ประชาสัมพันธ์ > โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !

บ่นเรื่อยเปื่อย...เมื่อยก็พัก...ตามประสา นักปฏิบัติไม่เอาไหน ฯ ( Episode 4 )

<< < (4/16) > >>

บัวผ่อง:

--- อ้างจาก: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 27, 2012, 11:57:13 pm --- :13: คุณแม่เขียนได้ ดุดันเช่นเดิมครับผม
ในความรู้สึกผมนะ หลังๆนี่ คุณแม่เขียนแบบกลีบบัวครับ ^^
ผมก็อธิบายไม่ถูก นึกถึงกลีบบัวซะงั้น

รักษาสุขภาพนะครับคุณแม่
ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ

--- End quote ---



:12:  :12:  :12:


เมี่ยงบัวหลวง เคล็ดลับ ดูแลสุขภาพ


           เมื่อเอ่ยถึง ดอกบัว หลายคนคงคิดแต่เพียงว่า มีไว้สำหรับการไหว้พระเท่านั้น
           แต่ผลงานวิจัยจากต่างประเทศที่ได้ศึกษาเฉพาะด้าน "บัว" พบว่า

           กลีบบัว มีสรรพคุณ บำรุงร่างกาย ห้ามเลือด อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง
           เกสรบัว เป็นยาสมานแผลในร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท


ที่มา : www.oknation.net/blog/print.php?id=814834

บัวผ่อง:
ปริศนา ดอกบัวพันชั้น...



--- อ้างถึง ---
เมื่อคืน ผมตีปริศนา ดอกบัวพันชั้น
เห็นลาง ๆ ในกลีบ มี พันดอก
เข้าไปในดอก มี พันกลีบ
เข้าไปใน กลีบ เจอ พันดอก
พอเข้า ไปใน ดอกเจออีกพันกลีบ ...........
เข้า ๆ ไป เข้า ไป เรื่อย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คือ อะไร แว๊บ ๆ เป็นชั้น ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 
โลก อนุภาค และ กาลเวลา เป็นหนึ่งเดียวโยงใย
ความว่าง เล่นตลก ...

มดเอ๊กซ์   


--- End quote ---

:12: :12: :12:

บัวผ่อง:
► ►►. . ....จะเลือกรักษา ใคร ก่อน ?.... . .◄ ◄◄




อนึ่ง เนื่องจาก ตัวหนังสือที่ อิฉันอุส่านั่งหลังขดหลังแข็ง
เอาไปโพสแปะไว้ ในกระทู้ "..จิต..จะตั้งมั่น" ของ ไอ้เจ้าสับฯ
ได้ถูก ทำให้ดับสูญ ไปซะแหล่ววววว
เก๊าะเรยรู้สึก เสียดาย เลยเอามาโคลนนิ่งไว้ที่นี่ ก็แล้วกันเน๊าะ





--- อ้างถึง ---
สับสน! ว่า...

ใน ยุคที่สับสน ผู้คนหวาดระแวงกัน สังคมแตกแยกการทำจิตให้ดิ่งในความดีนั้นต้องอาศัย หลักปัญญา..ใคร่ครวญก่อนที่จะให้..ใคร่ครวญ..ก่อนครับ
การทำบุญ-ทำทาน หลักการคือผู้ให้ต้องบริสุทธิ์ทั้งทรัพย์ที่หามาได้และจิตใจที่ให้ โดยปราถนาให้ผู้อื่นมีสุขบ้างตามอัตภาพ..
ผู้รับผู้ให้ต้องใคร่ครวญว่าควรให้แก่ผู้นี้รึไม่เขา น่าสงสารปราถนาให้เขามีสุขบ้าง หรื่อต้องการรักษาองค์กรศาสนา ประเพณี วัฒนะธรรม ต้องใคร่ครวญว่าผู้รับบริสุทธิ์ ยังประโยชน์สูงสุดแก่ผู้รับ..นี่คือหลักปัญญาในการทำบุญ-ทาน..
จิตจะตั้งมั่นใน ความดี เป็นพื้นฐานที่สงบและสำคัญยิ่ง จิตจะสงบเมื่อระลึกถึงบุญ-ทาน ที่ทำด้วยปัญญานี้อย่างมีเหตุผลด้วยพลังแห่งปัญญาโยนิโสให้ดีครับจิตจะสงบ นานเป็นฐานให้เกิดสมาธิ
..เมื่อถึงจุด จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจิตบุญ-ทาน จิตเขาก็จะทิ้งจะวางจะตัดเองแม้กระทั่งความดี ก็จะวางไปเองเพราะ"รู้" ซะแล้วก็ไม่อยากได้แค่สภาวะนี้ จิตเขาจะวางเองไม่ต้องไปตั้งท่า ละวางอะไรเลยครับ..เมตตา ให้ด้วยปัญญา จิตจะตั้งมั่นด้วยกำลังบุญ-ทานนี้ครับ สาธุครับ ชวนสนทนาธรรม นานๆมาครั้ง
ท่านขันธ์ หากมาได้ช่วยชี้แนะด้วยครับ สาธุอนุโมทนาล่วงหน้าครับ


..บางคนเขามองแค่ มีคนเดือดร้อนมายืมเงิน นั่นกำลังเดือดร้อนจริงๆได้โอกาสทำบุญแล้ว..ดูอีกนิดโยนิโสอีกหน่อย ให้โอกาสเขาได้ไหม..ประวัติดี ก็ให้ไปเลยประวัติไม่ดี
ก็ไตร่ตรองให้โอกาสเขาไหม..ใช้ปัญญาครับ เราเสียเงิน แต่ได้ใจได้สติได้บุญได้กำลังจิตเพราะไม่หวังได้คืน หากได้คืนนั่นกำไรบุญ2ต่อเลยครับ
แต่การช่วยคนอื่นในเพศฆราวาสตนเองต้องไม่ลำบากด้วยนะครับไม่งั้นบาป..


--- End quote ---



--- อ้างถึง ---
สับสน! ว่า
ผมตัวนิดเดียว.ท่านขันธ์ไม่มา ทุกคนหายเงียบ ตัวแสบก็หาย ..ผมมาหาความรู้และเพลิดเพลินในธรรม..แต่เงียบไปหมดเลย คิดถึงท่านขันธ์ครับ


--- End quote ---





นู๋บี ว่า....


แหม๊ ? เอะอะ ๆ หล่อน ก็พิลาปรำพัน
บ่น คิดถึง แต่ ป๋าขันๆๆๆๆๆๆๆๆ
ม่ะเห็น จะ บ่นคิดถึง นู๋บี กัลยา ณ มิตร ที่แสนดี คนนี้มั่ง เรยอ่ะ
อะซิก ๆ ชักน้อยใจแระน้าาาา โอ๊ยยยย งอน เว้ย งอน


อืม... สงสัย ป๋าขันธ์ อีจะ งดเม้าส์ เข้าพรรษา มั้ง
เรยยัง ไม่ออกมาเต้น แร่พโยวโชว์ สเตป น่ะอิอิ
เออ แล้วจะบอก อะไร ให้นะยะ
ไอ้เรื่อง ทำบุญทำทาน เนี่ย
เชื่อ ป่ะ ถ้า มีคนตั้งกระทู้ถาม ว่า

ระหว่าง ขอทานหิวโซใกล้ตาย กับ พระอรหันต์
ท่านจะเลือก หยิบยื่น อาหารที่มีอยู่เพียงอันเดียว ให้กับใคร ?


ส่วนใหญ่ไอ้พวกพุทธแท้แบ่บไทย ๆ
มันก็เลือกให้ พระอรหัต์ กันทั้งนั้นแหล่ะ
อะไร คือ รากเหง้า อันเป็นแรงขับเคลื่อนในการตัดสินใจเช่นนี้ล่ะ
เฮ้ออ สามัญสำนึก น่ะ มันยังสอนกันได้นะ
แต่ จิตสำนึก นี่ สอนกันยากส์ อิ๊บอ๋ายเรยว่ะ



เออ ชั้นว่า เรื่องนี้ ระบบการศึกษา ก็มีส่วนเหมือนกันนะ
ศาสนาพุทธน่ะ เป็น ศาสนาแห่งปัญญา ก็จริงอยู่
แต่ เท่าที่ตรูเห็น คนที่นับถือส่วนใหญ่ น่ะ
แมร่ง ศรัทธาจริต จ๋า กันทั้งน้านนน
ฝันไปเต๊อะ ว่าอิพวกนี้จะยอมหยิบยก
เอา กาลามสูตร มาเป็น สรณะ น่ะ
แค่ แหย่ ศรัทธา มันเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ
พวกมันก็ดิ้นพล่าน ยังกะ ไส้เดือนถูกขี้เถ้า แระ อิอิ



ที่สำคัญ คนพวกนี้มักจะถูก ปลูกฝัง
ความเชื่อ ใน เรื่อง เนื้อนาบุญอันไพศาล
โดยไม่มีใครสอนให้รู้จักสังวร สำรวม ระวัง
เกี่ยวกับเรื่อง ความละโมบโลภมาก ในการสะสมบุญ น่ะ
การ ทำทานบารมี ของพวกเขา จึงมักจะเป็นไป
ในรูปแบบ ของ การทำทานยังไงก็ได้ให้ตัวกรูมีกำไร สูงสุด
ไม่ใช่ เป็นการทำทาน เพื่อการสละออก ซึ่งสิ่งของอันเป็นตัวกรูของกรู น่ะ
เพราะงี้ไง ไอ้ลัทธิ การทำบุญเงินผ่อน
มันถึงได้เฟื่องฟูจนกู่ไม่กลับน่ะ หุหุ



เฮ้ออ ก็ในเมื่อ อิพวกพุทธมามกะจ๋า แบบไทย ๆ
มันชอบ ดีด ลูกคิดรางแก้ว แบบนี้ไง
จิต มันถึงไม่ได้คิดที่จะ ปล่อย จะวาง
แต่ เสือก คิด แต่จะเอา ๆๆๆ อยู่งี้ ง่ะ
แล้ว จะให้ จิตมัน ตั้งมั่น ได้ไงกันวะ
ถ้า ฐาน มันยัง ง่อนแง่น เต็มที เช่นนี้ อ่ะ






นายรักดี ว่า...

คนที่ให้กับพระอรหันต์อาจจะไม่ต้องโลภบุญอย่างเดียวก็ได้นะ คำว่าเนื้อนาบุญ ไม่ใช่แค่เราไปทำบุญได้บุญมากตกแก่เราอย่างเดียว

แต่ยังหมายถึงเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อโลกด้วย เป็นผม ผมก็เลือกให้พระอรหันต์ครับ ให้อาหารพระอรหันต์เพื่อกำลัง ท่านทำอะไรได้อีกเยอะ สอนหมู่สัตว์ได้อีกเยอะ รักษาธาตุขันธ์ท่านก็เป็นบุญต่อผลขันธ์ของสัตว์โลก (ไม่แน่ว่าท่านจะเอาไปให้ใครต่อ หรือบริโภคพอประมาณเพื่อเหลือไว้โปรดสัตว์ ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ไม่ว่าทางเลือกใด ผมให้ท่านก่อนเป็นแน่)

ไม่แน่นะ คนที่ฐานง่อนแง่น อาจจะไม่ใช้คนอื่นหรอกครับ แต่อาจเป็นตัวเจ้าของโพสเอง ที่เที่ยวร้อนมองแต่คนอื่น เห็นคนอื่นโง่ไปซะหมด แต่เรื่องของตัวกลับไม่เคยมีสติพอที่จะมองดูตัวเอง ^ ^






--- อ้างถึง ---
สับสน! ว่า

นางblank123..ต้องให้ขอทานซี่ เขาจะอดตาย อรหันต์ท่านไม่ฉันท่านก็ไม่ตายหรอก อย่าตั้งปัญหาแบบเปิดโลกทัศน์มากนัก คนเขาไม่อยากเปิดก็เยอะ..อิอิ



--- End quote ---




นู๋บี ว่า...

อ้าวววว เฮ้ย ตอบงี้ ระวังจะโดน ค่อนขอด
ถูกครหาว่า เป็น คนที่ฐานง่อนแง่น นะเว้ยเฮ้ยยยยย
เด๋ว จิตก็ ตั้งโด่ เอ๊ยยย ตั้งมั่น บ่ ได้ เด้อออ เหอ...เหอ....


เออ นี่ ๆ หล่อน เคยดู ซีรี่ซ์เกาหลี เรื่องนี้ป่ะ





----------------------------------------------------------------
หมออัลเลนจึงถามฮวางจอง
ว่ายังอยากจะเป็นผู้ช่วยอยู่หรือเปล่า

“ครับ ผมอยากเป็นมาก”


“ถ้าหาก คนไข้ที่อยู่ตรงหน้า
เป็นขุนนางใหญ่...กับสามัญชนล่ะ
คุณจะเลือกรักษาใครก่อน”


“เลือกรักษาคนที่มีอาการหนักก่อน”


“แล้วถ้าหากเป็นคนดีกับคนเลวล่ะ?”


“ก็ต้องช่วยคนที่มีอาการหนักก่อนเหมือนกัน”


“ดีมาก สิ่งที่ผมต้องการ..มีเพียงอย่างเดียว
คือเป็นหมอจะต้องไม่ปฏิเสธคนไข้
นี่เป็นจรรยาบรรณของคนที่เป็นแพทย์...ต้องจำไว้”

“ข้าจะจำเอาไว้”


“นับจากนี้ไป คุณฮวาง คุณเป็นผู้ช่วยของผม
คุณฮวาง คุณจะกลายเป็นหมอที่ดีได้แน่นอน”




นี่ ๆๆๆๆๆ พ่อกัลยา ณ มิตร คิดไม่ซื่อ เจ้าขราาาา
วานไปจุดธูปถาม หมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ให้ทีดิ ว่า

"ถ้าหาก คนไข้ที่อยู่ตรงหน้า
คือ สมณะโคดม...กับ อิเถรเทวทัต แล้วไซร้

ท่านจะเลือกรักษาใครก่อน" 





--- อ้างถึง ---
สับสน ว่า...

..นู๋บี..เขาสอนคนไม่ให้ติดอานิสงส์ ในการทำบุญจะละความโลภได้เด็ดขาดนัก..ไม่เชื่อก็ลองทำดูนะ
 ..แต่ตัวอย่างเธอยังไขว้เขวในตัวอย่างที่ยกมาไม่เหมาะสม เช่น ..หากตถาคตป่วย กับ เทวทัติ ป่วยจะรักษาใครก่อน การทำบุญไม่ใช่หน้าที่ จะยกเอาตัวอย่างนั่นมาถามไม่ถูกต้อง
     อีกอย่าง การทำบุญมีหลักว่าต้องทำด้วยปัญญา ผมก็ต้องทำบุญกับคนดีก่อน คนชั่วหากไปทำบุญกับมันผลจะได้น้อยแต่นี่มิใช่หวังอานิสงส์เพื่อส่วนตัว แต่เป็นการหวังประโยชน์เพื่อส่วนรวม คนส่วนใหญ่ ..มันจะทำลายคำสอนที่ว่า ทำบุญต้องโยนิโสมนะสิการก่อน ต้องใคร่ครวญแล้วจึงให้ต้องมีเจตนาที่จะทำเพื่อจิตใจตนเองหรือผู้อื่น


--- End quote ---




นู๋บี ว่า...

เฮ่ย ? คนสวยปัญญาดีอย่างชั้น
ไม่ได้ สับสนในชิวิตเหมือนหล่อนนะยะ
แล้วที่ยกตัวอย่าง ให้ หมอชีวกฯ ต้องเลือกรักษา
ระหว่าง สมณะโคดม กับ อิเถร เทวทัต ที่กำลังป่วย น่ะ
ก็แค่ จงใจ ปาหินข้างทางเล่นเฉย ๆ ว่ะ เอิ๊ก ๆ


แหม ?การเปรียบเทียบงี้ น่ะ ชั้นว่ามัน ลุ่มลึก
และ ช่วยทำให้เราเห็น รากเหง้าของการกระทำ
ตลอดจน อคติ 4 ในตน ได้แบบชัดแจ๋ว ดีออกนะ
ว่าจริง ๆ แล้ว สิ่งที่เราคิดว่า เป็น การทำบุญ นั้น
มันมี วาระซ่อนเร้น อะไร แอบแฝง อยู่ในจิต บ้าง
และมันเป็น การรักษาผลประโยชน์ของพวกพ้องตัวเอง หรือไม่ ?


อืม...เห็นหล่อน เลคเชอร์ให้ฟังว่า
การทำบุญไม่ใช่ หน้าที่  มีหลักว่าต้องทำด้วยปัญญา
งั้น ลองโยนิโสฯ  ตอบคำถาม ให้ชั้นชื่นสะดือ หน่อยเด๊ะ


"ถ้าหาก คนไข้ที่อยู่ตรงหน้า
คือ ลูกสาวฝาแฝดของหล่อน...กับ พระปราโมช แล้วไซร้
 
 หล่อนจะเลือก รักษาใครก่อน "


ตอบเสร็จแล้ว ก็ลองบอกถึง เหตุปัจจัย
ที่หล่อนเลือกที่จะกระทำเช่นนั้นด้วย ว่ามันเกิดจากสิ่งใด ?
มี อคติ 4 และ ผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือไม่ ?
แล้วลองถามใจตัวเอง อย่างตรงไปตรงมาด้วย นะว่า
สิ่งที่ทำ มันเป็น บุญเปื้อนบาป ไหม ?




จิตจะตั้งมั่น ได้  ส่วนใหญ่มันไม่ได้เกิดจาก การทำบุญ หรอกนะ
แต่ มันเกิดจากการ สร้างกุศล ต่างหาก
ทำบุญ กับ สร้างกุศล มันต่างกันไง
ชั้นคงไม่ต้อง สอนไอ้เข้ อย่างหล่อนว่ายน้ำหรอกนะ


เฮ้ออ การทำบุญ มันเป็นเรื่องของ โลกียะ
 แต่ การสร้างกุศล น่ะ มันเป็นเรื่องของโลกุตระ ว่ะ
 แล้ว สิ่งไหน มันช่วยให้ ฐานของจิต ตั้งมั่นได้ดีกว่ากันล่ะ ?
 การทำบุญ ก็เหมือน คนโง่ ที่สร้างบ้านอยู่บนหาดทรายนั่นแหล่ะ
ถ้าฟังแล้วไม่เก็ท ก็ลองฟัง เพลงนี้ ดู
แล้วเลือกเอาเอง ว่า คิดจะสร้างบ้าน ไว้ที่ไหน หุหุ
 
 
อืม...การทำบุญ ในความหมายถึงการช่วยเหลือผู้อื่นนั้น
 มันควรเป็นการกระทำแบบ หว่านพืชโดยไม่หวังผลนะ
ที่สำคัญ ต้องทำโดยปราศจาก  อคติ 4
และ การเห็นแก่ผลประโยชน์ ต่อพวกพ้อง ด้วย


 จริงอยู่ การทำบุญสร้างกุศล มันไม่ใช่หน้าที่
 แต่ถ้าจะ ให้จิตตั้งมั่น ได้ บนฐานที่สมดุล
 ก็ต้องทำเรื่องเหล่านี้ ให้มันฝังรากลึกไปใน จิตสำนึก ว้อยยย
 ไม่ใช่ ผิวเผิน แค่ระดับ สามัญสำนึก ที่หล่อนพยามจะสอนชาวบ้าน


และ ในโจทย์ ที่ชั้น ตั้งกระทู้ถาม นั้น
ถ้า หล่อนเลือกช่วย ลูกสาวของหล่อน ก่อน
เพราะเห็นแก่ความผูกพันธ์ทางสายเลือด
มันก็แค่ สามัญสำนึกสั่วๆ  ที่ปุถุชนทั่วไป มันก็ทำกัน
จนเหมากันเอาเองว่า สิ่งนี้เป็นความถูกต้องชอบธรรม น่ะ


แต่ ถ้าใน ระดับของจิตสำนึก
เวลาเลือกจะช่วยเหลือใคร มันต้องดูให้ลึกกว่านั้น นะ
และ หากยัง ยุติกรรม ไม่ได้  หล่อนต้องช่วยเหลือผู้คน
บน บรรทัดฐาน แห่งความยุติธรรม
อันเป็นที่ยอมรับทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยด้วย


บรรทัดฐานที่ว่า คือ บุคคลทุกคน
ล้วนมีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือ อย่างเท่าเทียมกัน
โดย ปราศจาก อคติ 4 และ ผล ประโยชน์ มาเกี่ยวข้อง
ไม่ว่า เขาจะเป็น คนดี คนเลว คนรวย คนจน
กิ๊กเรา เมียเขา ลูกสาวศัตรู 5เหวไงก็ตาม


ดังนั้น เราจึงควรช่วยคน โดยดูจาก ระดับความทุกข์ของเขา
ถ้า อาการโคม่า  ก็ควรจะได้รับการรักษาก่อน
และ ต้องพิณาตามสภาพ ที่สามารถทำได้เฉพาะหน้า ณ ปัจจุบันขณะ ด้วย
ไม่ใช่ มัวแต่ มานั่งวิตกจริต คิดถึง แต่ผลประโยชน์ในภาคหน้า
แล้วมาริดรอนสิทธิ ในการได้รับความช่วยเหลือของเขา
เฮ้ออ ไอ้ศาสนาพุทธของหล่อนเนี่ย
มันสอนให้ อยู่กับเรื่องในปัจจุบันขณะ
หรือว่า อยู่กับ หวังประโยชน์ในอนาคต วะ


หมายเหตุ :

อันนี้ ชั้นหมายถึง เหตุการณ์
ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขอันเป็นสภาวะวิฤกติฉุกเฉิน
จนเป็น อัตรายต่อชีวิต นะยะ
แต่ถ้า เป็นเรื่อง ยืมตงยืมตังค์ ไปนวดกระปู๋
หรือ ไปหม่ำปลาบู่นึ่งซีอิ้ว อะไรเนี่ย
จะสมณะโคดม หรือ อิเถร เทวทัต ตรูก็ไม่ให้ยื้มว้อยยย







jittinon  ว่า...


วาระซ่อนเร้น นั่นศัพท์การเมืองหรือไม่ มีมูลไหม
หากโคม่า เจ้ใช้ซีม่าไหวป่ะ
เขาให้เรียกญาติมาดูแล้ว หากเจ้เป็นหมอว่าไป หากเจ้เป็นพยายมว่าอย่าง นี่เจ้เป็งเจ้นู๋บี จึงอาศัยเรื่องรักษาได้ ชิมิ
มาขำๆรอลูกค้ายามดึก




ดูงาน  ว่า...

นี้ รู้มั๊ย นู่บีนี้เขามีเสรีภาพประชาธิปัตไตยเป็นศาสดารู้มัย
เขาให้ความสำคัญเป้นอันดับต้นๆเลยนะรู้มัย






Supop ว่า...

ขออนุญาตเสวนา

เรื่องที่คุณสับสนกล่าวเรื่องการทำบุญนั้น ผมขอแจกแจงเล็กน้อย รู้แล้วก็ผ่านเลยไปนะครับ

ตามหลักศาสนาพุทธที่มีกล่าวไว้นั้น การทำบุญให้ได้บุญนั้น ต้องทำด้วยใจที่บริสุทธิ์นั้น คือ ทำด้วยใจคิดอย่างนั้นจริงๆ ต้องการอย่างนั้นจริงๆ

เหมือนเราทำบาป ทำไมเราถึงทำบาปแล้วได้ผลบาปเต็มที่ แต่ทำบุญกลับได้ไม่เต็มที่

เพราะเราไปนึกถึงคำบัญญัติเกินไป ไปนึกถึงคำว่าบุญเวลาทำบุญ โดยที่คำว่าบุญนั้นไม่ใช่สิ่งที่จิตเราจะรู้จัก แต่เป็นผลของการกระทำเท่านั้น เวลาคนเราทำบาป ไม่เคยมีใครนึกถึงบาป หรือคิดว่าทำเพื่อต้องการบาป

นั่นเป็นเพราะเวลาเราทำสิ่งที่ให้ผลเป็นบาปอกุศลนั้น เราไม่ได้คิดถึงบาปแต่เรานึกถึงสิ่งที่เรากระทำ

คือ เวลาเราโกรธใครมากๆ จนถึงขนาดไปฆ่าเขาตาย นั่นก็เพราะเราต้องการให้เขาตาย เราขโมยเงินเขา ก็เพราะเราอยากได้เงินของเขา เราไปผิดลูกผิดเมียเขาก็เพราะตัณหาราคะในใจของเรามันต้องการ แล้วที่เขาโกรธเราแช่งเรานั้น เขาก็โกรธเราแช่งเราจากใจจริง สิ่งเหล่านี้ก็คือทำไปด้วยใจที่บริสุทธิ์เช่นกัน

ทำไปด้วยใจที่บริสุทธิ์ก็คือ การทำไปด้วยความต้องการนั้นๆ หรืออารมณ์นั้นๆจริงๆและเป็นหนึ่งเดียวในอารมณ์ ไม่มีความต้องการอื่นหรืออารมณ์อื่นเกี่ยวข้อง

ที่เราทำแล้วไม่ค่อยได้บุญเต็มอานิสงค์ก็เพราะเวลาเราทำ เราไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เราไปคิดถึงเรื่องบุญ

การทำโดยที่ต้องการผลอย่างนั้นจริงๆ เช่นเวลาใส่บาตรพระ ก็เพราะเราต้องการให้ท่านได้ฉันอาหารที่เราชอบที่เราคิดว่าอร่อยจริงๆ เพื่อให้ท่านได้ฉันเพื่อประครองชีวิต ให้ได้ปฏิบัติได้ศึกษาในพระธรรม เพื่อที่จะเป็นเนื้อนาบุญให้แก่สัตว์ทั้งหลายต่อไปนานๆ

หรือการฟังธรรมก็เพราะเราต้องการรู้ในธรรมนั้นๆ ต้องการใคร่ครวญในธรรมนั้นๆ จริงๆ เราจึงจะได้พระธรรมจริงๆ

เปรียบไปก็เหมือนฟังวิทยุอยู่แล้วมีคลื่นรบกวนนั่นนี่มาแทรกอยู่เรื่อย ก็ฟังไม่ได้ใจความ ฟังไม่รู้เรื่อง

ขออภัยที่ผมเองแม้จะปฏิบัติมาตั้งนาน ก็พึ่งจะรู้ว่า การทำด้วยใจที่บริสุทธิ์แท้จริงเป็นเช่นไรมาไม่นานนี้เอง

ก็แค่นำมาเสวนากันครับ เห็นเรื่องเข้าประเด็นพอดี

ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ






--- อ้างถึง ---
สับสน! ว่า...

เรื่องที่นางblank123 ถามนั้นไม่ยาก ฉันก็รักษาลูกฉันก่อน-ตามหนักเบาของอาการ เพราะฉันไม่ใช่อรหันต์ ที่เธอยกตัวอย่างมา การปราศจากอคติ4 นั่นมันองค์คุณของอริยะแล้ว ท่านก็ต้องเลือกไปตามกรรมของสัตว์ แต่ปราศจากอคติ4

อย่างท่านsupop ตอบมานั่นน่าสนใจยิ่งในสภาวะ "จิตบริสุทธิ์" คงหมายถึงจิตเป็นสมาธิ ขณะทำบุญเพราะสติต้องจดจ่อในทาน-บุญที่ทำ กำลังสติใครแกร่ง แรง ก็ปราถนาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หากถึงตรงนั้นก็ระวังจะถอน บุญ-ทาน ตัวเองลำบากเพราะไปหวังไว้ซะแน่นเลย อย่างที่บอกหากโยนิโส ใคร่ครวญการให้ดีๆจิตจะสูง จะสูง จะละเอียดกว่ากันก็ตรงนี้แหละ ความปราถนานี่แหละ..บางครั้งบุญกุศล เรายังต้องเสียสละเลยเราไม่อยากได้เราทำเพราะอยากทำ อยากปราถนาดีต่อผู้อื่น ไม่หวังอะไรแต่เจตนามี
การที่จิตจะวางบุญ-กุศล เองไม่ต้องไปตัด ละ อะไรนั้น จิตต้องมีการเรียนรู้มาจากแผนที่พระไตรฯลก่อนครับ สภาวะที่จิตละเอียด เราจะเสพได้ เข้าใจได้ ในชั้นของมนุษย์นี่แหละครับ แผนที่พระไตร ครูอาจารย์ สำคัญจริงๆครับ ท่านต้องชี้ทางเพราะท่านผ่านมาก่อนครับหากเราไม่มีคนแนะ เรา..หลงสภาวะล้านเปอร์เซ็นต์
น้องนราสภา..ก็พูดถูก แรกเริ่มจำเป็นต้องใช้กิเลสความอยากเป็นสะพานในการสร้างบุญ-กุศล ที่สูงขึ้นไปก่อน เมื่อถึงเวลาจิตได้เรียนรู้มากเข้า ใคร่ควญโยนิโสมากขึ้น ความรู้เกิดขึ้น ได้เสพสภาวะที่จิต ละเอียดกว่าบุญกุศลนั้นๆแล้ว จิตเราจะวางบุญ-กุศลเอง มุ่งสู่สภาวะที่เลยสวรรค์ ทั้ง6..ออกไป ผมพูดตามเหตุผล ไม่เคยไปหรอกนะครับ
 
--- End quote ---




นู๋บี ว่า

อืม...อันนี้ก็ ข้ออ้างยอดฮิต ของสานุศิษย์ตถาคต
แหม๊ ? ไม่เห็นต้องอ้างสถานะ อรหันต์ -โซดาปั่น
มาเป็น ไม้กันหมา...เอ๊ย... มาปลอบใจตัวเองเลยนิ
เรื่องนี้ มันแค่เอาเรื่องของ มโนสำนึก+มนุษยธรรม มาจับก็พอแล้ว


เอาง่าย ๆ เลยนะ  ถ้าลูกหล่อน กับ พระปราโมช กำลังจะจมน้ำตาย หล่อนจะตัดสินใจกระโดดลงไปช่วยใครก่อนฟระ
ถ้า ตำแหน่งที่ พระปราโมช จมน้ำ นั้น
อยู่ใกล้จุดที่หล่อน กระโดลงไป มากกว่า
หรือว่า หล่อน จะใจดำแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ทำเป็นมองไม่เห็นจีวรสีเหลืองอ๋อยของหลวงพี่
แล้วรีบว่าย ผ่านหน้าสมณะ ที่กำลังจะจมน้ำตาย
เพื่อตรงรี่เข้าไปช่วยลูกสาวสุดที่ร้ากกก ฟระ


เฮ้ออ จำไว้นะไอ้เกิดเป็นบ่าง

สิ่งที่สอนกันไม่ได้ คือ สามัญสำนึก
แต่ ในส่วนของ จิตสำนึก มันฝึกกันได้ ว้อยยยยยยย
มันขึ้นอยู่กับว่า เมิงจะยอม ฝึกจิตฝึกตน อ๊ะปล่าวววว 


ปอลิง.

เออ เฮ้ยยย นี่ ๆ นังสับฯ
ชั้นเพิ่งถอย บล็อกใหม่ มาว่ะ
วานหล่อน และ ท่านผู้อ่านใจดี
ช่วยไปเจิม เพิ่มเรทติ้ง ใน ลิ้งค์เนี๊ยะ ให้ทีจิ
เนี่ย ชั้นกำลัง อยากได้คำแนะนำ
จาก ไอ้เฒ่าที่มันสามารถแขวนกางเกงใน
มาได้เป็น 10 ปี แล้ว สักหน่อย ว่า

อสุภะ - ราคะ - กามา แอนด์ เสน่หายาใจ 
(โอ๊ยย ตรู จะ เขี่ยมันทิ้งยังไงดีวะเนี่ย ? )

น่านะ ช่วยหน่อย นึกซะว่า เป็นการ ทำบุญทำทาน
ด้วยการชี้ทางสว่าง ให้คนที่กำลังจะหลงทาง
และ ตาบอดเพราะฟามร้ากกกกก


บัวผ่อง:
The  Letter  :  จม. เปิดผนึก ถึง อิหม่ามี๊  ก๊ะ วิทูรบัณฑิต



อิอิ แท้งกิ๋วสำหรับ วิทูรชาดก เจ้าค่ะ อิหม่ามี๊


อืม...เคยอ่านผ่าน ๆ ตามาบ้างเหมือนกัน
ชอบ คำพูด ในชาดก พวกนี้ จังอ่ะ
โด๊นโดนนนนนนนนนนนนนนนนนน 555

วาจา อันไพเราะนั้นจะมีค่าก็ต่อ เมื่อประกอบ ด้วยหลักธรรม


ข้าพเจ้า ไม่เกรงกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น
ข้าพเจ้าไม่เคย ทำความชั่ว ไว้ในที่ใด
จึงไม่เคยรู้สึกกลัวว่า ความตายจะมาถึงเมื่อไร


ข้าพเจ้าไม่เคยทำความชั่วจึงไม่กลัวความตาย
ข้าพเจ้ามีหลักธรรม และมีปัญญา เป็นเครื่องประกอบตัว
จึงไม่หวั่น เกรงภัยใดๆ ทั้งสิ้น


รู้ป่ะ เพราะ คอนเซ็ปต์เฉกนี้ นี่แหล่ะ
ที่ทำให้  นู๋บี กล้าที่จะ ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก
ยืนหยัด ไล่กัด เหล่า พุทธมามกะจ๋า
ในเวบบอร์ดธรรมมะ ได้ โดย ไร้รอยขีดข่วน อิอิ


และ ก็เพราะ คอนเซ็ปต์นี้ อีกนั่นแหล่ะ ที่คอยคุ้มกะลาหัว
ทำให้ นู๋บีไม่ต้องรู้สึกนึกหวาดกลัว ผี สาง นางตานี จนหัวหด
แถม คอนเซปต์นี้ ยัง ทำให้ นู๋บี ไม่สะทกสะท้าน คร้านคร้ามใจ
เวลาที่ต้องไป รับประทานดินเนอร์ กับ ด๊อกเตอร์ เลคเตอร์ ด้วย !


อ้อ แต่ ถึงงั้น นู๋บีก็ยังรู้สึกว่า วิทูรบัณฑิต นั้น
มันยังไม่เจ๋งเข้าตา ตามมาตรฐานนู๋บี ว่ะ
ขัดหูขัดใจ กับ ประโยคนี้ ของไอ้หมอนี่ ชะมัด

ข้าพเจ้า เป็นทาสของพระราชา
พระราชาตรัสสิ่งใด ข้าพเจ้าก็จะทำตาม


ฮ่วย ! ขืนสะสม สัจจะบารมีแบบบ้องตื้น งี้
มันก็ไม่ต่างอะไรกับ การรักษา สัจจะ ของบักขงเบ้ง
ก๊ะ ไอ้เจ้าก้วยยี้ ที่มันให้เข็มทอง ก๊ะ อินู๋ก๊วยเซียง
โดยที่ไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลังไห้ดี หรอกนะ


จริงอยู่ การรักษาวาจาสัตย์ นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดี
แต่มัน ต้อง ใช้ปัญญา มา โยนิโส  เพื่อกำกับเอาไว้ด้วย
ไม่ใช่ เอะอะก็จะรักษา วาจาสัจ ตะพืดตะพือ
จน ขาดจิตสำนึก และ หลงลืม หลักมนุษยธรรม 
แล้ว ล้ำเส้นของ ศีล 5  ไปละเมิดเบียดเบียนผู้อื่น น่ะ


แหม ? อยากรู้จังเรย อ่ะ ว่า 
ถ้า พระราชาทรงพระหมั่นไส้ชาวบ้าน
แล้ว ตรัสให้ทั่นวิทูร ไปขย้ำคอหอยพวกมัน
ผู้ที่ถวายตัวเป็นทาสรองบาทของพระราชา อย่างเฮียแก
จะยอมทำตามคำสั่ง นั้นหรือไม่ ?


อืม..นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า
ควรจะ ชั่งใจไตร่ตรองให้ดี ๆ
ก่อนที่จะ อ้าปาก ให้สัจจะวาจาอะไร ก๊ะใครไว้
ไม่งั้นเราอาจจะ เสียหมาได้ อิอิ



อ้อ และที่ ข้องใจอีกอย่างนะ
เฮียวิทูร แก มีปัญญา ภาษาอะไรกันวะ
ถึงได้ ยอมปล่อยให้ตัวเองตกเป็น ทาส เช่นนี้ นะ
ยี้ คำว่า ทาส เนี่ย มันเป็นไรที่ น่าขยะแขยง
ดู โลโซ โนคลาสมากมาย เลยอ่ะ
เพราะมัน หมายถึง การ หน้ามืด จนเกินลิมิต
แล้วยินยอม ให้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้ามามีอิทธิพลมืด
คอย บงการชีวิต และ ความคิดของเราจนเลยเถิด


ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น  ทาสสินไถ่ 
ทาสในเรือนเบี้ย ทาสร้ากทาสหัวใจ
หรือ แม้แต่การถวายตัวเป็น พุทธทาส  ธรรมทาส  และ สังฆทาส ก็เหอะ
ถ้าลงได้หน้ามืดไปเซ็นสัญญา รับปากไว้
ว่า จะเป็นทาสของใคร  ก็ย่อม ไม่น่าพิสมัย ทั้งนั้นว่ะ
( ยกเว้น อัตตาทาส อันนี้ อิการ์ฟิลด์มันบอกว่า พอหยวน ๆ ได้ง่ะ งิงิ )



เออ อีกอย่างนะ ไอ้คำตัดสินของป๋าวิทูร
เรื่อง  ศีลของใครประเสริฐที่สุด น่ะ
ขอบอกว่า แมร่งตัดสินได้บ้องตื้น มากเลยฮ่ะ
ไอ้การพูดจาภาษาดอกไม้ รักษาน้ำใจกัน แบบนั้น
แมวที่ไหน ก็ พูดตามสคริปต์โลกสวยแบบนี้ได้ว่ะ
แหม๊ ถ้าเป็น นู๋บี ตัดสิน อ่ะนะ
นู๋บีจะ ตบกระโหลก ไอ้ 4 ตัว นั่นคนละที
แล้ว ชี้หน้าด่าพวกมันว่า


ปั๊ดโธ่  ! อิพวกคางคกขึ้นวอ
นังแมงปอใส่ตุ้งติ้งเอ๊ยยย
กะอีแค่มีศีลเฉย ๆ แค่นี้นี่นะ
ดันเจื๋อกแค่นหยิบยก
เอามาประกวดประขัน อวดกัน อยู่ ได้
ว่า ศีลของใครประเสริฐเลิศสะแมนแตน กว่ากัน ?
เนี่ย ถ้า ดันมีมานะ เกิดขึ้น เพราะ การถือศีล   น่ะ
มันจะมี ความประเสริฐ ได้ไงกันฟระ


เฮ้ออ เรื่องของศีล เนี่ย มันก็เป็นแค่เรื่อง ของความ ปกติ เท่านั้น
อย่าได้สะแหล๋นแจ๋น บังอาจคิดจะเอาศีลทั้งหลายแหล่
มาเป็น บันไดเหยียบ ไว้ยกตนข่มท่าน
ให้ดูว่า ตรูข้านั้นมันประเสริฐเลอเลิศ
กว่าชาวบ้านชาวช่องนักเลยว่ะ
ศีลน่ะ เขามีไว้ เพื่อฝึกให้ เพียรละ เพียรระวัง ว้อยยย
ไม่ได้มีเอาไว้  เพียรเอามาอวด กันงี้ แว้ด ๆ ฉอด ๆ


อะโหย เผลอ พูดตามใจปากอีกแร้วตรู
ขออภัยเจ้าค่ะ อิหม่ามี๊ ที่ นู๋บีเผลอ เม้งแตก
วีนแหลกอีกแระ แบ่บว่า องค์ลง แหะ...แหะ...




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



เออ จริง ดิ เห็น อิหม่ามี๊ พูดถึง
ป๋ารถฯ ( ว่าที่ พ่อสามีในอนาคต ของนู๋บี  ) ว่า



--- อ้างถึง ---
เรื่องที่บักระนาดเอากฏหมายมาขู่เนี่ย อิหม่ามิ๊มันเฉยๆนะ
เพราะมันเป็นขั้นตอนสุดท้ายสำหรับกรณีตกลงกันไม่ได้
และต้องการข้อยุติแบบที่อีกฝ่ายจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ถ้าตกลงรอมชอมกันได้ มันก็จบไม่ต้องไปถึงศาล
เพราะเรื่องทั้งหมดมันก็ไม่เห็นมีอะไร เขาแค่อยากดูตัวจริง


ส่วนอีกคนก็พยายามหลีกเลี่ยงหาเหตุไม่ไปตามนัด
จนบานปลายกลายเป็นสินสอดขอดูตัวด้วยแคชเชียร์เช็ค
1.5 ล้าน ไม่รู้อิหม่ามิ๊อ่านจับใจความถูกรึป่าวนะ ว่าเช็ค
1.5 ล้าน ที่จะเอาไปบริจาคให้องค์กรการกุศลเนี่ย
ถ้าพ่อสังข์ทองไม่มีสัญญาจองคอนโดมูลค่า 30 ล้านมาแสดง
คนจ่ายเงินบริจาคต้องเป็นพ่อหอยสังข์รถเรณู ตามเงื่อนไข
ที่บักระนาดเขาตั้งไว้ตั้งกะตอนยังไม่ไปซื้อเช็ค 1.5 ล้าน
อะนะ ไม่รู้ว่า พ่อหอยสังข์รถเรณู จะเข้าใจตรงกับบักระนาด
รึป่าวนะ เพราะเล่นใช้แทคติคเบี่ยงเบนประเด็นและ
เงื่อนไขกันตลอด


เรื่องนี้ทดสอบปัญญาการอ่านกับปัญญา
การเอาตัวรอดจากความจริงที่หลุดออกจากปากกันเลยนะ
ว่าจะแถ จะหาเหตุให้ตัวเองรอดจากการพิสูจน์ทราบ DNA
ตัวจริงเสียงจริงกันอย่างไร พูดมั่วๆตั้งเงื่อนไขมั่วๆ ไม่คิดว่า
จะมีคนอื่นบ้าเอาจริงทำตามอีก เพียงแค่ว่า อยากพิสูจน์ว่า
ความจริงคือจั๋งใดกันหว่า เรื่องมันก็ไม่เห็นมีอะไรในกอไผ่


ถ้าพ่อหอยสังข์รถเรณูเขายอมรับผิดชอบทำตามคำพูดที่
เรียกร้องให้คนอื่นเขาลำบากยอมทำให้แล้ว แต่คนที่ทำให้
เรื่องมันเยอะไม่จบไม่สิ้น ก็มีแต่พ่อหอยสังข์รถเรณู นี่แหละ
ที่ไม่ยอมจบง่ายๆ เรื่องมากทำงู้นก็ไม่ถูกใจ ทำงี้ก็ไม่ใช่อีก
พูดออกมามากก็มีแต่คำพูดรัดคอตัวเอง แค่ยอมทำตาม
คำพูดและเงื่อนไขที่ออกตัวไว้ มันก็จบตั้งกะปีมะโว้แระ


เอ หรือว่า อิหม่ามิ๊ อ่านหนังสือของพวกเขาไม่แตก
ไม่เข้าใจประเด็นของพวกเขา ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้จะจบลง
อย่างไร จะเป็นอวสานของเซลล์แมน
หรืออวสานของบักระนาด กันหว่า

หุหุ
   
        

โดย: อิหม่ามิ๊ IP: 115.87.103.228 วันที่: 30 สิงหาคม 2555 เวลา:10:41:51 น.


--- End quote ---


อันนี้ ขอนุยาด แก้ตัว เอ๊ย เป็นทนายแก้ต่าง
ให้ ป๋ารถ ฯ ของนู๋บี หน่อยน้าาา


อืม...ก่อนอื่น ต้อง ขอออกตัวไว้ก่อน ว่า
จริง ๆ แล้ว นู๋บีก็ไม่ได้มี เรื่องบาดหมางใจ อะไร
ก๊ะทั้ง บักระนาด และ ป๋ารถฯ หรอกนะ
และ ถึงแม้จะมีใจ ให้ ป๋ารถ ฯ ในฐานะ ดิ ไอดอลคนโปรด
( ที่นู๋บีอยากจะถวายตัวเป็นลูกไป๊ คริ คริ )


แต่กับ บักระนาด นั้น  นู๋บีก็ถือว่า
มันเองก็ เป็น มิ่งมิตรที่ดีคนหนึ่ง อ่ะ
( ใครที่เคยแจกลูกยอ ให้กัน นู๋บีก็เห็นว่ามันดี เสมอแหล่ะ อิอิ )
ดังนั้น ปฏิฆะ ระหว่างกัน จึงไม่มี


อืม...เรื่องที่ บักระนาดเอากฏหมายมาขู่เนี่ย
นู๋บี รู้สึก แม่ง ๆ อยู่ นะ เจ้าคะ
ถึง ในทางโลก จะถือว่ามันเป็นขั้นตอนสุดท้าย
สำหรับกรณีตกลงกันไม่ได้และต้องการข้อยุติ
แบบที่อีกฝ่ายจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เหอะ
แต่นั่นมันเป็น วิถีทางของ ปุถุชน
หาใช่ ปฏิปทา ของ นักปฏิบัติผู้ฝึกตน ไม่


เฮ้อออ...กฏมณเฑียรบาลอีกข้อ
สำหรับ คนเป็นนักปฏิบัติก็คือ แม้จะปรี๊ดแตก ยังไง
ก็จะต้องรักษาฟอร์มของนักปฏิบัติเอาไว้
ไม่กระทำตัวเป็น อิบ่างช่างฟ้อง อ่ะ อิอิ


ไม่ว่าจะ เป็นการ ขี่ม้าสามศอกไปฟ้องอิพวกมอด
เวลาเจอ ข้อความไม่ถูกใจจ๊อด
หรือ การวิ่งปอดแหกไปฟ้อง ศาลโลก ก็ตาม
คนเป็นนักปฏิบัติ ก็ทำมิได้ ทั้งน้านนนนจร้าาา
เพราะถ้าทำงี้ไป  มันจะเสียฟอร์ม นักปฏิบัติ ว่ะ 55555


และ ที่สำคัญ คนเป็นนักปฏิบัติน่ะ
ถ้า ถูกฝ่ายตรงข้ามถากถางย่ำยีหัวใจ ยังไง
หาก ยัง ทำใจ ยุติกรรม เลิกแล้ว ต่อกันไม่ได้
เวลาที่เกิดอาการขุ่นมัว เราก็จะต้อง ย้อนกลับมาดูที่ตัวเองเสมอ นะ
ว่า อะไร คือเหตุปัจจัย และ จะ แก้ไขไง
เพื่อให้ปฏิฆะในใจ มันบรรเทาเบาบาง ลง


ไม่ใช่ว่า พอชิงไหวชิงพริบ ตบตีกันแค่ 2 คน
แล้วก็ยังไม่หนำใจ ดัน เสือกไปลาก บุคคลที่ 3
อาทิเช่น ศาลชั้นต้น หรือ ศาลพระภูมิ
ให้ต้องมา ลำบากลำบน กะเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไปกับเราด้วย
อีแบบนี้ มันผิดวิสัยของการเป็นนักปฏิบัติ ว่ะ
ก็เลยชักไม่แน่ใจ ซะแระ ว่า บักระนาด ยังเป็น นักปฏิบัติ อยู่หรือไม่
( รู้สึกว่า อีปรี๊ดแตกง่าย มั่ก ๆ เลยนะ เวลาที่ถูก ป๋ารถ เอาไม้แยงตรูด น่ะ )



ส่วนเรื่องทั้งหมดนั้น  อิฉันก็เห็นต่างกับ อิหม่ามี๊ว่ะ
เพราะรู้สึกว่า เรื่องนี้ มันไม่ใช่แค่ อยากดูตัวจริง กันเฉย ๆ แระ
แต่ มันมี อะไร ๆ เป็น วาระ ซ่อนเร้น แอบแฝงอยู่อ่ะ
ที่ บักระนาดขอดู ใบจองคอนโด เนี่ย
อีเองก็คงอยากชำแหล่ะแทะทึ้ง
และ หมายมั่นปั้นมือ จะ กระชากหน้ากากป๋ารถ มากกว่านะ
เรียกว่า ถ้าพลาดท่าเมื่อไร 
เมิงโดนตรูฆ่าหมกบ่อเกรอะแหง๋ ๆ เหอ...เหอ...



ไม่รู้ดิ เห็นเรื่องนี้ แล้ว
นึกถึง ตอนที่ นู๋บี ตั้งกระทู้เกี่ยวกับ ศีล 5
แล้วมีคนมาโพส ถามว่า

นู๋บี ถือศีล 5 หรือไม่  ?
แล้ว คอมพ์ที่ใช้ มีโปรแกรม ละเมิด ลิขสิทธิ ไหม ? น่ะ


เชื่อ ขนมกินได้เลยว่า สิ่งที่ เขาถาม นั้น
หาได้ เป็น แค่ เพียง การอยากรู้เฉย ๆ นะ
ก็คล้าย ๆ กับ การถามของ บักระนาด นั่นแหล่ะ
ประมาณว่า กะจะลากไปเชือด
( แต่ก็ไม่เห็นพวกมันจะปาดคอหอยนู๋บี ได้ซะทีนะ อิอิ )


และเชื่อเหอะว่า ต่อให้นู๋บีท้า มันไปปักตระไคร้
เพื่อ พิสูจน์ความบริสุทธ์เป็นยองเป็นใย ในภูมิศีลของตน
คนถามก็คงจะไม่เชื่อน้ำยา ในตัวนู๋บี อยู่ดี
ว่า อินังโหดนี่ จะถือศีล 5 ได้ เพราะเวทนาสัตว์โลกตาดำ ๆ
เผลอ ๆ คงจะแอบนินทาในใจ ด้วยว่า นู๋บีเป็นพวก ขี้โม้ อีกตะหาก เอิ๊ก ๆ


อืม...นู๋บีมีลางสังหรณ์ว่า
เรื่องนี้ มันก็ คล้าย ๆ กับเคส ป๋ารถนั่นแหล่ะ
ส่วน อิป๋า มันก็สันดานเสียชอบกวนซ่งติง (เหมือนใครก็ไม่รู้ อิอิ)
เลย แกล้งทำงอแง ยื่นข้อแม้ ทั้งหลายแหล่  ปั่นหัวชาวบ้าน น่ะ
อิอิ เห็นป๋ารถ อีทำ หมาหยอกไก่ กะ บักระนาดแล้ว
ก็นึกถึง เวลาที่ เสือมันกำลังเล่นสนุกกับเหยื่อ
ก่อนที่จะตะปบคอหอย รับประทานเป็นดินเนอร์ ว่ะ
คนประเภท ดร.เลคเตอร์ น่ะ มักจะมีความปราณีต
ในการลงมือสังหารเหยื่อ เพื่อเสพ เสมอนะ
และ อิฉันคิดว่า ป๋ารถฯ ก็เป็นหนึ่งในคนประเภทนี้ซะด้วย สิ


อืม..ความสำราญในการโขกหมากรุกนะ
ไม่ได้อยู่ที่ การแพ้/ชนะ กันในชั่วเสี้ยววินาที หรอกนะ
แต่ มันอยู่ตรงที่ การชิงไหวชิงพริบ
แล้ว ค่อย ๆ รุก ค่อย ๆ ต้อนคู่ต่อสู้ บีบให้จนตรอก
แล้ว จึง ออกหมัดรุกฆาต ให้กระอักเลือดตายคากระดาน ตะหาก
แหะๆ ก็ไม่ใช่ เซียนหมากรุกนะเจ้าคะ
แต่ ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ  โจร ย่อมเห็น โจร ด้วยกัน หุหุ

 

และ เท่าที่ ประมวลผลได้ในตอนนี้ อ่ะนะ คือ

บักระนาด ยินยอมรับคำท้า
ทำแคชเชียร์เชคค่าสินสอด 1.5 ล้าน
เพื่อขอเข้าไป มุดรูดูไห ของ ป๋ารถเรณูแระ
ว่ามี หน่อไม้ อยู่ในนั้น จริงอ๊ะปล่าวววววว


แต่ นู๋บี เห็น ความไม่โปร่งใส ตรงที่
บักระนาด เหมือนจะเล่นตุกติก
เริ่ม ทำหัวหมอ ขอใช้ กฏหมาย เป็น ไม้กันหมา อ่ะ
สุดท้ายเลยต้องเดือดร้อน กันไปทุกหย่อมหญ้า
ตั้งแต่ คุณตำหนวด  ศาลโลก พี่พัน
( ยัน  ศาลพระภูมิต้นกล้วย ) หุหุ



จริง ๆ ถ้าจะเล่นกันแบบตรงไปตรงมา อ่ะนะ
ในเมื่อ บักระนาด อยากรู้อยากเห็น
จะขอดูทรัพย์สิน อันเป็น เรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน
ที่ป๋ารถฯ มีสิทธิจะ อนุยาดให้ดู หรือไม่ก็ได้ นั้น
บักระนาดจึงต้องปฏิบัติตามเงือนไข
ที่ตัวเองกับ เจ้าของทรัพย์ได้ตกลงกันไว้


ซึ่ง เงื่อนไขนั้นก็คือ เขียนเชค
โดยระบุ ชื่อผู้รับเป็นองค์กรการกุศล ฯ
ไม่ใช่ ออกให้ ผู้รับในนาม ป๋ารถฯ  นะ
อีแบบนี้ มันผิดเงื่อนไข ที่คุยกันไว้
ส่วนทำไม บักระนาด จึงทำแบบนี้
ก็เห็นจะเดาได้ไม่ยาก ก็คงอยากจะดัดหลัง
ลาก ป๋ารถฯ เข้าคุก ด้วยข้อหา ล่อลวง ให้เสียทรัพย์ มั้ง
เห็น เกริ่น ๆ ข่มขู่ไว้แล้ว นิ ว่า



--- อ้างถึง ---
ระนาดเอก ว่า..

รถเรณูและพวก ก็ใช้ถ้อยคำ คำกล่าว
ที่มีลักษณะ ยั่วยุ ดูหมิ่น เยาะเย้ย เหยียดหยาม ฯลฯ
ให้เกิดผลทางจิตใจต่ออีกฝ่าย เพื่อให้หลงผิด ขาดสติ
ไปกระทำการให้เสียทรัพย์ของเขา

มันไม่สำคัญว่า ระนาดเอก โดนคำพูดหยามหมิ่นแล้วขาดสติ จริงหรือไม่
( ยิ่งไม่สำคัญว่า ระนาดเอก ได้ซ้อนกลวางแผนไว้ตั้งแต่ทีแรก
ที่จะล่อให้อีกฝ่ายเดินลงหลุม หรือเปล่า )

ความสำคัญอยู่ที่ว่า ถ้าจะดำเนินคดีกับพวกล่อลวงให้เสียทรัพย์นั้น

ครบองค์ประกอบความผิดนั้น หรือไม่ ดำเนินคดีได้หรือไม่ ก็เท่านั้นเอง!

ตัวตัดสินความผิดคือ เจตนา ..


--- End quote ---


แหม๊ โฉ่งฉ่าง ซะขนาดนี้
มีหรือ นกรู้อย่างป๋ารถ จะยอมกระโดดฮุบเหยื่อ น่ะ
ถ้า บักระนาด ระบุชื่อผู้รับในเชค ให้ตรงไปตรงมา
แล้ว บอกป๋ารถฯ ไปว่า เพื่อเป็นการยื่นหมูยื่นแมว
ไม่ให้เสียค่าโง่ เอ๊ย เสียเปรียบกันจนเกินไป
บักระนาดจะส่งเชคใบนี้ไปบริจาค เงิน ให้มูลนิธิพุทธทาส
ในวันที่เห็น หลักฐานทรัพย์สิน ของป๋ารถ แล้วเท่านั้น
และ ถ้าป๋ารถ หา หลักฐานมาให้ดูไม่ได้
ป๋าก็ต้อง เป็นคน บริจาคเงินส่วนนี้ แทนเขา ฯลฯ


จากนั้น พอเคลียร์ค่าสินสอดตามเงื่อนไข กันได้แล้ว
ก็เข้าสู่ขั้นตอนการ มุดรูดูไห  ส่วนผลจะเป็นไง ก็ว่ากันไป
ถ้า ทำให้มันตรงไปตรงมา ไม่มี ตุกติก แค่นี้มันก็จบ นะ
ยกเว้น ป๋ารถ อีจะไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริงกระทิงแดง
ถ้า บักระนาด เขียนเชค ให้ตามเงื่อนไข แล้ว
ป๋ารถ ยังท่ากระทั่วเปลี่ยนเงื่อนไขมั่วซั่วไป เรื่อย ๆ  อีก
อืม...ถ้าเป็นงั้น ป๋ารถฯ ก็คงหมดวาสนา
ที่จะได้ นู๋บี ไปเป็น ลูกไป๊ แล้วอ่ะ 5555


แต่ก็นั่นแหล่ะนะ  ไอ้เจ้า ด. กิ๊กเก่าสมัยพระเจ้าเหา ของนู๋บี
เคยบอกให้ฟังเสมอว่า ถ้าสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร
ก็คงต้องคอยดูกันต่อไป กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เรารู้ว่า
บักระนาด จะได้ มุดรูดูหอย เอ๊ย มุดรูดูไห ป๋ารถสังข์ ไหม
และ เมื่อ ชะโงกหน้าเข้าไปดูแล้ว จะเจอ หน่อไม้ดอง หรือไม่
แล้ว ใครจะได้มีโอกาสทำบุญ บริจาค 1.5 ล้านบาท ให้การกุศล
อาห์ ดราม่านี้ ยังอีกยาวไกล ตราบสิ้นกาลปวสาน หุหุ



บัวผ่อง:
ข้อคิดโดนใจ จากไอดอลของ อิช้าน ณ พันติ๊ปปปปป





--- อ้างถึง ---

บัดนี้...."ต้นไม้ใหญ่ ที่ชื่อว่าต้นไม้พุทธทาส 
ได้เวลารับการเติมปุ๋ยคอก เพื่อดอก ใบ (นิดหน่อย) แล้ว"

  ธรรมดาของต้นไม้นั้น แม้จะมีสิ่งปฏิกูลสกปรกเพียงใด ที่คน (ทั้งดีทั้งชั่ว)  เอามาราด รด ที่โคนต้นของมันนั้น  มันไม่เคยรังเกียจ รังงอน  และในที่สุด สิ่งปฏิกูลนั้น ก็จะกลายเป็นปุ๋ย บำรุงต้นไม้ นั้น นั่นเอง

   เชื่อเถอะครับ ว่า...ในความชั่วร้าย หรือความเลวทราม แห่งจิตใจของมนุษย์นั้น หากโฟกัสไปหาพระอริยเจ้า ความชั่วร้ายเลวทรามนั้น ๆ ก็พลันกลายเป็นปุ๋ยคุณภาพดีไปโดยพลัน

   เงินจากคนที่มีจิตใจหยาบช้า ไม่สะอาด คอยก่นด่าพระสงฆ์องคเจ้า ผู้มีวัตรปฏิบัติที่งดงาม บัดนี้ กลับต้องถูกความโกรธ ความหลง ความอาฆาต พยาบาท ในใจของเขาเอง ได้มาเป็นแรงผลักดันบังคับ ให้เขาต้องจ่าย เพื่อเป็นเงินบริจาค โดยสมัครใจ จากเขาเอง

    แท้จริง การบริจาคเพียงเล็กน้อยนี้ หาได้มีมูลค่าคู่ควรแก่ สถาบัน หรือองค์กรที่มีเกียรติคุณงดงาม และสูงส่ง เช่น หอจดหมายเหตุ ท่านพุทธทาส หรือแม้แก่เวปบอร์ด พันทิป แห่งนี้ไม่

    แต่อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นแล้วว่า  แม้จะมาจากสิ่งปฏิกูลใด ๆ ก็ตาม  หากถาโถมเข้าใส่ ต้นไม้ใหญ่ อันมีคุณูประการ ต่อมวลมนุษย์นั้น  สิ่งปฏิกูลนั้น ก็พลันกลายเป็นปุ๋ย อันยังประโยชน์ ให้สำเร็จได้ ในการบำรุงแก่รากไม้ใหญ่ต้นนั้น  แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม

   บัดนี้  ถึงเวลา ที่สิ่งปฏิกูล จะทำตัวเองให้เป็นปุ๋ย บำรุงต้นไม้ใหญ่ ที่ชื่อว่า หอจดหมายเหตุท่านพุทธทาส และเวปบอร์ดที่ทรงคุณค่า เช่นเวปพันทิป แล้วล่ะครับ

   บัดนี้  ถึงเวลา ที่ ไฟในใจของคนเขลา (โทสัคคิ โมหัคคิ) ได้เผาใจคนเขลา จนเร่าร้อน ทุรนทุราย และบีบบังคับ ให้เขาต้อง ทำตัวเองให้เกิดประโยชน์ ต่อไม้ใหญ่ต้นนั้นแล้ว

    แท้จริง หาใช่ใครบังคับไม่  หาใช่สำนวน ลีลา ยั่วยุ จงใจกวนโทสะ ของรถเรณูไม่  หาใช่ ต้นไม้ใหญ่ไม่ หาใช่ องค์กรใด ๆ ไม่ ที่มีความสำคัญเหนืออื่นใด จะไปบังคับคนเขลาเหล่านั้น ให้จำต้อง บังคับตนเองให้ทำตัวเอง เป็น "ปุ๋ยคอก"  ในการบำรุงต้นไม้ใหญ่ในที่สุด

       แต่.....แท้จริงแล้ว สิ่งนั้น ก็คือ  โทสัคคิ โมหัคคิ  ในใจของเขานั้น นั่นเอง

จากคุณ    : รถเรณู [Bloggang]
เขียนเมื่อ    : 29 ส.ค. 55 00:11:58


--- End quote ---



--- อ้างถึง ---


สายน้ำมันจะยังคงไหลเรื่อยไป 
มิใยดีที่คนบางคน ว่ายน้ำไม่เป็น จะต้องจมน้ำตายไป
สายน้ำก็ไม่ยอมหยุดไหลเลย 
คนดี ๆ มีโชค ที่อาศัยสายน้ำก็ยังมีมากมาย-


ธรรมชาติแสงสว่าง มันก็ต้องส่องสว่างอยูร่ำไป 
มิวายที่ผีสาง จะกลัวแสงแดด กรีดร้องโหยหวน ......
แสงสว่าง ก็ยังคงส่องแสงต่อไป 
ผู้ที่รับไปได้ประโยชน์ และมีโชค ยังมีอีกมากมาย-

ส่วนอภัพพบุคคล ผู้ไม่ยอมรับแสงสว่าง หรือจงใจจะกระโดดน้ำตายนั้น..

ก็หาใช่ความผิดของ สายน้ำ หรือแสงสว่างไม่

จากคุณ    : รถเรณู
เขียนเมื่อ    : 29 ส.ค. 55 02:33:39


--- End quote ---


 

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version