะไรไปด้วยไม่ได้เลยสักอย่าง” โชติช่วงตอบ
       
       เมื่อได้ยินดังนั้น ชาญชัยก็หยิบหมากสีแดงที่โชติช่วงเคยให้ ส่งคืนแก่เขา โชติช่วงมองหมากสีแดงอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกออก
       
       “อะไรกัน พี่เอาหมากสีแดงมาให้ฉันทำไม” โชติช่วงร้องอุทานด้วยความตกใจ ชาญชัยจึงกล่าวแก่น้องชายว่า
       
       “เพราะเจ้าคือผู้ที่โง่เขลากว่าพี่น่ะสิ...ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ดีว่า คนเราเมื่อถึงคราวต้องจากโลกนี้ไป จะไม่มีทางเอาอะไรไปได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่เจ้าก็ยังขวนขวายทำงานหนัก จนสุขภาพทรุดโทรมและส่งผลถึงชีวิตในวัยนี้ เหล่านี้คือการกระทำที่โง่จริงๆ พี่จึงต้องมอบหมากนี้คืนกลับเจ้าไป"
       
       เมื่อโชติช่วงได้ฟังดังนั้นก็คิดได้ทันที เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญของชีวิตว่า แทนที่จะมุ่งมั่นศึกษาธรรมะเพื่อความสุขอันแท้จริง เขากลับสูญเสียเวลาไปมากมายกับสิ่งที่หาได้เป็นความสุขอันแท้จริงไม่ และเมื่อตายไปก็เอาสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลยสักอย่าง เสมือนว่า ที่เหนื่อยมาทั้งชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่สูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง
       
       อย่างไรก็ตาม สำหรับโชติช่วง กว่าที่เขาจะได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในชีวิตบทนี้ ก็เป็นเวลาที่สายเกินไปเสียแล้ว
       
       บทสรุปของผู้แต่ง
       
       อย่าให้ชีวิตต้องเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญของการใช้ชีวิตเมื่อสายไปแล้วดังเช่นโชติช่วงเลย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้นจะยืนยาวสักเท่าไร วันนี้อาจจะยังยิ้ม เดิน เล่น หรือหัวเราะกับคนรอบข้างอย่างขบขัน แต่พรุ่งนี้อาจจะต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่มีใครคาดคิด ...ความไม่แน่นอนนี้แหละ คือความจริงของชีวิตที่ต้องระลึกไว้เสมอ
       
       ดังนั้น อย่าเสียเวลาอันมีค่าในชีวิตไปกับสิ่งที่หาประโยชน์ไม่ได้ แต่จงใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าอยู่เสมอ การสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เธอควรหมั่นฝึกฝนเอาไว้ เพราะสิ่งนี้จะติดไปกับวิญญาณของเธอ และเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่จะนำไปใช้ในชีวิตหลังความตายได้

.


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)