ประชาสัมพันธ์ > โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !
บ่นเรื่อยเปื่อย...เมื่อยก็พัก...ตามประสา นักปฏิบัติไม่เอาไหน ฯ ( Episode 4 )
บัวผ่อง:
บ่นเรื่อยเปื่อย...เมื่อยก็พัก...
ตามประสา นักปฏิบัติไม่เอาไหน
ก๊ะ เสือใบลานไม่เอาถ่าน ( Episode 4 )
อืม... หลังจากที่ Episode 3 โดนอุ้มไปจากห้อง พรรณาอักษร
ตอนนี้ ก็เลย ข้ามห้วย มาเปิด Episode 4 ที่ห้องโครตเกรียน แทนจร้าาา
แบ่บว่า ตั้งใจจะเอาไว้ แพล่มนู้นแพล่มนี่ ระบายฟามเก็บเกด
แล้วก็จะได้ใช้เป็น คลังแสง สะสมยาเบื่อ เอาไว้แจกชาวบ้าน ด้วยอ่ะ
เวลานึกครึ้ม อยากจะหยิบเอา ตัวหนังสือยาว ๆๆๆๆ
ไปอวดแควนขับ ที่อื่นจะได้ โยงลิงค์ จาก กระทู้นี้ ได้เรย สะดวกดีจะตาย
ไม่ต้องกลัวว่า โพสแล้วจะทำให้ กระทู้ + บล็อกชาวบ้าน มันอึด หรือโหลดนานด้วย อิอิ
เอาล่ะ ประเดิม ด้วยการบ่นเรื่องนี้ ก็แระกัน เน๊าะ :12:
บ่นเรื่อยเปื่อย...เมื่อยก็พัก...ตามประสา นักปฏิบัติไม่เอาไหน ก๊ะ เสือใบลานไม่เอาถ่าน ( Episode 4 )
บัวผ่อง:
อสุภะ - ราคะ - กามา แอนด์ เสน่หายาใจ
(โอ๊ยย กรู จะ เขี่ยมันทิ้งยังไงดีวะเนี่ย ?)
อืม...หลายคืนก่อนนู้นนนนนนนน
ไปอ่านเจอกาทู้เนี๊ยะ
http://board.palungjit.com/f10/อย่าไปยึดเลยกับร่างกายผู้หญิง-354130-2.html
--- อ้างถึง ---
Prophecy ว่า
เปิดกระทู้ คนยึดกามราคะ ยังหลงผู้หญิง มาฟังผมเถอะครับ ท่าน
ผู้หญิงไม่ได้น่าสนใจอย่างที่คิดหรอกครับ โคตรเหม็นครับ มีแต่ขี้ข้างในตัว พอเราไม่อยู่ตดเอา ตดเอา นึกว่าผู้หญิงไม่ตดเหรอครับ ตดทั้งนั้นครับ จะดารา นักร้อง ก็ขี้ก็ตดทั้งนั้นแหละ ครับ ในตัวก็มีแต่ขี้
สิ่งที่ผมพูดไม่ผิดหรอกครับ ร่างกายมันทุเรศครับ ผมบอกว่าร่างกายผู้หญิงสกปรก ไม่ได้หมายความว่ามีความเห็นว่าร่างผู้ชายงามครับ สกปรกทั้งนั้นครับ
อันนี้ post แรก ผมยกตัวอย่างผู้หญิงเพราะผมพูดกับคุณผู้ชายครับ แต่ถ้าจะพูดกับผู้หญิง ก็คงจะบอกเหมือนกัน อย่าไปยึด ไปหลง เลยครับ ผู้ชาย มีแต่ขี้ครับ เหม็นครับ สกปรก ทำเป็นแต่งหล่อ จริงๆ ก็เหม็นเน่ากันทั้งนั้นครับ
ถ้าจะรักก็รักแบบเมตตาครับ อยากให้เขาได้ดี แต่อย่าไปหลงรักครับ ตามนั้น
ผมตั้งกระทู้นี้มา เจตนาคือ เห็นว่าคนยึดร่างกายกันมาก อยากให้เข้ามาอ่านให้เห็นความจริงครับ ยินดีสำหรับทุกท่านที่มาแสดงความเห็น
อยากให้ช่วยๆ กันครับ สำหรับคนที่ได้เห็นความจริงแล้วว่า ร่างกายมันทุเรศ สกปรก ขนาดไหน ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ครับ บางคนเห็นกระทู้ ก็รู้เจตนาผมแล้วครับ ว่าไม่ได้คิดไม่ดี ตรงกันข้าม อยากช่วยให้พี่น้องพลังจิตไม่ยึดกับร่างกายนั้นๆ
การคุยเรื่องความสกปรก น่าเกลียด ของร่างกาย เป็นเรื่องดีครับ
--- End quote ---
เก๊าะเรยนึกครึ้มอ่ะเจ้าค่ะ
เก๊าะเลยไปแจม ด้วย แบบเนี๊ยะ
--- อ้างถึง ---
นู๋บีว่า...
อืม... จะว่าไปการปลง อสุภะ ประมาณนี้น่ะ มันช่างเหมาะสม
แล คู่ควร ก๊ะ ไอ้พวกอิอ่อน เอ๊ย นักปฏิบัติ ชั้น ธรรมมานุบาล เสียนี่กระไร
แต่ ถ้ายังมีจิตนาการบรรเจิด เปรียบเทียบปรุงแต่ง ไปว่า
โน่นมันสกปรก นี่มันน่าเกลียดดดดดดดดด
แล้ว เมื่อไร มันจะ เก็ทสะเทือน กับ คำว่า ตถตา ล่ะหว่า ?
จะบอกอะไรให้ นะ การ ปลง อสุภะ น่ะ
มันเหมือนการพยาม ใช้ความฟุ้งซ่าน เพื่อ ตัดกาม นะ
มัน ใช้ได้ผลดีกับ การ ตัด กาม ในระดับ กระจอก ๆ
อาทิเช่น เรื่องของ ทวารทั้ง 5
( รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส )เท่านั้นแหล่ะ
แต่การตัด ทวารที่ 6 ( มโนทวาร )
ในเรื่องของการรู้สึกสนิทเสน่หาผูกพันธ์
ที่เกิดจาก การพอใจใน นิสัยใจคอ ความคิด ความดี
และ ปัญญาแหล่ม ๆ ของเพศตรงข้ามน่ะ
การปลง อสุภะ น่ะ เอาไม่อยู่หรอกจร้าาาา
เพราะว่า ไอ้เจ้า มโนทวาร น่ะ ถ้ามันถูกใจใคร ขึ้นมา
บางที มันถึงกับทำให้เรา เปลี่ยนแปลงความชอบแบบเดิม ๆ ได้เลยนะ
เคยมาแระ สยองชะมัดเรยตรู
นี่ ๆ จะบอกให้นะ ตอนอิฉัน หน้ามืด
เผลอไป ติดแร้วเสน่หาครั้งแรก
เพราะดันไป ติดเนื้อต้องใจ กับ พ่อดอกมะลิสุดหล่อ น่ะ
อิฉันอาศัย หลัก อิทัปปัจจัยตา มาโยนิโส
ค้นหารากเหง้า แห่ง ความหลงในรูป มาแก้ไข การกระเพื่อมในจิต ว่ะ
ส่วน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตอนที่ อิฉัน หน้ามืด
เผลอไปติดแร้วเสน่หา อีกครั้ง กับ ไอ้หนุ่มอีกคน
เพราะดันไป ถูกตาต้องใจ ใน ความคิด นิสัย และ ปัญญา ของมัน
ปรากฏว่า คราวนี้ การใช้ แค่ หลัก อิทัปปัจยตา
มาโยนิโส นี่ มันไม่พอซะแล้ว แฮะ
อิฉัน เก๊าะเลยงัด เอา หลักไตรลักษณ์ มาเจริญสติ
ให้เกิด อนิจจัง ลงใจ เอาว่ะ ก็เวิร์คดีนะ อิอิ
--- End quote ---
ปรากฏว่า แพล่มได้ไม่นานเท่าไร
ไอ้ตี๋จิกตีนฯ มันก็มา บ่นพึมพำเป็น หมีกินผึ้ง
ให้ฟังเกี่ยวกับเรื่อง นี้ ที่ บล็อกสุมหัวนินทาชาวบ้าน ให้ว่า
--- อ้างถึง ---
ฮาโหย
ตรงนี้จากที่เคย สู้มา ทั้งถลอกและเลือดซิบ งัดทุกอย่าง
เจ้ว่าอะไรที่ยั้งได้ ดีที่สุด
สติครับ แม้รสมันเย้ายวน แม้กลิ่นมันติดตรึง แหะๆ
ยิ่งกว่าตอนเลิกบุหรี่เสียอีก พอยกธรรมข้ออื่น มันหน้ามืดไปหมด
สมองตื้อ ร่างกาย ใจ มันเรียกร้อง รสสวาท
ตอนนั้น สติมันยั้งเอาไว้ว่าให้ตายก็จะต้องสู้กันให้ได้
พอผ่านศึกนั้นได้ เรื่องละเมิดในกายหมดจด
แต่หากใจมันยังมี เหอๆๆ ตายังดู คิดยังทำงาน มันตัดไม่ขาดขอรับ แม้นจะให้เด้งเป็นอสุภะคาตา ต่อมามันก็เอาอีก
ยิ้มรับ ยอมรับ และเพียร ต่อไปๆ
ปล.บทพิสูจน์เทือกนี้ มาเรื่อยๆขอรับ ว่ารับได้ป่าวๆ
โดย: จิกตีน(ป.ปราบ ฝากแบรนนน ) IP: 113.53.208.142 วันที่: 23 สิงหาคม 2555 เวลา:19:39:13 น.
--- End quote ---
อ่านแล้วก็อยากจะ บอกเหลือเกินว่า
สำหรับ นักปฏิบัติตัวแม่ อย่างอิเจ้น่ะ
คิดว่า ไอ้เรื่อง พรรณนี้น่ะ อิตั้วเจ้ รับไหว และ เอาอยู๊ จร้าาาา
แบ่บว่า คนอย่าง อิตั้วเจ้ น่ะ มัน แฮงดี บ่มีตก อยู่แว้ววววววววววววว
อืม...บางที อาจจะเป็นเพราะ บุญเก่าเจ้แยะด้วยมั้ง
พื้นฐานทางจิต อันเป็นต้นทุน ในการปฏิบัติ ของเจ้
จึงมีค่อนข้างบริบูรณ์ตามสมควรแก่การฝึกฝน
แถมสันดานเจ้ มันก็เป็นพวกลัทธิ เสพสุข แต่ ไม่ยอม เสพติด น่ะ
จึง ไม่ยอมให้ กามคุณระดับกระจอก ๆ ทั้ง 5
มามีอิทธิพลเหนือชีวิต ความคิด
และ จิตใจของเจ้ เด็ดขาด ( ถ้าเจ้ไม่เอ่ยปาก อนุญาต ! )
แต่ก็ไม่ใช่ ว่า จะเป็นนักปฏิบัติ ที่เก่งฉกาจ
จนสามารถ ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำจนเหี้ยนเตียน ได้แล้วนะ
แต่ พอถือศีล 6 แล้ว ก็รู้สึกว่า ตัวเองมีศักยภาพ
ในการตัด กามคุณทั้ง 5 ได้ดีขึ้นว่ะ
ทั้งในเรื่องของ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส
บทมันจะตัด มั๊นก็ตัดฉับ ลด ละ และ เลิก ได้เลยทันทีว่ะ
ไม่ค่อยจะเกิดอาการข้างเคียง เรื่อง ทุกขัง กะละมัง เท่าไร อ่ะ
คือ เวลาผัสสะอะไร มากระทบ
จิตมันจะปรุงต่อถึงระดับความพอใจ ไม่พอใจอ่ะ
ทว่าจะไม่ กระสันอยาก แล้ว ทุรนทุราย
จนต้อง กระเสือกกระสน ขวนขวาย
ไปหา สิ่งนั้น มาไว้ในครอบครอง เพื่อ เสพสม น่ะ
แต่ จะ เสพแบ่บตามมีตามเกิด เท่าที่อยู่ในขอบเขตที่กำหนด น่ะ
บัวผ่อง:
ยกตัวอย่างนะ อย่างเช่น ตอนเย็น ๆ
ไปซื้อ เสบียงที่ตลาด ตอนซื้อ ลูกชิ้นทอดหอมฉุย
มาเก็บไว้หม่ำในมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้( เพราะเจ้ งดฉัน ยามวิกาล )
เจ้ก็จะชอบพิสูจน์ความเจ๋งของตัวเอง
ด้วยการ เล่นเกมส์ ไม่ได้กิน ดมกลิ่น ก็ยังดี
แหย่ ไอ้เจ้าตัวตัณหา เล่นว่ะ
ประมาณว่า จะยกถุงลูกชิ้นทอดขึ้นมาใกล้ ๆ จมูก
แล้วสูดดม ดื่มด่ำไปกับกลิ่นหอมอันเย้ายวนของน้องลูกชิ้น
จากนั้น เก๊าะดูสภาวะจิตตอนนั้นนะ ว่าเป็นไง
สามารถพอใจแค่นั้น โดยที่ไม่ปรุงต่อ แล้วเกิดเป็นความอยากกิน
จนต้องทรมานใจ ได้หรือไม่ ?
ส่วนเรื่อง แอบเหล่ ไอ้หนุ่มหุ่นดี ๆ หน้าหล่อ ๆ
หรือ ดีเทลสาวนมขาว ๆ ตู้ม ๆ ที่แวะมาหา ทั่น หน. ที่ห้องยา เนี่ย
เจ้ ก็ดูเล่นเป็นอาหารตาให้กระชุ่มกระชวยเฉย ๆ อ่ะ
อารมณ์ประมาณเดียวกับ ศิลปิน ที่ กะลังเสพชิ้นศิลปะ
อัน เกิดจากเรือนร่างของมนุษย์ มั้ง
แต่ เวลามอง จิตมันก็ไม่เคยปรุงต่อ จนฮิสทีเรียกำเริบ
แล้ว เกิดเป็น ความอยาก คิดจะลากใครไปข่มขืน
ให้ต้องฝืนจิตห้ามใจ จนเกิดทุกขังกาละมัง
เพราะความอยากที่ไม่สมหวังซะทีนะ
แม้แต่ เวลาคิดถึง พ่อดอกมะลิ
ไอ้หนุ่มคนแรกที่ เจ้แอบชอบ
หรือ ไอ้หนุ่มคนอื่น ๆ ในคอลเลคชั่น
มันก็จะออกไปในลักษณะ ของการระลึกนึกถึง
ด้วยความ เอื้อเอ็นดู นะ ประมาณเดียวกับ
เวลาที่ อิหม่ามี๊ นึกถึง ฮาร์ทจัง เรยมั้ง อิอิ
ซึ่งเวลาที่เราเกิดความรู้สึกปรารถนาดีให้ ใครสักคน เนี่ย
มันก็ครึ้มอกครึ้มใจ พิลึกว่ะ เอิ๊ก ๆ
เนี่ย ขนาด นึกถึง ไอ้เจ้าเสือจำศีล ที่เคยทำให้เจ้ เฮิร์ทขึ้นมาทีไร
เจ้ยัง แอบอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดูมัน เสมอเรยนะ
ยังคิดอยู่เลยว่า ตรูทำงอน ไม่ได้ติดต่อเสวนาธรรมกะมันมา ตั้งนาน
ป่านฉะนี้ ไอ้หมอนี่ จะก้าวหน้าในการปฏิบัติ ไปถึงไหนแล้วน้าาาา
ซึ่งจาก เหตุการณ์ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ที่เจ้สามารถรับมือ กับมันได้อย่าง ชิล ๆ เหล่านี้
ทำให้ เจ้ รู้สึกแปลกใจ อยู่เสมอ นะ
เวลาที่เห็น ไอ้พวกขี้เหล้าเมายา
มันทำท่าลงแดง จะเป็นจะตาย
เวลาพยายามเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ น่ะ
หรือแม้กระทั่ง เวลาเห็น พวกไอ้หนุ่มคลั่งรัก มันทุกข์ทรมานเจียนจะขาดใจ
เพราะเสือกไปคิดถึงอิสาวที่หักอกมัน ก็เหอะ
นี่ยังคิดในใจเรยว่า ทำไมพวกมันถึงได้ ไม่เอาไหน บ่ มีไก๊ กันนักวะ
ถ้าเป็น ตรูนะ คงจะสามารถ หักดิบ เลิกได้ แบ่บชิล ๆ เลยด้วยซ้ำ
แบ่บว่า เจ้มันพวก อัตตาจ๋า มานะจัด แบ่บ บักเหลิม ร่องขุ่น น่ะ
บทจะเลิก ก็เลิกได้ทันที ไม่มีการอาลัยอาวรณ์ให้ทุกข์ทรมานใจ
ก็แค่ อาศัย กิเลสตัดกิเลส เอา มานะ ไป ตัด ตัณหา แค่นั้นเอง
มันเป็นอะไรที่ ง่ายมั่ก ๆ พอ ๆ กับตัดหยวกกล้วยเยยย
บัวผ่อง:
ส่วนไอ้เรื่องที่เจ้ บ่นเรื่อยเปื่อย
เรื่องที่ เจ้เสือกหน้ามืด หลงไปติดแร้ว เสน่หา
ก๊ะ ไอ้หนุ่มคนล่าสุดเนี่ย
มันก็ไม่ได้ทรมานจะเป็นจะตาย
จนเลือดไหลซิบ ๆ อะไรหรอกนะ
เพียงแต่ รู้สึกว่า มันน่ารำคาญใจ
คล้าย กำลังโดน เสี้ยนตำตรีนน่ะ
คือ พอต้องมาหน้ามืดนั่งน้ำลายไหลยืด คิดถึงไอ้เวรนั่นบ่อย ๆ เข้า
เจ้ก็ชักจะ รู้สึกรำคาญกับความงี่เง่าของตัวเอง ว่ะ
เพราะ ปัจเจกอย่างเจ้ ไม่ชอบ ให้ ไอ้หน้าไหน
บังอาจมาสะแหล๋นแจ๋น สาระแนมาแผ่อิทธิพลมืด
ครอบงำความรู้สึกนึกคิด ของเจ้ มากเกินกว่า ที่เจ้จะเอ่ยปากอนุญาต อ่ะ
ยิ่งเห็นว่า ตัวเองเริ่ม ขุ่นมัว ขวางหูขวางตา
เวลาที่มองดูมัน ไปพูดคุยกระหนุงกระหนิงก๊ะ อิสาว อื่นอี๊กก
อะโหย เริ่ม ตระหนักขึ้นมาทันทีว่า
วงจรอุบาทว์ ของ ความยึดมั่นถือมั่น ของจิต
มันเริ่มวนลูป มาเกิดขึ้นกับกรู แบบในหนังเรื่อ เดอะ ริง อีกแว้วววววว
พอ เจองี้ หลาย ๆ ครั้งเข้า
ระบบเซนเซอร์ อันเป็นกลไกการป้องกันตัวเอง
มัน เก๊าะเลยเริ่มได้กลิ่นทะแม่ง ๆ ของอันตราย
รู้สึกว่า เฮ้ย อิ๋บอ๋ายแล้ว ไอ้5 นี่ มันชักเริ่มจะล้ำเส้น
กลายมาเป็น บ่วงรัดคอหอย เข้ามาคุกคามชีวิตอันแสนสุข
ในกะลามหาสนุก ของตรู ซะแระ สมควรที่ต้องหาทาง กำจัดทิ้ง !
อืม...ไม่รู้ดิ มันมีสัญชาตญาณ บางอย่าง
ทำให้ เกิดความรู้สึกอึดอัด เหมือนสัตว์สักตัว หนึ่ง
ที่กำลังจะ ติดแหง่ก ๆ อยู่ในบ่วงในแร้ว ที่มองไม่เห็นว่ะ
ก็เลยต้อง พยาม ตะเกียกตะกาย
หาทางหลุดออกจากบ่วงจากแร้วนั้น ให้ได้
เลยต้อง งัดเอา สารพัดวิธี มารับมือ ง่ะ
ไอ้ครั้นจะใช้ วิธีหลีกเลี่ยง
เบี่ยงไปโคจร คนละจักรวาลก๊ะมัน
แบบที่เคย ใช้ได้ผล ตอน ลงทุน เดินอ้อมโลก
เพื่อหลบหน้าหลบตา จะได้ไม่ต้องผ่านไปเจอหน้าใครบางคน ที่เริ่มรู้สึกว่า
มันก๊ะเจ้ เริ่มเกิดความรู้สึกชอบพอ ซึ่งกันและกัน
จนมันเริ่ม จะเป็นอันตราย กับ สวัสดิภาพและสงบสุขในชีวิต ของเจ้
แต่ คราวนี้ มันดันจบเห่ ไม่ยักกะเวิร์ค เหมือนครั้งนั้น ว่ะ
แมร่ง ถึงจะไม่เห็นหน้ากัน ไอ้หอยนี่ มั๊นก็ยังเข้ามาป้วนเปี้ยน
วิ่งเล่นอยู่ในความคิดของเจ้ตลอด ๆ
ไอ้ครั้นจะใช้หลัก อิทัปปจยตา มาโยนิโสฯ
หาความไม่เที่ยง ใน นิสัย ใจคอ แล สติปัญญา ของมัน
แบบตอนที่ เคยใช้ได้ผล เมื่อครั้งยัง หลงรูป พ่อดอกมะลิ
แมร่ง มันก็ดันไม่เวิร์ค ซะงั้นว่ะ เพราะไม่ว่าจะชำแหละแทะทึ้งไง
นิสัยใจคอ มันก็ยังเสือกถูกสเปค ถูกตาต้องใจ อิเจ้ไปซะโม๊ดดด
เลย อดที่จะคิดถึงมันมิด้ายยยย อ่ะซิก ๆ
สุดท้ายพอหักห้ามไอ้เจ้าความคิดถึงนั่นไม่ได้
ก็เลยได้แต่ มานั่งทอดอาลัย ปลอบใจ ตัวเอง อย่างปลง ๆ
ประมาณ ว่า เอาวะ ในเมื่อ จิตมันอยากจะคิดถึง
เมิงก็จงปล่อยให้มันคิดถึงไอ้หมอนั่นต่อ ไป
แต่ไงซะ เมิงก็จง สำเหนียก สำนึก และ ระลึก เอาไว้เสมอว่า
ไอ้เจ้าความคิดถึงพวกนี้ มันเกิดขึ้นเองได้
เดี๋ยวมั๊นก็จะต้อง ดับลงเองได้ ตามกฏแห่งไตรลักษณ์ เหมือนกัน ล่ะวะ
เช่นเดียวกับ ครั้งก่อน ๆ ที่มันเคยเกิด ๆ ดับ ๆ งี้เสมอแหล่ะ
เฮ้ออ น่าแปลกชะมัดเรยวุ้ย พอบอกตัวเองงี้ปุ๊บ
ไอ้เจ้าสติสตังมันก็มี แฮง กระชากตัวเองให้หลุดจากบ่วงจากแร้ว
เลิกแตกแถว และ เดินพาเหรด กลับมาเข้าที่เข้าทาง
อยู่ในระบบระเบียบ ในเมทริกซ์ที่สร้างไว้ได้เหมือนเดิม เรยว่ะ
ไอ้เจ้าความรู้สึก คิดถึงผลุ่บ ๆ โปล่ ๆ
ที่ห้ามแทบตาย มันก็ห้ามไม่เคยได้
จู่ ๆ มันก็ หายวับไปเฉย ๆ
รู้สึกเหมือน บ่วงรัดทั้งหลาย ที่เผลอเอามาผูกรัดไว้
มัน ค่อย ๆ คลายตัว ให้เราได้เป็นอิสระ
โดยที่เราไม่ต้องใช้ความพยามอะไรเลยอ่ะ
เล่นเอา งงเป็นไก่ตาแตกเรยนะ คิดแล้วก็ขำดีว่ะ อิอิ
บัวผ่อง:
อ้อ ส่วนไอ้เรื่อง ที่ไอ้ตี๋ มันบอกว่า
สิ่งที่ ยับยั้ง กามา ทั้ง 5 ได้ดี ที่สุดนั้น คือ สติ นั้น
เจ้ เห็นด้วยกับลื้อแค่บางส่วนนะ
และ จะขอ เสริมเพิ่มเติม เพื่อเตือน ลื้อ ด้วย ว่า
สติ อย่างเดียว อย่างเดียว มันอาจจะ เอาไม่อยู่
จนเกิดปรากฏการณ์ แตกแล้ว
แบ่บเมื่อครั้งน้ำท่วม กรุงเต้ปได้นะจ๊ะ อิอิ
มันต้องมี สัมปชัญญะ กำกับ ด้วยว่ะ
เคยป่ะ ตอนที่ กำลังหน้ามืด สมองตื้อ ร่างกาย ใจ มัน ชี้ชวน
ให้ลิ้มลอง เสพสมรสชาดในกามคุณอันเย้ายวน ทั้งหลายแหล่
แต่จู่ ๆ ขณะที่ กำลังนึกครึ้ม พอ กรึ่ม ๆ นั้น
ก็รู้สึก เหมือน กับว่า จิตมัน หยุดปรุง ไปในเสี้ยวนาที
แล้วก็เกิดการเว้นวรรคจากความฟุ้งซ่าน
เปิด โอกาสให้เรา ได้เลือกทางเดินของชีวิต น่ะ
ตอนนั้น อารมณ์มันจะ กรุ่น ๆ เหมือน
คนที่ กำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่ง
แล้ว ตัดสินใจ ว่าจะ กรูจะเดินตุรัดตุเหร่
แล้ว ฟุ้งต่อไป ในไปทางไหนดี ?
เจ้เอง ก็เคยเป็นงี้ เหมือนกันนะ
มันไม่ใช่ การต่อสู้กัน ของ จิตใต้สำนึก ( Id )
กับ จิตเหนือสำนึก ( Super Ego )ว่ะ
แต่ มันเป็น การโยนกลอง มาให้ จิตสำนึก ( Ego ) เป็นผู้เลือก น่ะ
ว่าจะ อนุญาต ให้เดินไปทางไหน
ซึ่งไม่ว่า เจ้าจิตสำนึก มัน ตัดสินใจ ไง
ไอ้เจ้าคิตตี้ ก๊ะ อิการ์ฟิล์ด มันก็พร้อมจะปฏิบัติตามนะ
( ซึ่งส่วนใหญ่ มันก็ค่อนข้างจะหลงคารม อิการ์ฟิลด์ ว่ะ แหะ ๆ)
แต่ถึงงั้น มันก็ยังมี การกำหนดขอบเขตที่ยอมรับได้อยู่นะ
นั่นก็คือ ไม่ว่า จะโอนเอน เอียงกระเท่ไปทางไหน
ทุกอย่างที่จะกระทำ ต้อง ไม่ก้าวล่วง ศีล 5 !
ม่ะงั้น ไอ้เจ้า จิตสำนึก มัน เก๊าะ ไม่ยอมอนุมัติ ว่ะ เอิ๊ก ๆ
อืม...นอกจากนี้ การจะตัดกามา ทั้งหลายทั้งพวงนั้น
มันต้องคำนึงถึง ศักยภาพ ( กำลังแห่งจิต ) ด้วยนะ
ถ้าเป็นพวก ฮาร์ดคอร์ ก็อาจจะใช้วิธีหักดิบ เอาแบบเจ้ ได้
แต่ถ้า เป็น พวก อิอ่อน อาจจะต้อง ค่อย ๆ ผ่อนปรน
แบ่บ ค่อยเป็นค่อยไปนะ ไม่งั้น อาจ ลงแดง ตายได้ เอิ๊ก ๆ
ที่สำคัญ เรา ต้อง ตระหนัก
ถึง สถานะภาพ ของเราด้วย
ว่า เราอยู่ใน สถานะใด
เป็น สมณะ หรือ ฆราวาส
เป็นผัว หรือ เป็นเมียใครอยู่ไหม ?
ถ้าทะลึ่งหน้ามืด ไปสร้างพันธะอะไรกับใครเอาไว้แล้ว
ก็ต้อง ก้มหน้าก้มตา รับผิดชอบในหน้าที่ของตน หลักทิศ 6 ด้วย
ไม่ใช่ว่า พอมีความประสงค์จะ ฝึกตนเพื่อ ตัดสังโยชน์
ก็กระโดดเข้าไป ทำเลย โดยไม่นึกถึงหัวอกของคนรอบข้าง
ขืนเป็นแบบนี้ มันจะไม่หมดจดและงดงามตามธรรม
และ อาจนำมาซึ่ง การเกิด ปฏิฆะ ระหว่างกันได้นะ
อันนี้ เตือนไว้ ด้วยความหวังดี
เพราะ ไม่อยากให้มีนักปฏิบัติคนไหน
ต้องมาเสียหมา โดนเมียฟ้องหย่า
ด้วยข้อหา บ่ มีไก๊ ไร้น้ำยา อ่ะ หุหุ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version